

ตอกย้ำความยั่งยืนพร้อมมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน พฤกษา โฮลดิ้ง รับรางวัลหนังสือชมเชย ประจำปี 2568 ในฐานะองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือราชการกรมป่าไม้ สาขาการฟื้นฟูและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ เนื่องในวันสถาปนากรมป่าไม้ ครบรอบ 129 ปี ตอกย้ำพันธกิจด้านการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ผ่านโครงการ “ร่วมปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ” ที่ฟื้นฟูพื้นที่ป่า สร้างสรรค์สังคมอยู่ดีทั้งชีวิต ภายใต้แนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) โดยมี นายอุดมศักดิ์ แย้มนุ่น ที่ปรึกษาผู้บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนรับรางวัล จาก ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รางวัลในครั้งนี้ แสดงถึงความตั้งใจของพฤกษา โฮลดิ้ง ในการฟื้นฟูและพัฒนาผืนป่า ผ่านกิจกรรมปลูกต้นไม้กว่า 100,000 ต้น พร้อมบำรุง และอนุรักษ์ป่า บนพื้นที่ 370 ไร่ ต.ห้วยบง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจ และพนักงานจิตอาสากว่า 600 คน ร่วมภารกิจดูแลและติดตามผลตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 พร้อมทั้งยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืน ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว ยังถือเป็นการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรพฤกษา "Impact for Good ใช้ใจทำดี เพื่อผลลัพธ์ที่ดี" ตามแนวคิด ESG ที่ถูกปลูกฝังในทุกขั้นตอนของการดำเนินงานอีกด้วย
พฤกษา โฮลดิ้ง รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก ปี 2568 ทำรายได้ 6,944 ล้านบาท ยืนหยัดสร้างการเติบโตท่ามกลางภาวะตลาดท้าทาย ด้วยกลยุทธ์ขับเคลื่อน 2 ธุรกิจหลัก อสังหาริมทรัพย์และเฮลท์แคร์ ควบคู่การขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และยังคงรักษาสถานะทางการเงินมั่นคง ด้วยอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.32 เท่า สะท้อนการบริหารจัดการทางการเงินที่ดีในอุตสาหกรรม พร้อมวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ใช้กว่า 9,100 ล้านบาท
นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯ ทำรายได้ 6,944 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ 34.5% จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนไว้ในระดับต่ำได้ดีที่ 0.32 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ใช้กว่า 9,100 ล้านบาท สำหรับทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง เดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ “The Strategic Rebound” เสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการปรับโครงสร้างพอร์ต การผสานพลังธุรกิจในเครือ และการต่อยอดโมเดลธุรกิจใหม่ ดังนี้

1) RESHAPING PORTFOLIO – ปรับพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดระดับกลางถึงบน รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต พร้อมชูโครงการในทำเลศักยภาพและมีดีไซน์ตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
2) WINNING THE CORE – BUSINESS SYNERGY ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่ แกนแรก Cost Leadership ยกระดับการก่อสร้างแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรายเดียวที่ครอบคลุมครบทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำ แกนที่สอง Quality Excellence ความเป็นเลิศด้านคุณภาพ บริการครบวงจรเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และแกนสุดท้าย Well Living at Home การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตแบบครบวงจร พร้อมมุ่งขยายสู่ตลาดใหม่ในภาคก่อสร้าง ทั้ง B2C ผ่านแบรนด์ “แพลนท์เนอรี่” รับสร้างบ้านกลุ่มกลาง-บน ด้วยนวัตกรรม Inno-Tech และการรับประกันโครงสร้าง 20 ปี และ B2B ผ่านแบรนด์ “ไอเอชซี” (หรืออินโน โฮม คอนสตรัคชั่น) รับสร้างโครงการอสังหาฯ โรงแรม อพาร์ตเมนต์ หอพัก และโฮมออฟฟิศ ด้วยจุดแข็งบริการจุดเดียวครบวงจร ควบคุมต้นทุน และมีพันธมิตรด้านการก่อสร้างครบครัน พร้อมธุรกิจพรีคาสท์ ขยายผลิตภัณฑ์ เสาและคานพรีคาสท์ จาก “อินโน พรีคาสท์”
เดินหน้ารุกช่องทางการขายใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายเอเจนต์ ในส่วนของธุรกิจเฮลท์แคร์ได้เตรียมจัดทำแคมเปญการตลาดร่วมกับพันธมิตรเครือข่าย (Affiliate) เพื่อเจาะตลาดผู้ป่วยต่างชาติด้วยแพ็คเกจราคาที่แข่งขันได้ รวมถึงขยายฐานลูกค้าพรีเมียมผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายที่ปรึกษาทางการเงินและประกันชีวิตระดับโลก MDRT และการสร้างความร่วมมือกับองค์กรและสหภาพแรงงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ ยังเสริมศักยภาพองค์กรผ่านการต่อยอดโมเดลธุรกิจใหม่ด้วยโปรแกรม “พฤกษา พาส” (Pruksa Pass) โซลูชันเช่าซื้อยืดหยุ่น “เช่าก่อน ซื้อทีหลัง” โดยเงินค่าเช่าบางส่วนสามารถนำไปเป็นเงินดาวน์เมื่อซื้อบ้านจริงและมีการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) ผ่านแบรนด์ “ไอเพลิน” (iPlearn) ธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ให้ผลตอบแทนค่าเช่า 6–8% ต่อปี ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้
3) STRATEGIC BRANDING MOVE ยกระดับภาพลักษณ์และการสื่อสารแบรนด์ เพื่อสะท้อนคุณค่าของการใช้ชีวิต “LIFETIME WELL-LIVING: อยู่ดี...ทั้งชีวิต” ตอกย้ำปรัชญาการสร้างบ้านที่มากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือการสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีไปตลอดชีวิต
4) PEOPLE – STRUCTURE TRANSFORMATION พัฒนาโครงสร้างองค์กรและศักยภาพบุคลากร Work Life Well-Lived มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และเสริมความพร้อมสู่การแข่งขันอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 กลุ่มเรียลเอสเตท ทำยอดขาย 5,400 ล้านบาท มีรายได้ 5,172 ล้านบาท เปิดตัว 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ถึงคอนโดมิเนียม โดยมุ่งยกระดับพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดระดับกลางถึงบน พร้อมชูจุดเด่นด้านคุณภาพวัสดุ ดีไซน์เพื่อสุขภาวะ และทำเลศักยภาพสูง ประสบความสำเร็จอย่างสูง จากการเปิดจองโครงการ “แชปเตอร์ เจริญกรุง–ริเวอร์ไซด์” คอนโดมิเนียม Low-Rise ที่เป็น Rare Item บนที่ดิน Freehold ผืนท้าย ๆ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถทำยอดขายไปได้ถึง 733 ล้านบาท หรือ คิดเป็น Take Up Rate ที่ 51.3% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเร่งปิดการขายโครงการเก่า และใช้กลยุทธ์การแบ่งโซน (Zoning Strategy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขายด้วย
สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง มีแผนเปิดโครงการใหม่รวม 12 โครงการ เป็นแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโด 1 โครงการ มูลค่า 1,130 ล้านบาท มุ่งเปิดโครงการที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน อาทิ บ้านเดี่ยวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ เดอะ รีเซิร์ฟ วิลล่า สุขุมวิท 89/1 ที่สุดของทำเลทอง บนถนนสุขุมวิท โดดเด่นด้วยการออกแบบระดับเวิลด์คลาสโดย A49 พูลวิลล่าจำนวนจำกัดเพียง 26 ยูนิต พร้อมศักยภาพการเติบโตของมูลค่าในระยะยาว ซึ่งเป็นโครงการ Partnership กับ CapitaLand และ โครงการเดอะปาล์ม คอร์ทยาร์ด บางนา กม.8 เพียง 70 ยูนิต ด้วยการจัดผังบ้านแบบคอร์ทยาร์ด วัสดุประหยัดพลังงาน รองรับทุกวัยด้วย Universal Design ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ

พร้อมเตรียมจัดงานอีเวนต์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “Pruksa D Day Sale” ครั้งแรก และครั้งเดียว ซึ่งเป็นงานที่รวมที่สุดของข้อเสนอแห่งปี สำหรับบ้าน-คอนโด-ทาวน์โฮม ทุกแบรนด์และทุกเซกเมนต์ในเครือ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี คอนโดติดรถไฟฟ้า ทาวน์โฮมทำเลเมือง จองเริ่มต้นเพียง 499 บาท ฟรีค่าโอน ค่าจดจำนอง ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า-ประปา ค่าส่วนกลางสูงสุดถึง 5 ปี เลือกของแถมได้กว่า 50 รายการ ยูนิตพิเศษในงานลดสูงสุดถึง 35% รวมส่วนลดกว่า 431 ล้านบาท พร้อมรับดอกเบี้ยพิเศษ รับ I-phone16 128 GB 1 เครื่อง ทุกหลัง (100 หลังแรก) พร้อมลุ้นรางวัลบ้านและคอนโด และ Gift Voucher ทองคำ มูลค่า 50,000–200,000 บาท โดยกำหนดจัดงานในวันที่ 29 - 31 สิงหาคมนี้ ที่อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก
นายแพทย์ นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรกของกลุ่มวิมุต ทำรายได้ครึ่งปีแรก 1,044 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อน สามารถทำกำไร EBITDA พุ่งขึ้นเป็น 88 ล้านบาท (จาก 23 ล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2567) การเติบโตนี้เกิดจากจำนวนผู้ป่วยนอก (OPD) ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับจำนวนผู้ป่วยใน (IPD) ที่ได้รับแรงหนุนจากการเปิดศูนย์สุขภาพปอดแห่งใหม่ของวิมุต ซึ่งได้นำนวัตกรรม EBUS (Endobronchial Ultrasound) มาใช้ เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคปอดได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และลดความจำเป็นในการผ่าตัด ส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ มีผลการดำเนินงานดีขึ้นหลังปรับการรับผู้ป่วยอุบัติเหตุ และขยายบริการด้านสุขภาพ Health-to-Home ร่วมกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของพฤกษา นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนพัฒนาโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่งต่อเนื่อง ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต ออร์โธปิดิกส์ ทองหล่อ ที่ลงทุนร่วมกับ CapitaLand และ โรงพยาบาลวิมุต สุขุมวิท ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2570 และ 2571 ตามลำดับ เพื่อตอบรับวิถีชีวิตเชิงสุขภาพของคนเมือง

ด้านแผนดำเนินงานครึ่งปีหลังของกลุ่มวิมุต มุ่งยกระดับศักยภาพศูนย์หัวใจและหลอดเลือด (Cardiology) และศูนย์กระดูกและข้อ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมรุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคโอเชียเนีย ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร CosMediTour ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอำนวยความสะดวกทางการแพทย์แก่คนไข้ต่างชาติ พร้อมเจาะตลาดผู้ป่วยพรีเมียมผ่านเครือข่ายพันธมิตรประกันภัย นายหน้า และดึงดูดด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (Magnet Doctors) เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น ทั้งยังจะเพิ่มอัตราเติบโตของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการผ่านการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศ (COE) เจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร ผู้เอาประกัน และชาวต่างชาติ และเดินหน้าสร้างความร่วมมือด้านสุขภาพกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือพฤกษา เพื่อพัฒนาโครงการที่ผสานสุขภาพกับการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ
“พฤกษา โฮลดิ้ง” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้รวม 3,705 ล้าน จากการเปิดเกมรุกอสังหาฯ ครบเซ็กเมนต์ ผนึกกำลังด้านธุรกิจเฮลท์แคร์เดินหน้าสู่ผู้นำด้านเวลเนส เรสซิเดนซ์ การอยู่อาศัยที่ผสานความเป็นอยู่ที่ดีควบคู่การบริการด้านสุขภาพแบบยั่งยืน ยกระดับการอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” พร้อมเดินเกมรุกขานรับมาตรการรัฐในไตรมาส 2 ด้วยการจัดแคมเปญ “บิงโกล์ด” ลุ้นบิง ชิงทอง ให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์ครบทุกช่องทาง ทั้งได้ลุ้นรางวัล ได้ฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอน และได้ส่วนลดเพิ่มเติม เปิดโอกาสให้เป็นเจ้าของบ้านและคอนโดได้ง่ายขึ้น

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว การปฏิเสธสินเชื่อในระดับสูง และการชะลอการตัดสินใจซื้อในไตรมาสแรกเพื่อรอมาตรการผ่อนปรน LTV และมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองจากภาครัฐ แต่พฤกษา โฮลดิ้ง ยังรักษาความแข็งแกร่งของโครงสร้างรายได้ รวมถึงควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2568 ทำรายได้รวมอยู่ที่ 3,705 ล้านบาท และทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ 30.6% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทั้งในด้านการตลาด พัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารบุคคล และต้นทุนทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.3 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจากการเน้นการลงทุนเฉพาะในธุรกิจหลักที่สร้างมูลค่าได้จริง และการบริหารเงินที่มีประสิทธิภาพ
นายทองมา กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของกองทุน CapitaLand Wellness Fund หรือ C-WELL การลงทุนสินทรัพย์เพื่อส่งเสริมสุขภาพและการอยู่อาศัยภายใต้คอนเซ็ปต์การอยู่อาศัยแบบยั่งยืน “อยู่ดี มีสุข” โดยร่วมกับ CapitaLand เป็นการผนึกกำลังผ่านการร่วมลงทุนในธุรกิจหลักของบริษัทฯ รวมทั้งเป็นการขยายขีดความสามารถด้าน Hospitality ไปยังธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของเราในการส่งเสริมการลงทุนขยายธุรกิจใหม่ การกระจายสินทรัพย์ และการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอให้กับกลุ่มธุรกิจพฤกษา โฮลดิ้ง โดยเลือกลงทุนในทำเลที่มีความโดดเด่นด้าน Location โดยมีความคืบหน้าของโครงการที่กองทุนได้ลงทุนไป 1) โรงแรม Lyf Bugis ที่สิงคโปร์ พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ปีนี้ 2) The Palm Residences พัฒนาการ มูลค่าโครงการ 2,830 ล้านบาท จำนวน 57 ยูนิต ก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว เริ่มโอนในเดือนมีนาคม 3) The Reserve Villa สุขุมวิท 89/1 บ้านเดี่ยวสไตล์พูลวิลล่าระดับพรีเมียม มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท จำนวน 26 ยูนิต ออกแบบโดย A49 อยู่ระหว่างก่อสร้าง พร้อมโอนในไตรมาส 4 ปี 2568 และ 4) โรงพยาบาลวิมุต ทองหล่อ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกบนทำเลศักยภาพสูง พร้อมเปิดให้บริการในปี 2570 เป็นต้นไป

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 พฤกษา เรียลเอสเตท ทำยอดโอนได้ 2,888 ล้านบาท แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอการตัดสินใจของลูกค้าที่รอมาตรการรัฐรอบใหม่ รวมถึงยังไม่มีการโอนคอนโดใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่คาดว่ายอดโอนจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ที่มีโครงการใหม่รอโอนถึง 4 โครงการ รวมกว่า 10,000 ล้านบาท และทำยอดขาย 3,389 ล้านบาท ในไตรมาสแรก ปี 2568 เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นผลจากการเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ในระดับราคาที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริงและการลงทุน ประกอบด้วย ทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 2 โครงการ ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท และ The Palm แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมเปิดตัว 1 โครงการ ได้แก่ Chapter One Nord รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,760 ล้านบาท จำนวน 632 ยูนิต ราคา 2 - 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของโครงการในเฟสแรก

บริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า 4,378 ล้านบาท และสต็อกพร้อมขาย (Ready to move) รวม 6,781 ล้านบาท โดยกว่า 80% มีราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐในช่วงไตรมาส 2 และสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 2 ปี 2568 นายธีระ กล่าวว่าจะมีการเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์แบรนด์พาทิโอ และบ้านเดี่ยวแบรนด์ภัสสร รวม 3 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการในระดับราคา 5 - 15 ล้านบาท ที่ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง และในไตรมาส 3 เตรียมพบกับการเปิดตัวโครงการ Chapter Charoenkrung Riverside โครงการริมแม่น้ำใจกลางเจริญกรุง ที่มอบความเป็นส่วนตัวเหนือระดับด้วยจำนวนครอบครัวเพียง 100 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วยทำเลทองริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติใจกลางเมือง พร้อมดีไซน์หรูหราและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับไฮเอนด์ที่ตอบโจทย์ทั้งการพักอาศัยและการลงทุน
"นอกจากนี้เรายังมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ส่งเสริมการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นการพลิกโฉมครั้งแรกของวงการอสังหาฯ กับการเปิดตัวแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัยภายใต้คอนเซ็ปต์เวลเนส เรสซิเดนซ์ การพัฒนาการอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแบบยั่งยืน “อยู่ดี มีสุข” " นายธีระ กล่าวเสริม

ทางด้านกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ธุรกิจเฮลท์แคร์ของโรงพยาบาลในไตรมาส 1 ปี 2568 สามารถทำรายได้รวม 513 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจโรงพยาบาล และคนไข้บางส่วนมีความกังวลเรื่อง Co-Payment โดยโรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน ยังคงเติบโตขึ้นจากกลุ่มบริการที่มีมูลค่าสูง เช่น ศูนย์ศัลยกรรม ศูนย์อายุรกรรม ศูนย์กระดูกและข้อ แผนกฉุกเฉิน และศูนย์กุมารเวช รวมถึงการเติบโตของผู้ป่วยประกัน และผู้ป่วยต่างชาติจากออสเตรเลีย จีน กัมพูชา และพม่า
สำหรับโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ที่ครบรอบ 40 ปีไปนั้น แม้รายได้จะลดลงจากปีก่อนจากคนไข้ประกันสังคมที่อยู่ระหว่างการต่ออายุ แต่ขณะนี้ได้ต่ออายุเรียบร้อยแล้ว และยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายแพทย์สุวาณิช กล่าวเพิ่มเติมว่า ความคืบหน้าของโครงการโรงพยาบาลวิมุต ทองหล่อ จะมีการประกาศรายชื่อผู้รับเหมาหลัก (main contractor) ในเดือนพฤษภาคมนี้ และคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2570
ส่วนการพัฒนาศูนย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน ทั้งในส่วนของศูนย์สุขภาพปอด ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด และศูนย์สมองและระบบประสาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานที่ พร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งจะเป็นศูนย์เฉพาะทางที่สร้างรายได้เพิ่มให้แก่โรงพยาบาลวิมุตต่อไป
“พฤกษา โฮลดิ้ง” ประกาศเปิดตัว "Plantnery by IHC" แบรนด์รับสร้างบ้าน ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด (IHC) ในเครือพฤกษา โดยนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ กว่า 30 ปี มาต่อยอด บุกตลาดรับสร้างบ้านที่มุ่งเน้นสร้างบ้านคุณภาพ ด้วยนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัย ให้บริการครบวงจร ด้วยจุดแข็งสร้างเร็ว เข้าอยู่ได้ไว งบไม่บานปลาย เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีที่ดินเป็นของตัวเอง พร้อมตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ ด้วยนวัตกรรม Inno-Tech และ Inno-Solution เพื่อการอยู่อาศัย และการสร้างบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด ในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า Plantnery by IHC (แพลนท์เนอรี่ บาย ไอเอชซี) นับเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มพฤกษาในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านครบวงจร ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด "Building Homes, Crafting Dreams, Made Possible. สร้างบ้าน สร้างฝัน สร้างได้” ที่มุ่งเน้นการสร้างบ้านที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ลูกค้าจะได้อยู่อาศัยตลอดไป

จุดแข็งของ Plantnery by IHC คือการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพฤกษาที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 30 ปี มีทีมงานที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการสร้างบ้านมาแล้วกว่า 2000,000 หลัง และยังมีธุรกิจในเครือที่เป็น Ecosystem พร้อมรองรับความต้องการทั้งด้านแรงงาน วัสดุก่อสร้าง นวัตกรรมการก่อสร้าง ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่า Plantnery by IHC สามารถส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพได้รวดเร็ว และตรงเวลา อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการด้านต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมงบประมาณได้ ไม่บานปลายด้วย
"ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านมีช่องว่างที่สำคัญในเรื่องยังขาดผู้ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ที่สามารถควบคุมคุณภาพบ้าน และก่อสร้างในระยะเวลาที่รวดเร็ว พร้อมรองรับความต้องการด้านนวัตกรรมที่อยู่อาศัย ซึ่ง Plantnery by IHC จะเข้ามาเติมเต็มในเรื่องนี้ ด้วยการเป็น One Stop Solution ที่ให้บริการสร้างบ้านที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร โดยใช้นวัตกรรมการก่อสร้าง "Inno-Tech" ที่ใช้เทคโนโลยี Inno-Precast คอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปคุณภาพสูง เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมันและอิตาลี ที่สั่งสมประสบการณ์และพัฒนามากกว่า 20 ปี แข็งแรงทนทาน รับน้ำหนักได้ดี ต้านแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่าผนังก่ออิฐทั่วไป ควบคุมการก่อสร้างโดยทีมช่างมากประสบการณ์ การันตีงานก่อสร้างและวัสดุคุณภาพ โดยมีบ้านให้เลือกมากกว่า 100 แบบ และยังสามารถสร้างตามแบบของลูกค้า รวมทั้งปรับแต่งตามความต้องการได้” นายปิยะ กล่าว

นอกจากคุณภาพงานก่อสร้างและบริการที่ครบถ้วนแล้ว Plantnery by IHC ยังให้ความสำคัญกับ เทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่ จึงได้นำเสนอฟังก์ชันที่ช่วยประหยัดพลังงานและใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้า ด้วยนวัตกรรม "Inno-Solutions" เพื่อบ้านอยู่สบายและปลอดภัย เช่น นวัตกรรมบ้านเย็น การใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการติดตั้ง Solar Cell รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดี ด้วยนวัตกรรมบ้านอากาศบริสุทธิ์ ป้องกัน PM2.5 นวัตกรรมบ้านลดภูมิแพ้ นวัตกรรมบ้านปลอดภัยเพื่อเด็กและผู้สูงอายุ และนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะด้วย
Plantnery by IHC อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งก่อตั้งจากวิสัยทัศน์ของพฤกษา โฮลดิ้ง ที่เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจรับก่อสร้างที่มีมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนกว่า 200,000 ล้านบาท จึงนำความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่สั่งสมมาพัฒนาต่อยอดเป็นบริการใหม่ โดยเน้นลูกค้า 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ลูกค้ารายย่อย ดำเนินการภายใต้แบรนด์ Plantnery by IHC สำหรับผู้ต้องการสร้างที่อยู่อาศัยหรืออาคาร ในงบประมาณ 10 - 30 ล้านบาท และ ลูกค้าองค์กร ดำเนินการภายใต้แบรนด์ IHC สำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเอกชน หน่วยงานรัฐ พันธมิตรธุรกิจ ที่ต้องการผู้รับเหมาก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey Project) ที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานสากล สามารถควบคุมต้นทุนเพื่อสร้างผลกำไรที่คุ้มค่า เพื่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย สำนักงาน รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ด้วย

“Plantnery by IHC พร้อมยกระดับมาตรฐานการสร้างบ้าน ด้วยความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการบริการที่ครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านยุคใหม่ เราเชื่อว่าจุดแข็งของเราจะทำให้เราเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบริษัทรับสร้างบ้านในยุคนี้” นายปิยะ กล่าว
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับแบบบ้านและปรึกษาฟรี และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Plantnery by IHC ได้ที่ https://register.ihc-th.com หรือ www.facebook.com/profile.php?id=61573520163394 หรือโทร. 02 438 9955
พฤกษา โฮลดิ้ง เผยแผนธุรกิจปี 2568 เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยที่ผสานความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ควบคู่การบริการด้านสุขภาพ ตั้งเป้ารายได้รวม 23,500 ล้านบาท โฟกัสธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์ ปรับพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง เพิ่มสัดส่วนตลาดบ้านระดับกลางถึงบน ต่อยอดธุรกิจพรีคาสท์ พร้อมรุกตลาดก่อสร้างเต็มรูปแบบ ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพเติบโตต่อเนื่องในทุกมิติ เตรียมขยายโรงพยาบาลเฉพาะทาง รองรับความต้องการอีก 3 แห่ง

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า "ปี 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงสูงอยู่ ทำให้พฤกษามีรายได้รวมอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิที่ 456 ล้านบาท ทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 31.3% โดยยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.31 เท่า สำหรับในปี 2568 เรามุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์ ยึดหลักการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และเน้นการสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งสุขภาพและความสะดวกสบาย”
ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 23,500 ล้านบาท ชู 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) กลยุทธ์เชิงรับเพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Strategic Positioning Strategy) ด้วยการบริหารสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการจัดการและปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เสริมสร้างสภาพคล่องด้วยการรักษากระแสเงินสดและเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการลงทุนในอนาคต พร้อมปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ (2) กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย (Resilient Growth Strategy) ด้วยการสร้างนิยามใหม่ของแนวคิดการออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย พร้อมขับเคลื่อนการลงทุนและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในและต่างชาติ

นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2568 พฤกษาวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่ารวม 23,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ มูลค่า 4,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 8,100 ล้านบาท เน้นพัฒนาโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์ และโครงการที่มีจุดเด่นด้านทำเล โดยในปี 2568 จะมีการเปิดตัวแบรนด์ระดับบนหลายโครงการ เช่น The Palm, The Reserve และ Chapter โดยมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่มราคามากกว่า 7 ล้านบาท ราว 50% และโครงการที่ใกล้เมืองมากขึ้นและมีขนาดเล็กลง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ตั้งเป้ายอดขายที่ 19,800 ล้านบาท และยอดขายผ่านโครงการ JV อีก 3,200 ล้านบาท รวมถึงยอดโอน 18,700 ล้านบาท และยอดโอนผ่านโครงการ JV อีก 1,600 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะรับรู้เป็นกำไรจากการลงทุนใน JV
ด้านกลยุทธ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 ชู 2 กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ได้แก่ (1) กลยุทธ์เชิงรับเพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Strategic Positioning Strategy) ผ่านการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอจำหน่ายที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในแผนการพัฒนา มูลค่า 1,000 ล้านบาท และพัฒนาโครงการใหม่จากที่ดินที่มีอยู่เดิมมูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท เร่งปิดโครงการเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ได้อีก 31 โครงการ และปรับสัดส่วนโครงการแนวราบจาก ทาวน์เฮาส์ ต่อ บ้านเดี่ยว จาก 60:40 เป็น 50:50 ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ด้วยการแบ่งโซนนิ่ง ครอบคลุมเป็น 6 โซนหลัก เและ การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Stewardship) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีจากอินโนพรีคาสท์ และ อินโนโฮม คอนสตรัคชั่น ขณะที่ กลยุทธ์ที่ (2) กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย (Resilient Growth Strategy) มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยจะเน้นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับ Ultra-premium segment เช่น THE RESERVE, THE PALM สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ส่งเสริมการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ (Well-being-focused collaborative synergy) มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ พร้อมโอนคอนโดใหม่ในปีนี้อีก 4 โครงการ (Strengthening Catalyst) เพื่อรักษามาร์จิ้นในระดับสูงไว้ได้ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะทำให้สร้างกำไรมากขึ้นได้ในปีนี้
ด้านธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้าง เตรียมขยายการผลิตและนำเสนอบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยโรงงานพรีคาสท์ซึ่งเป็นโรงงานสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี และยังเป็นโรงงานปลอดขยะ (Zero-Waste) และลดคาร์บอนแห่งแรก ในปี 2568 ธุรกิจพรีคาสท์ตั้งเป้ารายได้ 2,100 ล้านบาท เน้นขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดให้มากขึ้น เช่น ผนังน้ำหนักเบา (Lightweight Wall) กำแพงกันดิน (Retaining Wall) และรั้วสำเร็จรูป (Project Fence) ในขณะที่ธุรกิจก่อสร้างตั้งเป้ารายได้ 5,400 ล้านบาท มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าทั้ง B2B และ B2C สำหรับการสร้างบ้านในระดับราคา 10 - 30 ล้านบาท

ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพ นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ธุรกิจการดูแลสุขภาพของโรงพยาบาลมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ โดยในปี 2567 กลุ่มวิมุตมีรายได้ 2,187 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน มี EBITDA อยู่ที่ 112 ล้านบาท รายได้หลักมาจากศัลยกรรม การตรวจสุขภาพ การดูแลเด็ก แผนกฉุกเฉิน แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ กระดูกสันหลัง สูตินรีเวช และระบบทางเดินอาหาร
สำหรับปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 2,600 ล้านบาท และกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 ได้แก่ 1) พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ทางด้านสุขภาพปอด จักษุ กระดูกสันหลัง ต่อมไร้ท่อ ศัลยกรรม กุมารเวช ระบบทางเดินอาหารและตับ หัวใจและหลอดเลือด 2) ยกระดับการดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริหารต้นทุน และการใช้ทรัพยากรในกลุ่มบริษัทฯ ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ จัดซื้อ การตลาด การเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศ และ 3) การพัฒนาด้านสุขภาพและการลงทุน เตรียมความพร้อมเพื่อเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางเพิ่มอีก 3 แห่ง บริเวณย่านทองหล่อ สุขุมวิท และปิ่นเกล้า และการสร้างความร่วมมือกับธุรกิจในกลุ่มพฤกษา เพื่อยกระดับที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพและสร้างรายได้เพิ่มเติม

“พฤกษา โฮลดิ้ง เดินหน้าสู่อนาคตด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง การขยายธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้างที่ทันสมัย และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ครบวงจร โดยยึดหลักความยั่งยืน (Sustainability) เป็นแกนหลักของการดำเนินงาน เพื่อสร้างสังคมที่ดีและความมั่นคงและเติบโตในระยะยาว” นายทองมา กล่าวเสริม