realme แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้ประกาศในงานแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์สำหรับสื่อมวลชนประจำปี 2024 (realme 2024 Media Preview Event) ที่ลาสเวกัสว่า realme 12 Pro Series จะมาพร้อมกับเลนส์ Periscope Telephoto ระดับเรือธง โดยภายในงาน realme ได้จัดแสดงเทคโนโลยี Periscope Telephoto ขั้นสูงและการออกแบบจากนาฬิกาสุดหรู นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้ร่วมสัมผัสกับ realme 12 Pro Series โดยได้รับคำชื่นชมว่านี่อาจเป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับการถ่ายภาพชั้นนำในระดับเดียวกัน
คุณ Sky Li ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร realme ได้ออกจดหมายเปิดผนึกประกาศว่าปี 2024 จะเป็นปีแห่งการรีแบรนด์ พร้อมทั้งยังเปิดตัวสโลแกนใหม่ "Make it Real" และเปลี่ยนตำแหน่งแบรนด์สู่การเป็นแบรนด์เทคโนโลยีที่เข้าใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ภายใต้การวางตำแหน่งแบรนด์ใหม่นี้สำหรับตระกูล Number Series จะถูกวางตำแหน่งให้เป็นอนาคตของการถ่ายภาพ (Next-gen) และในงานครั้งนี้ถือเป็นการสื่อสารอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ realme หลังจากการรีแบรนด์ด้วยเช่นกัน
เพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้งานรุ่นใหม่ด้วยภาพถ่ายเจเนอเรชั่นใหม่ผ่านเลนส์ Periscope Telephoto ระดับเรือธง
จากผลจากวิจัย realme พบว่าคนรุ่นใหม่ชื่นชอบเลนส์ Telephoto ที่มีการซูม 3 เท่าขึ้นไป มากกว่าการซูมแค่ 2 เท่า และหากต้องการใช้งานการซูมระดับสูงในสมาร์ตโฟนที่มีขนาดบาง สะดวกสบายในการถือ การถ่ายภาพ Periscope Telephoto จึงเป็นทางเลือกเดียวที่ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้นำเสนอความท้าทายทางเทคนิคและค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งโดยปกติแล้วจะสงวนไว้สำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธง แต่ realme กำลังปิดช่องว่างนี้ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีกล้อง Periscope Telephoto เอกสิทธิ์เฉพาะรุ่นเรือธงให้กับกลุ่มผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่ได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
realme ได้พัฒนาสูตร Periscope Telephoto ที่เป็นกรรมสิทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายภาพคุณภาพสูงภายใต้สภาวะต่างๆ โดยได้เปิดตัวครั้งแรกใน realme GT5 Pro ที่เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา การวางตำแหน่งประสิทธิภาพจากการถ่ายภาพโดย Periscope ของ realme GT5 ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และใน realme 12 Pro Series ที่กำลังจะมาถึงจะใช้แนวทางเดียวกัน โดยผสานรวมขนาดเซ็นเซอร์ชั้นนำ แพลตฟอร์มประสิทธิภาพสูง และอัลกอริธึมขั้นสูงเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการถ่ายภาพที่เหนือกว่า
ร่วมมือกับนักออกแบบนาฬิกาหรูระดับสากลสู่การสร้างสรรค์ในด้านดีไซน์
สำหรับ number series realme มุ่งหวังที่จะมอบประสบการณ์การถ่ายภาพแบบ Next-gen ให้กับคนหนุ่มสาวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างมีสไตล์ นอกจากภาพลักษณ์เรือธงแล้ว realme ยังได้ร่วมมือกับ Ollivier Savéo ปรมาจารย์ด้านการออกแบบนาฬิกาหรูระดับนานาชาติ เพื่อสร้างดีไซน์นาฬิกาสุดหรูสำหรับ realme 12 Pro Series
Ollivier Savéo นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านความเป็นผู้นำในกลุ่มนาฬิกาและจิวเวลรี่ระดับไฮเอนด์ โดยเคยร่วมงานกับแบรนด์นาฬิกาสวิสอันทรงเกียรติมากมาย เช่น Rolex, Roger Dubuis, Piaget, Breitling และ Quentin โดยความเชี่ยวชาญของเขามีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นาฬิกาดีไซน์หรูที่ยกระดับ realme 12 Pro Series ไปสู่อีกระดับ
ด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิกาหรูคลาสสิก realme และ Ollivier Savéo ได้ร่วมสร้างสรรค์เพื่อริเริ่มโครงสร้างการออกแบบและงานฝีมือ โดยผสมผสานองค์ประกอบที่ประณีตเข้ากับการออกแบบอุตสาหกรรม จึงทำให้ realme 12 Pro Series ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับแนวคิดจากการออกแบบนาฬิกาสุดหรู
realme 12 Pro Series มีกำหนดเปิดตัวแบบ Global ในเดือนมกราคม นอกเหนือจากการถ่ายภาพและการออกแบบแล้ว realme 12 Pro Series ยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอื่นๆ มากมายเช่นกัน
เรียลมี (realme) แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วในโลก เปิดตัวสมาร์ตโฟนซีรีส์ล่าสุด “realme 11 Pro Series 5G” ที่ประเทศจีน นำเสนอ 2 รุ่นคือ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G มาพร้อมดีไซน์ฝาหลัง ผลงานการคอลแลบกับนักออกแบบสิ่งทอชั้นนำระดับโลกจาก Gucci Prints พร้อมชูไฮไลต์ในรุ่นใหญ่ realme 11 Pro+ 5G ด้วยสุดยอดนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปแห่งปีที่หลายคนรอคอย
สมาร์ตโฟน realme ในตระกูล Number Series สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้มากกว่า 50 ล้านเครื่อง จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ realme สามารถทุบสถิติยอดขายเกิน 100 ล้านเครื่องได้ในช่วงที่ผ่านมา และด้วยแนวคิดพื้นฐานที่ว่าบริษัทจะไม่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ถ้าไม่มีนวัตกรรมใหม่ (No Leap-forward innovation, no product release) ทำให้ realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องระดับแฟล็กชิปที่พร้อมสั่นสะเทือนวงการ โดยเป็นกล้องระบบ SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลกซึ่งทรงประสิทธิภาพสูงสุดในตลาดสมาร์ตโฟนระดับราคาเดียวกัน และไม่เพียงมอบประสบการณ์การถ่ายภาพที่เหนือระดับทั้งในด้านการซูม ความละเอียดของเม็ดพิกเซล และฟังก์ชันต่าง ๆ เท่านั้น แต่สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ยังยกระดับการออกแบบตัวเครื่อง รวมถึงคุณสมบัติด้านอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หน่วยความจำ และอื่น ๆ อีกมากมาย
นายเชส ซือ รองประธานบริษัท realme และประธานกรรมการบริหาร realme Global Marketing กล่าวว่า “เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเทคโนโลยีกล้องในสมาร์ตโฟนของเราคือการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด ซึ่งทำให้ realme 11 Pro 5G Series เป็นสมาร์ตโฟนที่มีเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดในกลุ่มแฟล็กชิป เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงกล้องระดับแฟล็กชิปได้ง่ายขึ้น และเก็บภาพที่สวยงามเพื่อสร้างสรรค์แรงบันดาลใจได้ในทุก ๆ วัน”
realme 11 Pro+ 5G กล้อง SuperZoom 200 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก พร้อมพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด
realme 11 Pro+ 5G มอบประสบการณ์กล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์ภาพ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom รุ่นอัปเกรดขนาด 1/1.4 นิ้ว พร้อมรูรับแสงกว้างถึง f/1.69 รอบรับการจับภาพที่ความละเอียดสูงถึง 200 ล้านพิกเซล โดยที่ทุกพิกเซลมอบคุณภาพของภาพถ่ายได้อย่างเหนือระดับ
การถ่ายภาพจะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกสนานกว่าที่เคย ด้วยเทคโนโลยีการซูมของ realme 11 Pro+ 5G ที่มอบพลังการซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด ให้คุณถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างคมชัดแบบสุด ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ Auto-zoom ได้ด้วยการแตะคำสั่งเพียงครั้งเดียว โดยกล้องจะทำการซูมไปยังบริเวณที่กำหนดไว้แบบอัตโนมัติโดยยังคงมุมมองภาพที่สวยงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ
realme 11 Pro+ 5G ยังนำเสนอการตั้งค่าของกล้องระดับแฟล็กชิปอย่าง SuperOIS, Super NightScape, Moon Mode, และ Starry Mode Pro มอบอิสระแก่ผู้ใช้งานให้สามารถแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และตัวตนในผลงานภาพถ่ายอย่างเต็มที่ ให้คุณค้นพบโลกกว้างและความรื่นรมย์ในการบันทึกความทรงจำที่มากกว่าด้วยโหมด กล้อง Sony Selfie Camera ที่มีความละเอียดถึง 32 ล้านพิกเซล รวมถึง Super Group Portrait Mode, One Take Mode และอีกมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือ Street Photography Mode 4.0 ฟีเจอร์การถ่ายภาพยอดฮิตที่แฟน realme ทั่วโลกชื่นชอบอย่างมาก
realme 11 Pro+ 5G ฝาหลังสุดลักซ์ชัวรีด้วยแรงบันดาลใจจาก Gucci
realme 11 Pro 5G Series ไม่เพียงโดดเด่นในด้านกล้องถ่ายภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ในเรื่องการออกแบบตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ได้รับการพัฒนาจาก realme Design Studio ผ่านความร่วมมือกับ Matteo Menotto อดีตดีไซเนอร์ภาพพิมพ์และสิ่งทอจากแบรนด์ Gucci เพื่อนำเสนอมาตรฐานงานดีไซน์ระดับไฮเอนด์และงานฝีมือจากแบรนด์ระดับลักซ์ชัวรี สู่หนุ่มสาวผู้ใช้งานสมาร์ตโฟน realme ทั่วโลก
โดยเฉพาะโทนสี Sunrise Beige ซึ่งนำความงามมาจากโทนสีของมิลาน-เมืองแห่งแฟชั่น ผู้ออกแบบได้จับเอาความประทับใจในช่วงเวลาที่แสงแดดสีทองส่องกระทบสถาปัตยกรรมคลาสสิกอันงดงาม เกิดเป็นความสว่างเรืองรองสีทองอ่อนที่ฉาบไล่ไปทั่วทั้งตัวเมือง ผ่านกรรมวิธีการผลิตเกรดพรีเมียม รวมถึงการใส่รายละเอียดแนวตะเข็บแบบ 3 มิติที่สวยงามเสมือนงานของช่างฝีมือ มอบผิวสัมผัสระดับสูงด้วยหนังวีแกนลายผลลิ้นจี่ ผสานการทอแบบ 3 มิติเพื่อสร้างสรรค์ดีไซน์ที่งดงาม ทันสมัย พร้อมสะกดทุกสายตา
นอกจากนวัตกรรมกล้องถ่ายภาพและมาตรฐานงานออกแบบขั้นสูง realme 11 Pro+ 5G ยังมาพร้อมประสิทธิภาพรอบด้านอันโดดเด่น ทั้งระบบชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC และแบตเตอรี่ความจุถึง 5000mAh มาพร้อมจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และเทคโนโลยีถนอมดวงตาด้วยประสิทธิภาพการปรับระดับแสงที่ 2160Hz ซึ่งสูงสุดในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนปัจจุบัน ทั้งยังสามารถปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ เป็นครั้งแรกของโลก
realme 11 Pro 5G กับประสิทธิภาพ Premium 2160Hz PWM Dimming ในจอแสดงผลขอบโค้ง Curved Vision Display
realme 11 Pro 5G ใช้จอเกรดพรีเมียมเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง realme 11 Pro+ 5G โดยเป็นจอแสดงผลขอบโค้ง 120Hz Curved Vision Display และประสิทธิภาพการลดระดับแสงที่ 2160Hz ครั้งแรกของโลก มอบความสว่างสู้แสงแดดจ้าได้อย่างดีเยี่ยม และปรับความสว่างหน้าจอแบบอัตโนมัติได้ถึง 20,000 ระดับ โดยได้รับ 2 มาตรฐานรับรองการปกป้องดวงตาจากสถาบันอันทรงเกียรติ TÜV Rheinland จึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและความสบายตาในการใช้งานตลอดวัน
นอกจากจอแสดงผลชั้นเยี่ยม realme 11 Pro 5G ยังมีมาตรฐานการออกแบบตัวเครื่องที่สวยงามเหมือนกับ realme 11 Pro+ 5G นำเสนอทั้ง 3 โทนสี Sunrise Beige, Oasis Green และ Astral Black ซึ่งแต่ละโทนสีมอบสุนทรียภาพในการใช้งานขั้นสุด สำหรับกล้องถ่ายภาพมีความละเอียดถึง 100 ล้านพิกเซล พลังซูม 2 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด รวมถึงโหมดการใช้งานอย่าง Auto-Zoom Mode, Super NightScape Mode และ Street Photography Mode 4.0
realme 11 Pro 5G จึงเป็นอีกหนึ่งสมาร์ตโฟนแฟล็กชิปที่มอบประสิทธิภาพการใช้งานขั้นสูง กินพลังงานต่ำ และให้หน่วยความจำขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังซีพียู Dimensity 7050 5G นำเสนอรุ่นความจุมาตรฐาน 12/256GB นอกจากนี้ ยังเสริมประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายดายด้วยระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC กับแบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมเฟิร์มแวร์ใหม่ล่าสุด realme UI 4.0 และลำโพงคู่พานอรามิก Dolby ไว้อย่างครบครัน
และถึงแม้ realme 11 Pro 5G Series จะมาพร้อมกับความเป็นผู้นำในด้านเทคโนยีในทุกด้าน แต่ก็เปิดราคามาอย่างคุ้มค่าแบบคาดไม่ถึง โดย realme 11 Pro+ 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,999 หยวน (ประมาณ 9,737 บาท) และ realme 11 Pro 5G มาในราคาเริ่มต้น 1,699 หยวน (ประมาณ 8264.33 บาท) อย่างไรก็ตาม realme 11 Pro 5G Series ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่จะมายกระดับสมาร์ตโฟนในระดับแฟล็กชิบให้ก้าวสู่อีกขั้นของอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนอย่างแท้จริง
realme (เรียลมี) แบรนด์สมาร์ตโฟนอันดับ 6 ของโลก ได้ประกาศเปิดตัว Flagship Killer รุ่นใหม่ล่าสุด “realme GT Neo2” ไปแล้วอย่างเป็นทางการซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับวงการสมาร์ตโฟนอย่างมากจากการนำเสนอโทนสีใหม่สุดจี๊ดอย่าง NEO Green ที่สื่อถึงความหรูหราสวยงาม เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และพลังของคนรุ่นใหม่ได้อย่างโดดเด่น (Technology and Vitality) โดยเป็นผลงานการออกแบบของ realme Design Studio และในวันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับสตูดิโอด้านการออกแบบอย่างเป็นทางการแห่งแรกของอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนแห่งนี้ เพื่อเจาะลึกถึงการพัฒนาโทนสีของสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่สามารถมัดใจผู้ใช้งานรุ่นใหม่ทั่วโลก
โทนสี NEO Green ของ realme GT Neo2
realme Design Studio สตูดิโอด้านการออกแบบสมาร์ตโฟนอย่างเป็นทางการแห่งแรก
เราอาจเคยได้ยินกันมาบ้างว่าแบรนด์ดัง ๆ ล้วนมี Design Studio เป็นของตนเอง แต่มักจำกัดอยู่เฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์หรือโรงงานการผลิตสินค้าขนาดใหญ่ ส่วนอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนมักอยู่ในรูปของทีมนักออกแบบเท่านั้น แต่ realme ได้จัดตั้ง Design Studio แห่งแรกอย่างเป็นทางการ เพื่อทุ่มเททำงานด้านการออกแบบสมาร์ตโฟนโดยเฉพาะ
realme Design Studio ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2019 โดยมีสองดีไซเนอร์ชื่อดัง Paco และ Sire ร่วมกันบริหารงาน รวบรวมทีมนักออกแบบรุ่นใหม่ไฟแรงและฝีมือขั้นเทพมากกว่า 40 ชีวิต ซึ่งเคยสร้างสรรค์
ผลงานอันน่าประทับใจมาแล้วกว่า 100 ชิ้น และในฐานะกลุ่มนักออกแบบที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเชิงอุตสาหกรรมและการออกแบบภาพ ทำให้ realme Design Studio มุ่งมั่นผลิตงานออกแบบเชิงอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการได้แบบเหนือความคาดหมาย และนำเสนองานดีไซน์ที่แปลกใหม่ในแบบฉบับผู้นำเทรนด์เพื่อคนหนุ่มสาวอย่างแท้จริง
Paco ผู้อำนวยการฝ่าย Visual Design แห่ง realme Design Studio
และ Sire ผู้อำนวยการฝ่าย Industrial Design แห่ง realme Design Studio
ทีมนักออกแบบแห่ง realme Design Studio
โทนสีแรกที่ถูกสร้างสรรค์ในระบบสีของ realme Design Studio
ด้วยแนวคิดการผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้ากับพลังของคนรุ่นใหม่ (Technology and Vitality) realme Design Studio จึงคิดค้นโทนสีที่จะสื่อถึงบุคลิกภาพที่ชัดเจนของคน Gen Z โดยต้องเป็นโทนสีที่มีคอนทราสต์จัดจ้านและเลือกจากกลุ่มโทนสีเขียวนีออน (Neon Green) ที่มีความอิ่มสีสูง เพื่อให้ realme GT Neo2 5G โดดเด่นสวยงามและสามารถสะกดทุกสายตาได้ในทันที
นอกจากโมเดลสีตามระบบ LAB ทาง realme Design Studio ยังกำหนดหลักเกณฑ์ของ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ HAZE (ความขุ่น), F/A (อัตราการเรืองแสงของสี) และ RA (ความหยาบ) เพื่อเพิ่มความอิ่มตัวของสีให้กับตัวผลิตภัณฑ์ โดยโทนสี NEO Green เกิดจากการผสมกันของสีเขียวนีออนที่มีความอิ่มตัวของสี เข้ากับสีดำบริสุทธิ์ในอัตราส่วน 7:3 ซึ่งในส่วนที่เป็นสีเขียวนีออนถูกขัดเงาที่ระดับ 0.25 เพื่อให้โทนสีดูสว่างสดใสขึ้น และยังให้สัมผัสการจับถือที่เนียนลื่นสบายมือ
การสร้างสรรค์สี NEO Green ด้วยพื้นผิวสองโทนสีและเคลือบนาโนเลเยอร์ 7 ชั้น
เห็นได้ชัดว่า realme GT Neo2 5G คือสมาร์ตโฟนเครื่องแรกของวงการที่กล้าใช้โทนสีเขียวนีออนที่มีความอิ่มตัวของสีสูงสุด ผ่านการเคลือบนาโนเลเยอร์ถึง 7 ชั้น เพื่อเพิ่มความอิ่มสีขึ้นอีก 50% เมื่อเปรียบเทียบกับขั้นตอนปกติทั่วไป ซึ่งทำให้โทนสี Neo Green โดดเด่นกว่าสมาร์ตโฟนในโทนสีทั่วไปอย่างชัดเจน นอกจากนี้ นักออกแบบยังใช้ความคอนทราสต์ของ 2 โทนสีคือเขียวนีออนและดำ ร่วมกับการดีไซน์แถบยาวที่มีแรงบันดาลใจมาจากลู่แข่ง เพื่อสร้างความรู้สึกถึงเทคโนโลยีและความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว
การสร้างสรรค์สี NEO Green ด้วยพื้นผิวสองโทนสีและเคลือบนาโนเลเยอร์ 7 ชั้น
ในส่วนของการสร้างผิวสัมผัส realme ได้พัฒนา Satin Silky AG Effect บนผิวกระจก เพื่อมอบการจับมือที่เนียนลื่นสบายมือด้วยผิวกระจกด้านสีเขียวนีออน ผสานกับแถบตกแต่งสีดำที่เรียบลื่นและให้สัมผัสเย็นสบายในยามจับถือ ทำให้เกิดสองความรู้สึกที่แตกต่างพร้อมกันอย่างกลมกลืน การใช้พื้นผิวแบบสองโทนสียังช่วยให้ realme GT Neo2 5G มีความทนทานต่อการขีดข่วนและป้องกันการลื่นหลุดมือ ซึ่งส่งผลถึงสุนทรีภาพในการใช้งานโดยตรง
ห้ามพลาด! อีกโทนสีที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คือ NEO Blue
NEO Blue มีแรงบันดาลใจมาจากบรรยากาศยามพระอาทิตย์ขึ้นริมชายหาด มอบความสวยงามเจิดจ้าด้วยการเคลือบผิวแบบเมทัลลิก และมีการใช้กระบวนการเคลือบนาโนเลเยอร์ 7 ชั้นเช่นดียวกัน เพื่อมอบสัมผัสการจับถือที่กระชับมั่นคง พร้อมกับความสวยงามของฝาหลังที่แปลกตาไม่ซ้ำใคร
realme GT Neo2 5G คือสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล realme GT ที่ยังคงเน้นย้ำถึงการนำเสนอดีไซน์สุดล้ำควบคู่ไปกับนวัตกรรมไฮเทค เพื่อคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในเทคโนโลยี เหนืออื่นใด realme GT Neo2 5G ถือเป็นผลงานชิ้นแรกของ realme Design Studio สตูดิโอด้านการออกแบบแห่งแรกของอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนโดยกลุ่มดีไซเนอร์ที่เข้าใจในเทคโนโลยีและพลังของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
สำหรับประเทศไทย จะนำเสนอ 2 สีด้วยกัน ได้แก่ NEO Green และ NEO Blue ในงานเปิดตัว ‘Everything in NEO’ ซึ่งจะจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของทาง realme ได้แก่ YouTube และ Facebook ในวันที่ ตั้งแต่เวลา 2564 พฤศจิกายน 314.00 – 15.00 น. และงานนี้ ทาง realme ยังได้เตรียมของรางวัลพิเศษ realme GT Neo 25G พร้อมด้วย realme air buds 2 ให้กับผู้ที่ติดตามรับชมกันอีกด้วย โดยจะมีเงื่อนไขอะไรบ้างนั้น ต้องติดตามกันในงาน
###
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับงานสัมมนา SOCIAL SELLING” เมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยมีผู้ให้ความสนใจลงทะเบียนและเข้าร่วมงามเป็นจำนวนมาก
ล่าสุด realme แบรนด์สมาร์ทโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ขอเอาใจผู้ที่กำลังมองหางาน และต้องการสร้างรายได้เสริม ด้วยการจัดกิจกรรมฮอตฮิตแบบนี้ขึ้นอีกครั้ง กับงาน “SOCIAL SELLING เรียนรู้ทักษะการขายในโลกดิจิตอล กับแบรนด์สมาร์ตโฟนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ซีซั่น 2” โดยเปิดโอกาสให้คุณเข้าเรียนได้ฟรี! แถมยังมีช่องทางการค้าขายให้พร้อม เรียกได้ว่า ถ้าไม่เรียน คงไม่ได้แล้วในช่วงนี้
สำหรับทักษะที่จะได้เรียนรู้ มีทั้งการขายออนไลน์แบบปังๆ พร้อมทำอย่างไรให้ทะลุเป้า โดยคุณจะได้เรียนรู้การสอนไลฟ์สด พร้อมเทคนิคปิดการขายที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทั้งชีวิต แล้วคุณจะพบว่า การขายของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมฟรีได้ที่ลิงก์นี้ https://bit.ly/3mi3a2u
งานนี้ เข้าร่วมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมลุ้นรับของรางวัลมากมาย
แล้วพบกันวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม 2564 เวลา : 13.00-17.00 น. ในรูปแบบออนไลน์ (Zoom Meeting)
###