อันดับที่ 1 ประสบการณ์เครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์ที่ครอบคลุม จะเร่งการติดตั้ง 5G ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์ 5G และโซลูชันของเราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมส่วนใหญ่ทั่วโลก ในปัจจุบัน หัวเว่ยได้ลงนามเซ็นสัญญาร่วมกับผู้ให้บริการระบบการสื่อสารโทรคมนาคมทั้งหมด 91 แห่งและได้จัดส่งผลิตภัณฑ์ 5G ไปแล้วมากกว่า 600,000 ชิ้น โดยประสบการณ์ในการติดตั้งเครือข่ายโทรคมนาคมที่ผ่านมาทั้งหมดจะถูกนำไปใช้พัฒนาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถติดตั้งเครือข่าย 5G ได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่สุด” นายหยาง เชาปิน กล่าว
นาย หยาง เชาปิน
อันดับที่ 2 พอร์ตโฟลิโอที่รอบด้าน พร้อมมอบประสบการณ์ 5G อันเหนือชั้นอย่างต่อเนื่อง
หัวเว่ยมีพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมเหมาะสมในทุกสถานการณ์ โดยสถาปัตยกรรมเครือข่ายสามชั้นประกอบด้วย สถานีฐานขนาดใหญ่หลายแห่งเพื่อประสิทธิภาพและความครอบคลุมขั้นพื้นฐาน การติดตั้งระบบ Easy Macro ที่ไซต์เสาเครือข่ายสัญญาณเพื่อส่งเสริมความครอบคลุม และโซลูชัน LampSite สำหรับระบบดิจิทัลภายในอาคาร ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความครอบคลุมของเครือข่ายที่ราบรื่นและมอบประสบการณ์ที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ หัวเว่ยยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Massive MIMO AAU
อันดับที่ 3 โซลูชันอัลตร้าบรอดแบนด์หนึ่งเดียวของอุตสาหกรรม เพื่อการติดตั้งเครือข่ายที่ง่ายยิ่งขึ้น
ในยุค 5G คลื่นความถี่แบบ TDD แบนด์วิดท์ขนาดใหญ่ที่มีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการสร้างประสบการณ์ 5G อย่างเหนือชั้น อย่างไรก็ตาม มีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมจำนวนไม่น้อยที่ได้รับเซ็กเมนท์ของคลื่นความถี่ที่ไม่ต่อเนื่อง เพราะปัจจัยเรื่องกรรมสิทธิ์ของดาวเทียมหรือการแบ่งสรรปันส่วนที่อาจไม่เท่าเทียมกัน หัวเว่ยจึงได้เปิดตัวโซลูชันอัลตร้าบรอดแบนด์หนึ่งเดียวของวงการอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนคลื่นความถี่แบนด์วิดท์สูงสุดที่ 400 เมกะเฮิรตซ์
อันดับที่ 4 เบลด AAU สุดพิเศษ ครบจบในหนึ่งเดียว ลดความซับซ้อนในการติดตั้ง
นายหยาง เชาปิน กล่าวว่า “ในกระบวนการการพัฒนาระบบการสื่อสารแบบไร้สาย ผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคมเลือกใช้ยูนิตเสาอากาศไร้สายจำนวนมากเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนไซต์เครือข่ายสัญญาณและเสาสัญญาณ แต่ตอนนี้ ผู้ให้บริการกลับต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนพื้นที่ติดตั้งเสาอากาศไร้สาย ดังนั้นเสาสัญญาณเบลด AAU ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของหัวเว่ย ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของเราในฐานะที่เป็นอุปกรณ์ “เรียบง่ายอย่างเหนือชั้น” ด้วยเป้าหมายที่ช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) และการลงทุนในฮาร์ดแวร์และไซต์เครือข่ายสัญญาณ
อันดับที่ 5 โซลูชันเครือข่ายโทรคมนาคม DSS เชิงพาณิชย์เจ้าแรกของอุตสาหกรรม เพื่อการติดตั้ง FDD NR อย่างรวดเร็ว
ปี 2563 จะเป็นปีแห่งการติดตั้งเครือข่าย 5G เป็นจำนวนมหาศาลทั่วโลก นอกจากการติดตั้งเครือข่าย 5G หลัก
ในย่านคลื่นความถี่ 1-6 เมกะเฮิรตซ์แล้ว ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมยังสามารถติดตั้งเครือข่าย 5G ในช่วงคลื่นความถี่ต่ำกว่า 3 เมกะเฮิรตซ์ FDD เพื่อครอบคลุมเครือข่าย 5G อย่างรวดเร็วได้ โดยสำหรับคลื่นความถี่ FDD ใหม่ในขณะนี้ ข้อแนะนำของหัวเว่ยคือการติดตั้งสัญญาณเครือข่าย 5G โดยตรงจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ
อันดับที่ 6 อัลกอริทึมอัจฉริยะ เสริมศักยภาพเครือข่ายชั้นนำ
“หัวเว่ยได้พัฒนาเทคโนโลยีการส่งสัญญาณแบบ Massive MIMO อย่างรอบด้าน ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และการประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยได้จัดทำพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์และอัลกอริทึมที่เหนือชั้นเพื่อเสริมศักยภาพระบบ Massive MIMO ของเราให้ล้ำหน้าอยู่เสมอ ด้านซอฟต์แวร์อัลกอริทึม หัวเว่ยพร้อมด้วยเทคโนโลยีการส่งสัญญาณแบบ MU-MIMO การระบุข้อกำหนดซอฟต์แวร์ หรือ SRS เทคนิคการประมวลผลสัญญาณแบบ full-channel beamforming
อันดับที่ 7 เทคโนโลยี 5G สีเขียว ใช้พลังงานน้อยลง
ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเป็นอีกหนึ่งสิ่งจำเป็นในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารของอุปกรณ์มือถือให้สมบูรณ์และยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยี 5G ซึ่งหัวเว่ยพร้อมมอบโซลูชันการประหยัดพลังงานแบบครบวงจร ที่ได้นำเอาเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ไซต์เครือข่ายรูปแบบใหม่ และระบบการประสานงานทั่วเครือข่ายด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้งาน เพื่อลดการใช้พลังงานในการกระจายสัญญาณ 5G ต่อบิต พร้อมด้วยนวัตกรรมการออกแบบชิปและอัลกอริทึม วัสดุฮาร์ดแวร์คุณภาพสูง และเทคโนโลยีกระจายความร้อนล้ำสมัย
อันดับที่ 8 โซลูชันแบบคอนเวิร์จ NSA/SA แบบครบวงจร เพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงดิจิทัลของอุตสาหกรรมในอนาคต
“เทคโนโลยี 5G ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งานโดยตรง แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเชิงดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรม จึงทำให้เทคโนโลยี 5G แตกต่างจากเทคโนโลยีกระจายสัญญาณรุ่นก่อนหน้า โดยมาตรฐาน Release 16 จาก 3GPP จะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เทคโนโลยี 5G จะสามารถรับส่งข้อมูลที่มีเสถียรภาพสูงและความหน่วงต่ำ ได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น
อันดับที่ 9 โซลูชัน SUL E2E (Super Uplink) แบบครบวงจรที่มีเอกลักษณ์ เติมเต็มประสบการณ์และศักยภาพการเชื่อมโยงในอุตสาหกรรม
ระบบ TDD แบบดั้งเดิมจะเน้นที่ความต้องการของเทคโนโลยี enhanced Mobile Broadband (eMBB) ซึ่งทำให้ความสามารถในการดาวน์ลิงก์สูงกว่าอัปลิงก์เป็นอย่างมาก จึงไม่สามารถส่งข้อมูลอัปลิงก์ขนาดใหญ่และมีความหน่วงต่ำ ซึ่งจำเป็นต่อการใช้งานบางอย่างในภาคอุตสาหกรรม เช่น การถ่ายทอดสดแบบ 4K และ 8K เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว หัวเว่ยจึงได้เปิดตัวโซลูชันนวัตกรรม Super Uplink ขึ้น เพื่อประสานการส่งสัญญาณแบบ TDD และสเปคตรัม FDD
อันดับที่ 10 โซลูชันการจัดแบ่งเครือข่าย ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงดิจิทัลในอุตสาหกรรม
เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลในอุตสาหกรรมให้ดียิ่งขึ้น หัวเว่ยได้เปิดตัวโซลูชันการจัดแบ่งเครือข่ายที่ครอบคลุมตั้งแต่เครือข่ายการรับส่งทางคลื่นวิทยุ core network เครือข่ายคมนาคม ไปจนถึงเครื่องปลายทาง เพื่อให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมและลูกค้าอุตสาหกรรมสามารถส่งมอบบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมกับการันตีแบนด์วิดท์สูงและความหน่วงสัญญาณต่ำ ส่งผลให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างไร้กังวล โดยโซลูชันดังกล่าวสามารถนำมาใช้ได้กับหลากหลายสถานการณ์ในแต่ละอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) พอร์ตอัจฉริยะ โรงงานอัจฉริยะ หรือเทคโนโลยีคลาวด์ AR/AR จึงทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ ในขณะเดียวกัน ยังสร้างโอกาสให้ผู้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมสามารถแสวงหาตลาดใหม่ๆ ได้อีกด้วย
นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ นายเกษมศักดิ์ วงศ์อุไร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย พลตำรวจตรีสามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 พ.ต.อ.สุธี เสน่ห์ลักษณา ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ นางสาวโศรยา วัธชนะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตรักษาราชการ ผู้อำนวยการเขตยานนาวา พร้อมด้วยทีม TIP SMART ASSIST และทีมอาสาบรรเทาภัยจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมพลังลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนคลองขวาง พระรามสาม หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยมอบถุงยังชีพ อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า เครื่องอุปโภค-บริโภค อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ทางสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆยังตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกประชาชนเพื่อแจ้งความต่างๆ และการไฟฟ้าเข้ามาติดตั้งไฟส่องสว่าง เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน มีขวัญและกำลังใจกลับมาใช้ชีวิต อย่างปกติได้อย่างโดยเร็วที่สุด
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดยนายอัลเจอร์ ฟัง (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายกฤษณ์ จันทโนทก (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารตัวแทนประกันชีวิต พร้อมคณะผู้บริหาร เข้ามอบเงินจำนวน 2,000,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 ให้กับนายวิเชียร จันทรโณทัย (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ณ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา โดยมี นายชนะพล มหาวงษ์ (ที่ 2 จากขวา) รองเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นสักขีพยาน ทั้งนี้ เหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าว ส่งผลให้ลูกค้าเอไอเอ 9 ท่านเสียชีวิต ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นตัวแทนของเอไอเอ และอีก 5 ท่านได้รับบาดเจ็บ โดยบริษัทได้อนุมัติจ่ายสินไหมมรณกรรมอย่างเร่งด่วนให้กับผู้รับผลประโยชน์เป็นจำนวนรวม 9.9 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ เอไอเอ ยังมอบเงินช่วยเหลือพิเศษให้กับลูกค้าเอไอเอ จำนวน 50,000 บาทในกรณีเสียชีวิต และ 20,000 บาทในกรณีได้รับบาดเจ็บ
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ลงนามกับนายอัตสึโอะ คุโรดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance : NEXI) ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการรับประกัน (Insurance) โดยมีนายนะชิดะ คะสุยะ เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และนายพิริยะ เข็มพล กรรมการ EXIM BANK เป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในพิธีลงนาม เพื่อใช้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในตลาด CLMV และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ของไทย ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับ NEXI ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการให้บริการทางการเงินในรูปแบบการรับประกันและการรับประกันต่อ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมั่นใจที่จะขยายการส่งออกและโครงการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในไทย ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ของญี่ปุ่น การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรธุรกิจของญี่ปุ่น การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะ SMEs และโอกาสใหม่ ๆ ทางการตลาด อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในญี่ปุ่น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงด้านการลงทุนภายใต้ความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงานนี้จะช่วยให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องกังวลความเสี่ยงจากผู้ซื้อ ประเทศผู้ซื้อ หรือประเทศเป้าหมายที่เข้าไปลงทุน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการที่ใช้บริการประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนของ EXIM BANK สามารถโอนสิทธิในกรมธรรม์ประกันการส่งออกและการลงทุนเป็นหลักประกันในการขอรับสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น EXIM BANK และ NEXI ยังมีความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่างกัน ช่วยสนับสนุนการทำหน้าที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาการส่งออกและการลงทุนของ EXIM BANK ได้เป็นอย่างดี ทำให้ EXIM BANK สามารถรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจรับประกันได้มากขึ้น ขยายขอบเขตการให้บริการแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยและญี่ปุ่นได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมี NEXI ร่วมรับความเสี่ยงในการสนับสนุนธุรกรรมการส่งออกและการลงทุน
“EXIM BANK ขยายความร่วมมือกับ NEXI ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย ในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อยกระดับศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทย กระตุ้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรม ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในไทยและขยายไปยังตลาด CLMV ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคและโลกโดยรวม” นายพิศิษฐ์กล่าว