โลกการเงินได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ กับการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกได้ทำการอนุมัติ Spot Bitcoin Exchange Traded Funds (ETFs) เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งรายย่อยและนักลงทุนสถาบันได้ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ผ่านช่องทางการลงทุนแบบดั้งเดิม โดยนักลงทุนจะสามารถลงทุน Spot Bitcoin ETFs ได้โดยตรงผ่านสินทรัพย์อ้างอิงในตลาดหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ ด้วยราคาที่โปร่งใส ซึ่งจะแตกต่างจากการเทรด Futures ETFs ที่อาศัยสัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้าของคริปโตเคอร์เรนซี

 

ริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance

ริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Binance กล่าวว่า “การอนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETFs จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างรากฐานด้านความไว้วางใจในตลาดคริปโตให้แก่ผู้คนในวงกว้าง โดย Spot Bitcoin ETFs ถือเป็นใบเบิกทางที่จะนำพาคนให้เข้าสู่ตลาดคริปโตได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังช่วยดึงดูด

นักลงทุน และเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การลงทุนผ่านบิทคอยน์โดยตรง รวมถึงช่องทางการลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับกลยุทธ์การลงทุน รูปแบบความเสี่ยง และความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ นับเป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงยุคสมัยแห่งการยอมรับและความชอบธรรมของการใช้งานบิทคอยน์ เช่นเดียวกันกับการขยายพื้นที่ของคริปโตเคอร์เรนซีให้มากยิ่งขึ้น”

ลิสต์ของกองทุน Spot Bitcoin ETFs ที่ได้รับการอนุมัติ

ลิสต์ของกองทุน Spot Bitcoin ETFs ที่ได้รับการอนุมัติในเดือนมกราคม 2024 มีดังต่อไปนี้ ARK 21 Shares Bitcoin ETF (NYSE:ARKB) Bitwise Bitcoin ETF (NYSE:BITB) Blackrock’s iShares Bitcoin Trust (NASDAQ:IBIT) Fidelity Wise Origin Bitcoin Trust (NYSE:FBTC) Franklin Bitcoin ETF (NYSE:EZBC) Grayscale Bitcoin Trust (NYSE:GBTC) Hashdex Bitcoin ETF (NYSEARCA:DEFI) Invesco Galaxy Bitcoin ETF (NYSE:BTCO) Valkyrie Bitcoin Fund (NASDAQ:BRRR) VanEck Bitcoin Trust (NYSE:HODL) และ WisdomTree Bitcoin Fund (NYSE:BTCW)

ข้อได้เปรียบสำคัญของ Spot Bitcoin ETFs คือความสามารถในการขยายการเข้าถึงการลงทุนสู่ผู้คนในวงกว้าง พร้อมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องถือครองบิทคอยน์โดยตรง ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนสถาบันอย่างเช่น ผู้จัดการความมั่งคั่ง (Wealth Managers) และผู้ให้บริการสำหรับลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง (Private Banking) ที่ต้องการก้าวเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ที่มีความกระจายความเสี่ยงเหมาะสม (Passive Investment) ทั้งนี้ จากข้อมูลอ้างอิงของสถาบัน Investment Company ที่ชี้ให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางการเงินของตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ในสินทรัพย์ 401(k) การอนุมัติในครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญานที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในด้านกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่ง และการมีส่วนร่วมของสถาบันที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

Spot Bitcoin ETFs ยังได้มอบโอกาสอันน่าสนใจให้กับนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนและป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์อันน้อยนิดระหว่างบิทคอยน์และสินทรัพย์แบบดั้งเดิม อย่างเช่น หุ้นและพันธบัตร จึงทำให้ Spot Bitcoin ETFs สามารถกระจายความเสี่ยงไปพร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตของเหล่านักลงทุนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การที่นักลงทุนสามารถติดตามราคาบิทคอยน์ได้แบบเรียลไทม์ยังช่วยให้พวกเขาทราบสถานะการลงทุนของตนเองได้อย่างชัดเจนโปร่งใสตลอดช่วงเวลาการซื้อขายส่งผลให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที รวมถึงทยังช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกของตลาด อิทธิพลของสภาพคล่อง การลดความผันผวนของตลาดให้กับเหล่านักลงทุนด้วยเช่นกัน

การที่ ก.ล.ต. อนุมัติให้มีการซื้อขาย Spot Bitcoin ETFs ในตลาดหุ้นอย่าง the New York Stock Exchange (NYSE) และ Nasdaq ถือเป็นการดึงดูดนักลงทุนสถาบันที่คุ้นเคยกับการดำเนินงานภายใต้ขอบเขตการกำกับดูแลได้เป็นอย่างดี โดยการอนุมัติครั้งนี้ได้ผสานกฎระเบียบของตลาดการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับโลกแห่งนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งช่วยขยายการมีส่วนร่วมของสถาบันไปยังโลกคริปโตเคอร์เรนซี พร้อมสร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งให้กับตลาด

การขยายตัวของ Spot ETFs ไปยังหลากหลายตลาดการเงินหลักได้ส่งเสริมให้ระบบนิเวศน์ทางการเงินระดับโลกมีความครอบคลุม หลากหลาย และแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากเมื่อภูมิทัศน์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโต การมีส่วนร่วมของสถาบันก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องและความลึกของตลาดสูงขึ้น ราคามีความเสถียรมากขึ้น ความผันผวนลดลง จนสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดให้พร้อมดึงดูดเหล่านักลงทุนให้เกิดขึ้นในระยะยาว

การมาถึงของ Spot Bitcoin ETFs ของสหรัฐฯ ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะการลงทุนทางการเงินที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมในคริปโตให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่านักลงทุนสถาบัน ผ่านวิธีการที่พวกเขาคุ้นเคย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การพัฒนา ETFs ของสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นในอนาคต รวมถึง Spot ที่มีศักยภาพและ future-based Etheruem ETFs ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่สถาบันการเงินต้องปรับตัวให้เข้ากับไดนามิกของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้ทันต่อไป

1 มีนาคม 2024

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ราคา Bitcoin (BTC) สามารถปรับขึ้นได้ประมาณ 8.6% ทำระดับสูงสุดที่ 2,000,000 บาท ท่ามกลางรายงานว่าปริมาณซื้อขายของบรรดากองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ราคาบิทคอยน์เคยยืนเหนือระดับ 2 ล้านบาทเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนปี 2564 หรือประมาณ 3 ปีที่แล้ว โดยในปีเดียวกันนั้น ราคาบิทคอยน์ได้ทำระดับสูงสุดที่ 2,285,500 บาทในเดือนพฤศจิกายน ปี 2564 ซึ่ง ณ ตอนนั้นมีปัจจัยมาจากชื่อเสียงของ Bitcoin ที่เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั่วไปมากขึ้น

ขณะที่ราคาคริปโทเคอร์เรนซีสกุลอื่น ๆ ต่างปรับสูงขึ้นตามราคาบิทคอยน์ในวันนี้ เช่น ราคา Ethereum (ETH) สกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดเป็นอันดับ 2 สามารถปรับขึ้นได้ 3.74% ทำระดับสูงสุดที่ 115,613 บาท ขณะที่ราคา Cardano (ADA) สามารถปรับขึ้นได้ 5.39% ทำระดับสูงสุดที่ 22.44 บาท เป็นต้น

บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่าราคา BTC ที่ปรับขึ้นในช่วงนี้เป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์เหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ประกอบกับความต้องการบิทคอยน์ของกองทุน Spot Bitcoin ETF ทำเกิดการเข้าซื้อบิทคอยน์เพื่อสะสมก่อนเกิดการ Halving เนื่องจาก Bitcoin Halving จะทำให้รางวัลจากการขุด Bitcoin ลดลงครึ่งหนึ่งจาก 6.25 BTC เหลือ 3.125 BTC ส่งผลให้อุปทานของบิทคอยน์ลดน้อยลง โดย Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ถูกคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ที่จะถึงนี้ ทั้งบรรดากองทุนและนักลงทุนรายย่อยจึงทยอยซื้อบิทคอยน์เพื่อสะสมรอการมาถึงของ Bitcoin Halving

อ้างอิง: Bitkub Blog


คำเตือน:

*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

**สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

***ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดำเนินงานในอนาคต

ตอนต้นปี 2556 เพื่อนคนหนึ่ง ได้ซื้อ Bitcoin ด้วยเงิน 2 แสนบาท ได้บิทคอยมาประมาณ 13 บิทคอยกว่าๆ

แม้ว่าเขาจะขายไปหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อราคามันพุ่งขึ้นกว่าสิบเท่า แต่ก็ยังถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับมูลค่า ณ ขณะนี้

 

ถึงกระนั้น เขาก็ได้กำไรมามากอย่างน่าพอใจ มากพอที่จะครอบคลุมค่าเทอมและค่ากินอยู่ของลูกสาวที่ตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่ปารีสได้สบายๆ

ในปีนั้น และยังเหลือให้เขานำกลับไปลงทุนซื้อ Ethereum อีกจำนวนพอสมควร

 

แม้จะเสียดายที่ขายเร็วไป แต่บทเรียนครั้งนั้นทำให้เขาเข้าใจหลักการลงทุนลึกซึ้งขึ้น

 

จึงอยากจะมาแชร์ให้ฟัง

อันที่จริง เขาไม่ได้กะจะลงทุนในบิทคอยเลย เพราะเขามีพอร์ตที่เข้ากับนิสัย ความชอบ และรสนิยมความเสี่ยง ของเขาลงตัวแล้ว ทั้งหุ้นเทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ และของสะสมจำนวนหนึ่ง

แต่เขาเข้ามาซื้อเพราะจะหาทางลดค่าใช้จ่ายในการโอนเงินระหว่างประเทศไปให้ลูกทุกเดือน

 

สมัยนั้น การโอนผ่านบล็อกเชนยังไม่มี เขาจึงต้องโอนผ่านระบบ SWIFT ซึ่งเสียค่าธรรมเนียมมาก ทั้งต้นทางปลายทาง รวมๆ แล้วหลายพันบาทต่อเดือน

เขาจึงมาปรึกษาผม และผมก็บอกให้เขาลองใช้บิทคอยดู

 

ขณะนั้น ราคาบิทคอยยังไม่สวิงสวายมาก เขาน่าใช้วิธีโอนเป็น Token ไปให้ลูก แล้วให้ลูกไปขายออกทางโน้นแทน โดยคิดว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการโอนได้บ้าง และสร้างนิสัยให้ลูกได้ติดตามอินโนเวชั่นทางการเงินใหม่ๆ ของโลกไปด้วยในตัว

 

แต่พอศึกษาเรื่องบิทคอยแล้ว เขาก็เห็นว่ามันมีข้อดี มันเป็นเสมือนทองคำ ที่ใช้พักเงินไว้ระยะยาวได้ โดยลดความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ อันเนื่องมาแต่ความกลัวเรื่องฝรั่งพิมพ์เงินแบบไม่จำกัดนั่นเอง

 

เขาจึงทดลองซื้อครั้งแรกเพียง 2 แสนบาท เพราะตอนนั้นเขามีเงินที่ไม่ได้ใช้อยู่เท่านั้น คิดว่าถ้าเจ๊งก็ช่างมัน ไม่เป็นไร

อย่างไรก็ดี เมื่อลูกสาวเขาไปขอเปิดบัญชีกับ Crypto Exchange ที่ปารีส (สมัยนั้นใหญ่ที่สุดคือ Coinbase) ก็ปรากฏว่าไม่สามารถเปิดได้

เพราะลูกสาวของเขายังถือพาสปอร์ตไทย แม้ตัวจะอยู่ปารีส แต่ Coinbase ยังนับเป็นไทย และ Coinbase ณ ขณะนั้นยังไม่เปิดให้บริการในตลาดไทย

 

นั่นทำให้ความคิดนี้เหลวไป และบิทคอย 13 บิทคอย ก็เลยค้างอยู่ในวอลเล็ตของเขา โดยที่เขาไม่ได้ไปสนใจมันอีกเลย

เลยตามเลยไปแบบนั้น

แต่เมื่อราคามันระเบิดปะทุขึ้นจากคนแห่งมาเก็งกำไรกันทั้งโลก เขาก็เลยขายไปในเวลาไม่นานนัก ได้ผลตอบแทนมาก้อนใหญ่มากเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ลงไป

ก็เลยลองเจียดกำไรส่วนน้อย Reinvest ไปอีกกับ Ethereum เพราะราคายังถูกกว่าบิทคอยมาก

 

หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ตลาดคลิปโตก็ล่ม เขาต้องรออีก 3 ปี กว่าจะมาทำกำไรอีกรอบหนึ่งสำหรับ Ethereum ที่ถือไว้ ซึ่งก็ได้กำไรมาแยะมาก

เมื่อเทียบกับต้นทุน และถ้าคิดเป็นอัตราผลตอบแทน นับว่าสูงกว่าหลักทรัพย์อื่นในพอร์ตปกติของตัวเองมากเลยทีเดียว สูงแบบกระโดดไปเลย

 

ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของพอร์ต สองปีนั้นสูงเป็นประวัติการณ์

ทฤษฏีพอร์ตฟอริโอ บอกให้เราผสมผสานระหว่างหุ้นกู้ หุ้นสามัญ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ฯลฯ เพื่อกระจายความเสี่ยงใช่ไหม

 

ถูกแล้ว เราควรฟอร์มพอร์ตโฟลิโอที่มีแต่สินทรัพย์ที่เราคิดว่าปลอดภัยและสร้างรายได้ให้เราสม่ำเสมอ

ทว่า บทเรียนของเพื่อนผมครั้งนี้ สอนให้เรารู้ว่า เราต้องกันเงินประมาณะ 1-5% มาเพิ่มรสชาติให้กับพอร์ต

ด้วยการซื้อไอเดียหรือสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากๆๆๆๆ ที่มีศักยภาพสูง ที่เมื่อมันสำเร็จ มันจะสร้างผลตอบแทนชนิดระเบิดเถิดเทิง

 

เรียกว่า Explosive Growth

เป็นการเติมชูรสให้กับพอร์ตของเรา โดยการเจียดเงินจำนวนเล็กน้อย (สัก 1-5% ของพอร์ต) ไปกับไอเดียหรือสินทรัพย์แบบซูเปอร์เสี่ยง คือเสี่ยงสูงมากๆๆๆๆแต่มีศักยภาพสูงมากชนิดระเบิดเถิดเทิง เช่นกัน

ถ้ามันสำเร็จ เจ้า 1-5% นี้ ก็จะกลายเป็นหลายสิบเปอร์เซนต์ของพอร์ตเลยทีเดียว

ทีนี้ เมื่อพอร์ตเราโตขึ้นด้วยวิธีนี้ สัดส่วน 1-5% มันก็จะใหญ่ขึ้นตามด้วย ทำให้เราสามารถเจียดเงินมาเสี่ยงได้มากขึ้น

และแทนที่เราจะแทงไปที่สินทรัพย์ตัวเดียวหรือไอเดียเดียว เราก็แบ่งแทงสัก 10 ตัวก็ได้

 

เช่นถ้าเราเจียดมาได้สัก 1 ล้านบาท พร้อมที่จะแทงแบบ “เสียช่างมัน” แทนที่จะแทงตัวเดียว ก็แบ่งเป็นซื้อสินทรัพย์เสี่ยงสัก 10 ตัว ตัวละแสนบาท

แน่นอน ว่าสินทรัพย์ที่เราซื้อหลายตัวในนั้นอาจเหลวเป๋วไป หรืออาจจะมลายหายไปสิ้นหมด

 

แต่ถ้ามันถูกสักตัวหนึ่ง มันก็จะทำให้พอร์ตเราโตก้าวกระโดดได้อีกขั้นหนึ่ง โดยความเสี่ยงแทบจะเพิ่มน้อยมาก

ยุคนี้เป็นยุคที่สินทรัพย์ประเภทนี้มีให้เลือกแยะมาก ไม่จำเป็นที่ต้องเป็น Venture Capital Fund เท่านั้น ที่เข้าถึงได้

 

ข้อสำคัญคือต้องศึกษา Fundamental ของสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านั้นให้ดีก่อนลงทุน และหลีกเลี่ยงการใช้ Leverage

ลองเติมชูรสเข้าไปในพอร์ตของท่านสักนิดดูเองเถอะ

ขอให้โชคดี!

นักลงทุนรุ่นใหม่ เผยราคาบิทคอยน์มีโอกาสปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ภายในปีนี้

นักลงทุนรุ่นใหม่ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบิทคอยน์ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานในช่วงการ Halving รอบก่อน

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click