YDM Thailand ถอดกลยุทธ์คอนเทนต์ครีเอเตอร์ เทรนด์มาร์เก็ตติ้งมาแรงปี 2024 ขานรับดีมานด์ตลาดโต เผยกลเม็ดสร้างแบรนด์ แนะทริคสร้างคอนเทนต์ทรงพลังเพิ่ม Engagement สตอรี่เทลลิ่งผ่านไลฟ์สไตล์ พลิกเกมธุรกิจคว้าโอกาสท่ามกลางการแข่งขันในตลาด โชว์เคสหนุนธุรกิจ Streaming Platform ดึง KOLอินฟลูเอนเซอร์ ผสมคอนเทนต์ครีเอทีฟ สร้าง Engagement เพิ่ม 50% เพิ่มยอด New streaming สูงที่สุดใน South East Asia ในระยะเวลา 1 เดือน
นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด เผยว่า เทรนด์มาร์เก็ตติ้งปีนี้ การสื่อสารแบรนด์อาจไม่ได้จบเพียงแค่สื่อโฆษณาผ่านทีวี ออนไลน์ หรือป้ายโฆษณา แต่ถึงยุคที่แบรนด์ต้องปรับตัวใช้กลยุทธ์คอนเทนต์ครีเอเตอร์ KOL และอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งเป็นเทรนด์มาร์เก็ตติ้งมาแรงในปี 2567 โดยพบว่าผู้บริโภคมากกว่า 46% เลือกเชื่อข้อมูลแนะนำ หรือการรีวิวใช้จริงในออนไลน์จากผู้บริโภคคนอื่น พอ ๆ กับการเชื่อคำแนะนำจากคนใกล้ชิดหรือครอบครัว ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เวลาแต่ละวันมากกว่า 5 ชั่วโมงไปกับโซเชียลมีเดีย โดยแต่ละกลุ่มเจเนอเรชั่นต่างเลือกเสพสื่อบนแต่ละแพลตฟอร์มที่ต่างกัน อาทิ ในกลุ่ม Gen X ใช้แพลตฟอร์ม Facebook รองลงมาคือ Youtube, Tiktok Gen Y เลือกใช้แพลตฟอร์ม Facebook รองลงมาคือ Youtube, Instagram, Tiktok และกลุ่ม Gen Z ใช้แพลตฟอร์ม Tiktok มากที่สุด รองลงมาคือ Instagram และ Youtube
เมื่อผู้บริโภคเข้าถึงโซเชียลมีเดียบนหลากหลายแพลตฟอร์ม ทำให้มีพื้นที่สื่อสาร สร้างสตอรี่เทลลิ่ง แสดงความคิดเห็นที่เป็นตัวเองมากขึ้น นำไปสู่โอกาส พลิกบทบาทจากผู้เล่นโซเชียลสู่การเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์เพิ่มขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งยังไม่นับรวมคนไทยที่ใช้งานโซเชียลมีเดีย เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสาร และเพื่อความบันเทิง ทั้งในรูปแบบแสดงความคิดเห็น พูดคุยกันในกลุ่มชุมชนของตนเอง ทำให้แบรนด์จำเป็นต้องเข้าถึงแก่นแท้ของกลเม็ดในการใช้คอนเทนต์ครีเอเตอร์เพื่อการสร้างแบรนด์ ซึ่งการใช้คอนเทนต์ครีเอเตอร์ให้ทรงประสิทธิภาพที่สุด วายดีเอ็ม แนะ 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายแบรนด์ให้ชัดเจน ต้องรู้ตำแหน่งของแบรนด์ในตลาด และกำหนดความต้องการของแบรนด์ในการสื่อสารสู่เป้าหมายให้ชัดเจน เช่น ต้องการสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อสร้างการรับรู้ เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สร้างการมีส่วนร่วม หรือเพื่อสร้างยอดขาย เป็นต้น
2. ทำความเข้าใจคอนเทนต์ครีเอเตอร์ โดยเฉพาะบทบาทของคอนเทนต์ครีเอเตอร์แต่ละกลุ่ม ที่มีจุดแข็งต่างกัน เช่น อินฟลูเอนเซอร์ แค่ชูผลิตภัณฑ์ก็สามารถทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการจนทำให้ขาดในตลาด และ KOL เน้นมุมมองการแสดงความเห็นอันทรงพลัง พูดอะไรคนก็เชื่อถือ หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์สร้างคอนเทนต์
สตอรี่เทลลิ่งผ่านไลฟ์สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และ Mix บางคนเป็นหลายอย่าง เป็นทั้ง KOL + คอนเทนต์ครีเอเตอร์ นำเสนอเรื่องราวยาก ๆ ผ่านการทำคอนเทนต์แนวเล่าให้ง่าย สนุก ไปพร้อม ๆ กัน
3. ใช้เทคโนโลยีช่วยเลือก การดึงเทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์เลือกใช้คอนเทนต์ครีเอเตอร์ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือแคมเปญที่ตอบโจทย์เหมาะกับแบรนด์ ทั้งไลฟ์สไตล์ รูปแบบคอนเทนต์ มีฐานแฟนคลับหรือผู้ติดตามที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการสื่อสารเดียวกับแบรนด์ โดย YDM มองเห็นบทบาทความสำคัญในส่วนนี้ ในการพัฒนาเครื่องมือ AI ช่วยวิเคราะห์การเลือกใช้คอนเทนต์ครีเอเตอร์ เพื่อขับเคลื่อนทุกแคมเปญการตลาดให้กับทุกแบรนด์พาร์ทเนอร์อย่างมีศักยภาพที่สามารถวัดผลได้ในระยะเวลาที่กำหนด
4. คอนเทนต์สร้าง Trust ต้องไม่ยัดเยียด ให้พื้นที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้สร้างเรียลคอนเทนต์ บนสตอรี่เทลลิ่งผ่านคาแรกเตอร์และไลฟ์สไตล์ของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ตีกรอบหรือยัดเยียดคอนเทนต์แบรนด์เข้าไปในการสื่อสารมากเกินไป เพราะอาจทำให้กลบจุดเด่นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไม่เป็นตัวเอง คอนเทนต์ก็จะไม่สนุก และอาจจะส่งผลต่อ Engagement
5. วัดผลให้ได้ กำหนดตัวชี้วัดเกณฑ์ความสำเร็จที่ชัดเจน เช่น online วัดผลผ่านการแทรค Offline ต้องทำ Correlation เพื่อหาความสัมพันธ์ในการใช้ KOL กับยอดขาย ส่วน KOL ไม่ใช่ one time marketing แต่จำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอจึงวัดผลได้ และที่สำคัญแบรนด์ไม่ควรมองข้ามการลงทุนกับอินฟลูเอนเซอร์กระแสที่มีค่าตัวสูง แม้จะกระตุ้นยอดขายได้เพียงครั้งเดียว ซึ่งหลายแบรนด์อาจมองว่าเหมือนจะไม่คุ้ม หรือขาดทุน แต่ทางกลับกัน การลงทุนดังกล่าวเป็นหนึ่งในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ทำให้คนรู้จัก จดจำแบรนด์ได้ เปิดใจทดลองผลิตภัณฑ์ เพิ่มโอกาสการซื้อซ้ำ
“พร้อมกันนี้ แนวคอนเทนต์ทรงพลังเพิ่ม Engagement ให้แบรนด์คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญมากในการร่วมงานกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ซึ่งแนวคิดที่แบรนด์ควรตระหนักคือ 1. ครีเอทีฟคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างอย่างมีไลฟ์สไตล์ 2. ตามเทรนด์ กระแสที่ถูกพูดถึงในช่วงเวลานั้น เทรนด์มาต้องทำเลย ก่อนตกเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็น แอคติ้ง เพลง แฮชแท็ก กระแสต่าง ๆ ในโซเชียลแพลตฟอร์ม แต่ข้อควรระวัง คือต้องวิเคราะห์ภาพลักษณ์และความเหมาะสม เพราะไม่ใช่ทุกเทรนด์ที่แบรนด์จะเกาะกระแสได้ 3. Unknown fact การนำเสนอคอนเทนต์แบบที่คนไม่เคยรู้มาก่อน จะสร้างความน่าสนใจ 4. Build Discussion เช่น ทานหมี่หยก “ทีมลวก/ไม่ลวก” คอนเทนต์ที่ให้คนมาแสดงความคิดเห็นหรือถกเถียงกันต่อ และ 5. คอนเทนต์เหมาะกับ Platform เช่น Tiktok ต้องเสนอเป็นวิดีโอสั้น ๆ ดูเรียล Facebook เสนอเป็นภาพหรือ Photo album หรือ IG เน้นรูปสวย Reels ดูดีมีระดับตั้งแต่ภาพแรก” นายธนพล กล่าวเสริม
อย่างไรก็ดี หากแบรนด์ดำเนินกลยุทธ์การตลาดอย่างถูกต้อง จะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจสู่ผลลัพธ์ตามเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างโชว์เคสของ YDM จากกลุ่มธุรกิจ Streaming Platform ดึง KOLอินฟลูเอน
เซอร์ ผสมคอนเทนต์ครีเอทีฟ สามารถสร้างผลลัพธ์เพิ่ม Engagement มากขึ้น 50% และเพิ่มยอด New streaming สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระยะเวลา 1 เดือน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกี่ยวกับการศึกษาและแนวทางการใช้กลยุทธ์คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่สอดรับกับเทรนด์มาร์เก็ตติ้งในปี 2567 ได้ที่วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) https://www.ydmthailand.com
บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ YDM เผยวิวัฒนาการ AI จุดเปลี่ยนเกมตลาดดิจิทัลประเทศไทยปี 67 คลื่นลูกใหญ่ท้าทายแบรนด์ และนักการตลาด กระทบอุตสาหกรรมทั่วโลกทุกภาคส่วน โดยเฉพาะวงการธุรกิจโฆษณาและการตลาดเผชิญหน้าความท้าทายด่านแรกส่งผลให้ต้องเร่งปรับตัว พลิกจุดแข็ง AI เปลี่ยนเกม สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ดิสรัปกระบวนการธุรกิจ ย่นเวลาทำงานเร็วขึ้นหลายเท่า ติดสปีดนักการตลาดและแบรนด์ แนะ 4 อาวุธสำคัญ หนุนกลยุทธ์ฉบับนักการตลาดยุคปัญญาประดิษฐ์เร่งปรับตัว 1.พัฒนาทักษะ 2.ลงทุนในเทคโนโลยี 3.สร้างกลยุทธ์ชัดเจน และ 4.เน้นจริยธรรม คว้าโอกาสประยุกต์ใช้ AI ที่น่าจับตา ดึง Data อินไซด์วางโรดแมปเชิงกลยุทธ์ ชี้การตลาดแบบ Contextual จับตลาดอย่างถูกที่ ถูกเวลา โชว์เคสถอดคีย์ซัคเซสใช้ AI ติดปีกธุรกิจปั้นยอดขายตามเป้าหมาย
นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า วิวัฒนาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ซึ่งในปัจจุบัน AI เข้ามาดิสรัปและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานองค์กรในหลาย ๆ ด้าน เช่น Task Automation, Process Optimization และ Decision Support เป็นต้น โดย AI จะเข้ามายกระดับกลยุทธ์ทั้ง 3 ด้าน คือ Economy of Scope: บุคลากรหนึ่งคนทำงานได้หลากหลายขึ้น Economy of Scale: ผลิตสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และ Economy of Speed: ย่นระยะเวลาการทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดย YDM มองการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือโอกาส การนำศักยภาพของ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยยกระดับการทำ Advertising & Marketing ช่วยให้นักการตลาดและแบรนด์ทำการตลาดได้แม่นยำ ตรงกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้มีความสามารถด้านการสร้างยอดขายและเพิ่มผลกำไรบนต้นทุนที่ลดลง
นายณัฐพล จิตงามพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่าการมาถึงของ AI ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ต่อวงการ Advertising & Marketing โดยหลาย ๆ เอเจนซี่ได้เริ่มมีการนำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน สำหรับที่ YDM เราได้มีการนำ AI และ Data Technology มาใช้แบบ Full Funnel เริ่มต้นจากฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ มีการใช้ Social Listening ผนวกกับ AI ในการวิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจ การหาข้อมูลคู่แข่ง หา Consumer Insight กำหนด Segment หรือ Target Group ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ เป็นต้น ในฝ่ายครีเอทีฟ ใช้ในการ Brainstorm หาไอเดีย ช่วยคิด Copy & Artwork ตลอดจนใช้สร้าง Storyboard งานโฆษณาหรือการรีวิวสินค้าให้น่าสนใจ ฝ่าย Social Media นอกเหนือจากการใช้ AI ช่วยคิด Content และ Artwork แล้ว เรายังใช้วิเคราะห์ Trend ในการสร้าง Content ที่เหมาะกับแต่ละแบรนด์ เพื่อเพิ่ม Engagement ต่อกลุ่มเป้าหมาย สำหรับฝ่าย Media ใช้ช่วยวางแผน ช่วยทำ Research และใช้ AI หาความสัมพันธ์ หรือ Co-relation ระหว่าง Media กับยอดขาย กำหนดและปรับรูปแบบการใช้เงินกับมีเดียให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฝ่าย KOL ใช้ในการช่วยหา KOL/Influencer ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ทำ Prediction ช่วยคำนวณความคุ้มค่าการลงทุน พร้อมช่วยวิเคราะห์ Report หาผลกระทบต่อยอดขาย เป็นต้น
นายธนพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การมาถึงของ AI ทำให้เกิดการทำการตลาดแบบใหม่ คือ Automated Personalized Contextual Marketing หรือก็คือ การทำการตลาดโดยปรับตามบริบทของลูกค้าแต่ละคนแบบอัตโนมัติ เป็นการทำการตลาดที่เป็น Customer Centric อย่างแท้จริง ช่วยนักการตลาดและแบรนด์ให้สามารถวางกลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะบุคคลได้แม่นยำขึ้นแบบเรียลไทม์ เพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นบนงบประมาณที่น้อยลง สู่เป้าหมายที่วัดผลได้ผ่านยอดขายมากกว่าการทำการตลาดแบบเดิม ๆ ที่แบ่ง Brand campaign กับ Performance campaign ออกจากกัน ทั้งนี้ แบรนด์หรือธุรกิจที่สามารถใช้กลยุทธ์การตลาดนี้ได้ จะต้องมีการจัดเก็บและเตรียม Data ของผู้บริโภคอย่างถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ AI สามารถทำงานในการวิเคราะห์อินไซด์ผู้บริโภคโดยมองเห็นบริบทของผู้บริโภคแต่ละคนที่กำลังเผชิญปัญหาหรือมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่การวางแผนการตลาดเชิงรุกในการนำเสนอคอนเทนต์ที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งผู้บริโภคแต่ละคนจะได้รับข้อมูลการสื่อสารจากแบรนด์ตามบริบทที่กำลังเผชิญที่ต่างกัน”
ด้านนายณัฐพล กล่าวว่า “ทาง YDM เองได้มีการนำ Automated Personalized Contextual Marketing มาใช้กับลูกค้าของเรา ยกตัวอย่าง ประกันภัยแบรนด์หนึ่งที่ขายทางออนไลน์ เราใช้ CDP มาเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายอย่างละเอียด เช่น สนใจ Product ตัวไหน Engage กับ Message อะไร มาทำการแบ่งเป็น Segment ย่อย ๆ ตามบริบทของลูกค้าเพื่อทำการสื่อสารแบบอัตโนมัติ right time & right message ผลที่ได้คือ Conversion Rate ในการปิดการขายออนไลน์จากไม่ถึง 1% ขึ้นไปเกือบ 30% นั่นหมายถึงประสิทธิภาพที่มากขึ้นกว่า 30 เท่า ทั้งนี้การทำ Personalization ระดับนี้ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะขนาดของกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงจะมีขนาดที่เล็กลงมาก ๆ จากหลักหมื่น หลักแสน เหลือเพียงแค่ประมาณ 4-5 ร้อยคน รวมถึงยังต้องรอ Signal จาก User ในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หากแบรนด์ไม่ได้มีระบบที่พร้อมจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ มี AI ช่วยให้การ Scale up ปริมาณชิ้นงาน สิ่งเหล่านี้แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย”
แนะ 4 อาวุธสำคัญที่แบรนด์ นักการตลาดต้องมี เพื่อเร่งปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงยุคการตลาดปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 1.การพัฒนาทักษะ สำหรับบุคลากรในสายงาน Digital Marketing จำเป็นต้องพัฒนาทักษะด้าน AI โดยเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือ AI ต่าง ๆ และใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.การลงทุนในเทคโนโลยี แบรนด์ต้องลงทุนในเทคโนโลยี AI เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจ 3.การสร้างกลยุทธ์ แบรนด์ต้องสร้างกลยุทธ์ที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมาย ทิศทาง และวิธีการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ 4.จริยธรรม แบรนด์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมในการใช้ AI ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ
“ทั้งนี้ YDM ชู 3 กลยุทธ์ปี 2567 เดินหน้าบุกตลาด พุ่งเป้าพาแบรนด์สร้างยอดขายสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดผลได้ (THAT SELL Measurable Business Result) ประกอบด้วย 1.Full Funnel Creative มุ่งสร้างคอนเทนต์ และรูปแบบการสื่อสารใหม่ ๆ สอดรับกับเทรนด์และแบรนด์ในทุกช่องทาง ครอบคลุมผู้บริโภคในทุก ๆ Consumer Journey Stage 2.Marketing Technology แนะแบรนด์ให้เลือกใช้เครื่องมือ MarTech ที่ถูกต้อง เหมาะสม ในงบประมาณที่จับต้องได้ และ 3.Unveil Opportunity พาแบรนด์คว้าโอกาสใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจสู่การเติบโตไปอีกระดับ” นายธนพล กล่าวทิ้งท้าย