December 30, 2025

SCB CIO มอง AI กำลังก้าวสู่แรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก จากศักยภาพในการเพิ่มผลิตภาพและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ภายใต้เม็ดเงินลงทุน AI ทั่วโลกที่อาจสูงถึง ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี  2573 โดยหาก AI เพิ่ม Productivity ได้ราว 1.5% จะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเพิ่มรายได้รวมกว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี แม้ valuation ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง แต่กำไรที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง และพัฒนาการ AI ทำให้ valuation ที่สูงเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ข้อจำกัดหลักต่อผลตอบแทน ในระยะถัดไป พร้อมแนะลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นหลักควบคู่กระจายไปยังญี่ปุ่น เกาหลีใต้  จีน และอินเดีย รวมถึง ทองคำและเสริมพอร์ตด้วย Tech AI , Renewable Energy และ Healthcare เพื่อรับโอกาสเติบโตในระยะถัดไป


 

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก โดยประเมินว่า AI กำลังก้าวสู่การเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก จากศักยภาพในการยกระดับผลิตภาพ (productivity) และการสร้างแหล่งรายได้ใหม่เป็นวงกว้าง ทั้งในภาคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอื่นๆ ภายใต้เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกที่อาจสูงถึง ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 หาก AI สามารถเพิ่ม productivity ได้ราว 1.5% จะช่วยผลักดันการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ให้สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวราว 2% และหนุนรายได้รวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ขณะที่ Consensus คาดว่ารายได้ของกลุ่ม hyperscalers จะเพิ่มขึ้นราว 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จนถึงปี 2573

กำไรของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เติบโตแข็งแกร่ง และการขยายตัวของ AI ไปหลายอุตสาหกรรม ทำให้ valuation ที่อยู่ในระดับสูง เพียงอย่างเดียวไม่ใช่ข้อจำกัดหลักต่อแนวโน้มผลตอบแทนในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน ผลตอบแทนของหุ้นธีม AI มีแนวโน้มกระจายตัวมากขึ้น และถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเฉพาะบริษัท เช่น พื้นฐานธุรกิจ ความสามารถในการเข้าถึงเงินทุน และระดับการใช้ประโยชน์จาก AI ส่งผลให้การคัดเลือกสินทรัพย์เชิงรุก (active selection) สำคัญมากขึ้น ภายใต้บริบทนี้ จึงยังคงมุมมองเปิดรับความเสี่ยง (risk-on) และเน้นลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยคาดว่าการเติบโตของกำไรในกลุ่มเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI จะยังเป็นแรงหนุนสำคัญของตลาด

การลงทุนด้าน AI มีการใช้เงินลงทุนจำนวนมากในช่วงต้น ขณะที่รายได้จะทยอยเกิดขึ้นในระยะยาว ส่งผลให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องพึ่งพาการก่อหนี้มากขึ้น โดยแม้งบดุลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังแข็งแกร่ง แต่ด้วยขนาดเงินลงทุนด้าน AI ที่สูงมาก ทำให้บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากตลาดเครดิตทั้ง public และ private มากขึ้น ขณะเดียวกัน ระดับหนี้ภาครัฐที่อยู่ในระดับสูง และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ จำกัดบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนการลงทุนด้าน AI ซึ่งการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นพร้อมกันทั้งภาครัฐและเอกชน มีแนวโน้มหนุนให้ bond yield ระยะยาว ปรับสูงขึ้น และเพิ่มความเปราะบางของระบบการเงินต่อแรงกระแทก (shocks) จากการที่ bond yield พุ่งขึ้นแบบเฉียบพลัน

ดังนั้น ภายใต้บริบทของการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้น SCB CIO มองว่า กลยุทธ์ตราสารหนี้ ควรหลีกเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาว แต่ยังคแนะนำลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ (UST) และหุ้นกู้ Investment Grade (IG) สหรัฐฯ ระยะสั้น ขณะที่ ในฝั่งหุ้น ควรเน้น active selection โดยให้ความสำคัญกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอำนาจกำหนดราคา งบดุลที่แข็งแกร่ง และกระแสเงินสดที่มั่นคง

นอกจากนี้ ภายใต้ regime การลงทุนปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ถูกขับเคลื่อนโดย Mega Forces อย่างธีม AI ได้ทำให้ประสิทธิภาพของการกระจายความเสี่ยงแบบดั้งเดิมลดลงอย่างชัดเจน เห็นได้จากความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ในพอร์ตหลายสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ UST ระยะยาว ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตได้เหมือนอดีต ส่งผลให้พอร์ตลงทุนหุ้นและตราสารหนี้แบบ 60/40 สูญเสียบทบาทในการลดความผันผวนเชิงระบบ และพอร์ตที่ดูเหมือนกระจายความเสี่ยงแล้ว อาจยังแฝงความเสี่ยงเชิงมหภาคที่กระจุกตัวอยู่

ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประเด็นข้างต้นยิ่งชัดขึ้น ผลตอบแทนยังถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยร่วมเพียงไม่กี่ปัจจัยโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับธีม AI สะท้อนจาก ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 แบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดที่มากกว่า ดัชนีฯ แบบถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ทำให้ความพยายามกระจายการลงทุนออกจากสหรัฐฯ หรือออกจากธีม AI ไม่ใช่การตัดสินใจที่เป็นกลางอีกต่อไป แต่เป็นการตัดสินใจเชิงรุก ซึ่งอาจมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในระยะหลายปี ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงในบริบทในปัจจุบัน ไม่ควรถูกตีความเป็นการออกจากธีมหลักของตลาด แต่ควรเสริมพอร์ตด้วย แหล่งผลตอบแทนที่มีลักษณะเฉพาะตัว (idiosyncratic returns) อย่าง private markets* และ hedge funds ควบคู่การบริหารพอร์ตเชิง tactical เพื่อรับมือโครงสร้างตลาดที่กระจุกตัวและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

สำหรับคำแนะนำในพอร์ตลงทุนของ SCB CIO เน้นการคัดเลือก (Selective) มากขึ้น เช่น หุ้นในกลุ่ม Tech AI ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างดี แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่เท่ากัน การเลือกผู้ชนะจึงสำคัญ ดังนั้น จึงควรเน้นลงทุนเชิงรุก เพื่อค้นหากลุ่มที่สามารถสร้างรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น โดยไม่จำกัดอยู่แค่บริษัทเทคโนโลยี แต่จะขยายไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ ผ่านการกระจายพอร์ตให้หลากหลายมากขึ้น

การลงทุนในพอร์ตหลัก (Core Portfolio) แนะนำทยอยเข้าลงทุนระยะยาว โดยเน้น UST และหุ้นกู้ IG ระยะสั้น ควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน REITs และ Private Assets (สำหรับนักลงทุน Ultra-High Net Worth ที่รับความเสี่ยงได้สูงเท่านั้น) เพื่อสร้างกระแสเงินที่สม่ำเสมอ ในส่วนตลาดหุ้น เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ได้รับอานิสงส์หลักจากการขยายตัวของธีม AI ขณะเดียวกัน เพิ่มโอกาสการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่ม Tech AI นอกสหรัฐฯ เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งโดดเด่นในกลุ่มชิปและห่วงโซ่ AI, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ในฐานะผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่จำเป็นต่อ AI และตลาดหุ้นจีน (All-Share) จากนโยบายพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีและการยกระดับศักยภาพ AI โดยภาครัฐ รวมถึง ตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งแม้มีน้ำหนักหุ้นกลุ่ม AI ไม่สูง แต่ได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก เพื่อเสริมการเติบโตของพอร์ตในระยะยาว พร้อมแนะนำลงทุนในทองคำ เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์

ส่วนการลงทุนในพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง และต้องการลงทุนในระยะสั้น แนะนำเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกที่เชื่อมโยงกับธีม Tech และ AI ที่มีแนวโน้มรายได้และกำไรเติบโตแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน แนะนำหุ้นกลุ่ม Renewable Energy ซึ่งได้อานิสงส์จากการขยายตัวของ AI และการลงทุน Data Center ที่จะหนุนความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างมากในระยะกลางถึงยาว นอกจากนี้ เสริมพอร์ตด้วยหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่มีลักษณะ Defensive โดยมีความผันผวนของกำไรต่ำกว่าตลาดโดยรวม และยังได้แรงหนุนจากความชัดเจนด้านกฎเกณฑ์ควบคุมราคายา

ที่มา: EPS Monthly December 2025 - ก้าวข้ามขีดจำกัด...สู่ศักยภาพใหม่: มุมมองการลงทุนปี 2026

จัดทำโดย SCB CIO ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน

 

คำเตือน

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน 
  • เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777

SCB CIO มองความไม่แน่นอนของสงครามการค้ายังมีแนวโน้มอยู่สูงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ส่งผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก และความผันผวนในตลาดการเงิน โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่กระทบต่อการลงทุน ได้แก่ 1) นักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวหรืออาจถดถอยจากสงครามการค้า 2) สหรัฐฯ เผยความคืบหน้ามาตรการทางการคลัง แต่อาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มาจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าได้ และ 3) กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในปี 2568 เสี่ยงถูกปรับประมาณการลดลง แนะนำ ลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีระยะสั้น-กลาง และทองคำ ลดความผันผวนของพอร์ต หรือกองทุนผสมที่มีผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก โดยมองว่า ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการลงทุน ได้แก่

ปัจจัยแรก คือ การประกาศเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ ที่แข็งกร้าวกว่าคาด ในเดือน เม.ย. ทำให้นักลงทุนกังวลมากขึ้นว่า สหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation ที่เศรษฐกิจชะลอตัว ท่ามกลางเงินเฟ้อที่สูง หรืออาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้ หากมีการตอบโต้รุนแรงระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ และสร้างความผันผวนให้กับการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก

“ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้ายังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อรอง แต่ยังคงอัตราภาษีนำเข้าขั้นต่ำจากทุกประเทศทุกสินค้า 10% (Universal Tariffs) ยกเว้น เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะ (Specific Tariffs) ที่ 25% ไปก่อนแล้ว รวมทั้ง ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม และสินค้ายานยนต์จากคู่ค้าทุกประเทศที่ 25% พร้อมทั้ง ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนรวมทั้งสิ้น 145% ท่ามกลางการตอบโต้กลับที่รุนแรงจากจีน นำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ของโลก นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะขึ้นภาษีเฉพาะบางสินค้าเพิ่มเติม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ สินค้าเกษตร และเวชภัณฑ์ ซึ่งประเด็นนี้จะทำให้การลงทุนยังมีแนวโน้มผันผวน กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ในระยะสั้น” นายศรชัย กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของมุมมองการลงทุนของ BlackRock หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) พบว่า BlackRock ได้ปรับลดกรอบการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เหลือ 3 เดือน จากการที่สินทรัพย์เสี่ยงยังคงเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น และปรับสัดส่วนการลงทุนหุ้นทั่วโลกลดลง อยู่ที่ Neutral

ปัจจัยที่ 2 คือ สหรัฐฯ เตรียมเผยความคืบหน้าการทางการคลัง แต่อาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มาจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าได้ เนื่องจาก ภาษีนำเข้า จะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชัดขึ้น ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2568 ในขณะที่ การผ่านร่างงบประมาณ ถึงแม้จะมีความคืบหน้า โดยสภาครองเกรสเริ่มใช้กระบวนการที่ทำให้ผ่านกฎหมายได้ด้วยการใช้คะแนนเสียงในวุฒิสภาสหรัฐฯ เพียง 51 เสียง แทนที่จะใช้ 60 เสียงตามปกติ และสหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังภายในปีนี้ ได้แก่ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 15% สำหรับผู้ผลิตในสหรัฐฯ การขยายเพดานหักลดหย่อนภาษีท้องถิ่นและมลรัฐ การยกเว้นภาษีทิปและค่าล่วงเวลา และการขยายเครดิตภาษีเกี่ยวกับเด็ก อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการทางการคลังอยู่ และการผ่านร่างงบประมาณ อาจเกิดขึ้นล่าช้าไปจนช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2568

ปัจจัยสุดท้าย คือ กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในปี 2568 มีความเสี่ยงถูกปรับประมาณการลดลง จากประเด็นสงครามการค้าที่กดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กระทบการใช้จ่ายผู้บริโภค ภาวะทางการเงิน รวมถึง การตัดสินใจลงทุนและจ้างงาน อย่างไรก็ดี ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่กำลังทยอยประกาศออกมา อาจยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก โดยผลสำรวจนักวิเคราะห์สถาบันต่างๆ คาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาสแรก ของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุด 6 อันดับแรกในดัชนี S&P500 ได้แก่ Microsoft, Apple, Meta, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), Amazon และ Nvidia จะขยายตัว +17.4%YoY ขณะที่ บริษัทโดยรวมที่ประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว ส่วนใหญ่ยังรายงานกำไรต่อหุ้น ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์

นายศรชัย กล่าวว่า SCB CIO มีมุมมองที่สอดคล้องกับ BlackRock โดยมองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงเป็นสินทรัพย์ผู้นำในโลกในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง และอาจมีนโยบายเชิงบวกด้านอื่นเกิดขึ้น เช่น การลดภาษีเงินได้ และการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบ เป็นต้น ขณะที่ ตลาดหุ้นเกิดใหม่ จะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่แตกต่างกัน ตามอัตราที่ถูกเรียกเก็บ

ทั้งนี้ SCB CIO ไม่แนะนำการลงทุนบนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว มีแนวโน้มผันผวนสูง โดยได้รับผลกระทบจากความกังวลบนประเด็นการขาดดุลการคลังและแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ โดยแนะนำให้เน้นลงทุนใน หุ้นกู้คุณภาพดี ระยะสั้น-กลาง ของทั้งสหรัฐฯ และไทย เพื่อสร้างรายได้ และลงทุนในทองคำ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนผ่านกองทุนผสม ที่มีผู้เชี่ยวชาญปรับพอร์ตลงทุนได้ ขณะที่ SCB CIO ยังคงติดตามประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น การเจรจามีแนวโน้มเป็นไปได้ด้วยดี ก็พร้อมแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้ง

บทความโดย SCB CIO โดยอ้างอิงจาก บทวิเคราะห์รายเดือน ซึ่งเผยแพร่ ณ วันที่ 22 เม.ย. 2568 โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเอง และรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง Link บทวิเคราะห์ https://www.scb.co.th/getmedia/b96b9867-6e5c-4102-8b3c-bda08eff96d6/2025-cio-blackrock-april.pdf

 

SCB CIO มอง Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 50 bps มาอยู่ที่ 4.75%-5.00% ต่อปี พร้อมปรับลดต่อเนื่องในปีนี้อีก 50 bps และในปีหน้าอีก 100 bps จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับลดลงเข้าใกล้เป้า 2% ของ Fed ขณะที่การจ้างงานที่อ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ ผนวกกับภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการเกิด Recession ชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ช่วยนโยบายการเงินผ่อนคลายขึ้น ต้นทุนการเงินต่ำลง หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น แนะหุ้นสหรัฐฯ ยังให้ผลตอบแทนที่ดี กลุ่ม Quality Growth ประเภท IT รวมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น สาธารณูปโภค สุขภาพ และสินค้าจำเป็น ยังคงน่าสนใจ

ส่วนการจัดพอร์ตเน้นกระจายความเสี่ยงโดย Core portfolio แนะลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีคุณภาพสูง (IG) เน้นลงทุนตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ ยังให้น้ำหนักส่วนใหญ่บนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้านพอร์ตเสริม แบ่งเงินลงทุน 15 -25% ในตลาดหุ้นเวียดนามและไทย จากเศรษฐกิจเวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ส่วนไทยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps มาอยู่ที่ 4.75%-5.00% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า Fed มีความมั่นใจมากขึ้นบนทิศทางอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่กำลังเข้าสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน โดย Fed กล่าวว่า ความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อ และการจ้างงานมีความสมดุลกัน และ Fed แสดงความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนการจ้างงาน ส่วนในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot นั้น เจ้าหน้าที่ Fed ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 50 bps ภายในสิ้นปีนี้ และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 100 bps และ 50 bps ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ นอกจากนี้ Fed ยังได้ปรับคาดการณ์ต่างๆ โดย Fed ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 ลงเล็กน้อยอยู่ที่ 2.0% ต่อปี จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน มิ.ย.ที่ 2.1% ต่อปี ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานในช่วงสิ้นปี 2567 เป็น 4.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.0% ขณะที่ปรับลดคาดการณ์ของเงินเฟ้อ PCE ในช่วงสิ้นปี 2567 ลงเหลือ 2.3%YoY จากเดิมคาดไว้ที่ 2.6%YoY โดยอัตราเงินเฟ้อทั้ง PCE และ Core PCE จะเข้าสู่ระดับ 2.0% ในปี 2569 เป็นต้นไป

นายศรชัย มีมุมมองว่า แม้ว่าตลาดแรงงานจะอ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ และยังไม่มีสัญญาณว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) โดยการปลดพนักงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณของการชะลอตัวของเศรษฐกิจแบบ Soft landing ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่จะเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินนโยบายการคลัง และการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเทียบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอดีต โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed fund ลงรวม 50bps ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ อยู่ที่ 4.25%-4.50% และปรับลดรวมอีก 100 bps ในปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Fed funds สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 3.25%-3.50%

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ได้เผชิญกับภาวะ Recession จะช่วยสนับสนุนทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมทั้ง ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ตามสถิติตั้งแต่ปี 2517การปรับตัวของราคาสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่างๆ ในช่วงที่ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นทั่วโลกและตราสารหนี้ของสหรัฐฯ มักมีผลตอบแทนที่ดี โดยเงินดอลลาร์ สรอ.มักจะอ่อนค่าลงในช่วง 12 เดือนหลังจากการปรับลดดอกเบี้ย ด้าน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน ล้วนปรับเพิ่มขึ้น

ในส่วนของตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มักปรับเพิ่มความชันขึ้น เมื่อใกล้ช่วงที่ Fed เริ่มจะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเติบโตได้ และไม่มี Recession การปรับเพิ่มความชันของ Yield Curve หลังจากนี้อาจไม่มากนัก ความชันของเส้นอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นรอบนี้ แสดงถึงความกังวลด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในปี 2567 ยังคงต่ำ ทำให้คาดว่า Bond Yield สหรัฐฯ จะลดลงไม่มาก และผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ น่าจะมาจาก Carry Yield เป็นหลัก ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างกระแสเงินสดสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ

แนวโน้มของตลาดหุ้น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมีส่วนช่วยให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง และสนับสนุนให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตามสถิติในอดีต หลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ย 12 เดือน ในภาวะที่ไม่เกิด Recession หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น S&P 500 มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก เช่น Russell 2000 นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Quality Growth อย่าง IT และกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และ กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) ยังคงน่าสนใจ โดยเรายังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ จากกำไรของตลาดเกิดใหม่ จะเข้าสู่ช่วงชะลอตัวในปี 2568

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ยังคงยึด 3 วัตถุประสงค์หลักที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน โดยเน้นกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากได้รวบรวมสถิติต่างๆ แล้วพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เดือนกันยายน มีผลตอบแทนแย่ที่สุดในทุกสินทรัพย์ และเดือนตุลาคม มีความผันผวนสูงที่สุดโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการเก็บสถิตินับตั้งแต่ 2527 นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้นทั้งจากสงครามยูเครน -รัสเซีย และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และฮามาสที่มีการตอบโต้กันเป็นระลอก เราจึงให้ความสำคัญในเรื่องการกระจายการลงทุน เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต

โดยพอร์ตลงทุนหลัก ( Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ 1) เพื่อสร้างกระแสเงิน แนะนำลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีคุณภาพสูง ( IG) ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้เอกชนในไทย หุ้นกู้ Perpetual ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารที่สูง และตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าหุ้นกู้เอกชนในตลาด ขณะที่ สามารถเลือกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น มีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ลำดับแรก และมีหลักประกัน เป็นต้น 2) เพื่อสร้างการเติบโต เน้นน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ โดยยังให้น้ำหนักอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจยังคงชะลอตัวในระดับปานกลาง กำไรบริษัทยังเร่งตัวสูงขึ้น แต่เศรษฐกิจ และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงสนับสนุนการเติบโตของตลาดในระยะยาว และ 3) การป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต ด้วยการลงทุนในทองคำ ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) กรณีที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง – สูง โดยแนะนำให้แบ่งเงินลงทุนบางส่วน ประมาณ 15 -25% อาจพิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม และไทย โดยตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจ เนื่องจากมีแนวโน้มได้แรงหนุนดังนี้ 1) เศรษฐกิจเวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

โดยดัชนี PMI เดือนสิงหาคม ขยายตัว 53.4 ขณะที่ การส่งออกเดือนสิงหาคม ขยายตัว 14.5% YoY 2) กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน ใน 2Q2567 ขยายตัว 14%YoY และมีแนวโน้มขยายตัวดีใน 2H2567 3) เงินเฟ้อเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 3.5%YoY ลดลงจากเดือนกรกฎาคม และต่ำกว่าเป้าระยะยาวที่ 4.5% ส่งผลให้ความกังวลมบนประเด็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนามลดลง และ 4) Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 10.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี -1 s.d.

ส่วนตลาดหุ้นไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ได้แรงหนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยภาครัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน จากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐ ที่ต่อเนื่องมากขึ้น และ จากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่า ในเดือน ธันวาคม นี้ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps และลดต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.0%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทย ได้แรงหนุนจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้น ตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ท่ามกลาง Valuation ของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดย SET Index ซื้อขายอยู่บนระดับ valuation ที่น่าสนใจ โดย 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 14.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่ประมาณ -1.0 s.d. และมองว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ทั้งจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ รวมทั้งเม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนผ่านกองทุนรวม Thai ESG จากการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งมีแนวโน้มดึงดูดเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนในประเทศที่ต้องการลดหย่อนภาษี และนักลงทุนต่างประเทศ จากธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน (Governance) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับ ทิศทางเงินทุนจากต่างประเทศยังมีแนวโน้มไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก Sentiment ที่ดีขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนที่ออกมา และจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งมากกว่าการปรับลดดอกเบี้ยของกนง.

สำหรับอัตราผลตอบแทนรวมของสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก นับตั้งแต่ต้นปี 2567 – YTD (18 กันยายน 2567) ทองคำให้ผลตอบแทนดีที่สุด อยู่ที่ 24.5% โดยได้รับผลบวกจากการที่ Yield ปรับตัวลดลง และธนาคารกลางของประเทศต่างๆมีความต้องการถือครองทองคำมากขึ้น รองลงมาเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ 19.3% จากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดีในช่วงครึ่งแรกของปี ประกอบกับ การคาดหวังว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และมีแรงส่งจากหุ้นกลุ่ม Tech ที่มีผลประกอบการที่ค่อนข้างดีในช่วงไตรมาสที่ 1 แม้ในไตรมาสที่ 2 ผลประกอบการจะแผ่วลงแต่ถือว่าอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างดี ต่อมาคือ Global REITs อยู่ที่ 13.8% ได้รับอานิสงค์จากการที่ Bond Yield ปรับตัวลดลง ทำให้ผลตอบแทนของ REITs ดีขึ้น DM Equity ex US อยู่ที่ 10.7% EM Equity อยู่ที่ 9.1% HY Bond อยู่ที่ 8.8% TIPS อยู่ที่ 5.2% IG Bond อยู่ที่ 5.1% Gov Bond อยู่ที่ 2.8% และ Oil อยู่ที่ -1.4% ส่วนการลงทุนในรายประเทศ US large อยู่ที่ 19.3% India อยู่ที่ 18.2% Vietnam อยู่ที่ 12.2% ยุโรปอยู่ที่ 11.8% China offshore 11.3% US Small 9.9% Japan 9.2% Indonesia 7.8% Thai 4.7% และ Korea -3%

SCB CIO พร้อมสนับสนุนมาตรการรัฐ กระตุ้นตลาดทุนไทย ปรับเกณฑ์เพิ่มวงเงินลงทุนกองทุน ThaiESG ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 300,000 บาท ลดระยะเวลาลงทุนเหลือเพียง 5ปี นับจากวันที่ลงทุน พร้อมดึง 6 กองทุน 3 รูปแบบ 2 ทางเลือก ได้แก่ SCBTM(ThaiESG) SCBTM(ThaiESGA) SCBTA(ThaiESG) SCBTA(ThaiESGA) SCBTP(ThaiESG) และ SCBTP(ThaiESGA) เป็นทางเลือกการออม

ที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีให้กับผู้ลงทุน เพื่อตอบโจทย์ตามเป้าหมายความต้องการของลูกค้า แนะสะสมหุ้นไทยไว้ใน Core port จาก 5 ปัจจัยหลัก ที่หนุนดัชนีหุ้นไทยปีนี้ ได้แก่ 1) การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในปี 2567 ที่เร่งตัวขึ้น และมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2) Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง 3) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 14% 4) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ 5) การประกาศใช้มาตรการ Uptick Rule หรือ ให้ Short Sales หุ้นได้เฉพาะราคาที่สูงกว่าราคาตลาด

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO พร้อมสนับสนุนมาตรการส่งเสริมการออมการลงทุน ภายหลังจากที่ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้สรุปแนวทางและพร้อมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน2 สัปดาห์นี้ ในการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : ThaiESG) โดย SCB CIO มองว่า การขยายวงเงินลงทุนจากไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน ที่ซื้อได้ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น ไม่เกิน300,000 บาท และลดระยะเวลาการถือครองจาก 8 ปี เป็น 5 ปี นับจากวันที่ลงทุน จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้น จากกลุ่มผู้ลงทุนที่ต้องการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และลงทุนเพื่อการออมระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่มีรายได้ประจำ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ต้องการสร้างวินัยในการออม เพื่อเป้าหมายในอนาคต โดยเลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้

นอกจากนี้ การขยายนโยบายการลงทุนให้ครอบคลุมด้านธรรมาภิบาล (Governance) ส่งเสริมความโปร่งใส จากเดิมเน้นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งจะทำให้ครอบคลุมจำนวนบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai เพิ่มขึ้น จาก 128 บริษัท เป็น 200 บริษัทนั้น SCB CIO มองว่า จะทำให้การลงทุนในหุ้นไทยผ่าน ThaiESG มีความครอบคลุมครบทุกมิติของ ESG และมีความหลากหลายในการเลือกลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นที่ดีให้กับนักลงทุนเพราะเงื่อนไขการลงทุนของบริษัทต่างๆ จะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่ก.ล.ต. กำหนด

ทั้งนี้ SCB CIO แนะนำให้ผู้ลงทุน พิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นไทยบนพอร์ตลงทุนหลัก (Core port) ที่เป็นพอร์ตการลงทุนระยะยาว โดยเรามองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยสนับสนุนระยะยาว 5 ประเด็นหลักที่หนุนดัชนีหุ้นไทย ได้แก่ 1) การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในปี 2567 ที่เร่งตัวขึ้นประมาณ 39% ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2567 และยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป 2) Valuation ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง ใกล้เคียงกับช่วงโควิด-19 3) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 4) ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จะช่วยสนับสนุนเงินทุนไหลกลับเข้าไทยมากขึ้น และ 5) การประกาศเริ่มใช้มาตรการ Uptick Rule หรือ ให้ Short Sales หุ้นได้เฉพาะราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ล่าสุด (uptick) ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้ จากการที่ทำธุรกรรม Short Sales ได้ยากขึ้นในช่วงตลาดขาลง

สำหรับ ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนระยะยาว พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ผ่านกองทุนรวม ThaiESG นั้น ปัจจุบัน SCB มีกองทุน ThaiESG ให้เลือก 3 รูปแบบที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า โดยในแต่ละรูปแบบมี 2 ทางเลือก คือ แบบปันผล และสะสมมูลค่า ได้แก่ กองทุน SCBTM(ThaiESG) และ SCBTM(ThaiESGA) ที่ลงทุนแบบผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG กองทุน SCBTA(ThaiESG) และ SCBTA(ThaiESGA) ที่ลงทุนหุ้นไทย ESG ด้วยกลยุทธ์บริหารเชิงรุก และกองทุน SCBTP(ThaiESG) และ SCBTP(ThaiESGA) ลงทุนหุ้นไทย ESG ที่ผลตอบแทนอิงตามดัชนี SET ESG รวมทางเลือกมากที่สุดในตลาดทั้งหมด 6 กองทุน โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกตามความเหมาะสม และเป้าหมายของแต่ละท่านที่ตั้งไว้ รวมทั้งความเสี่ยงที่สามารถรับได้

SCB CIO วิเคราะห์หากทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.นี้ คาดจะมีนโยบายที่สนับสนุนต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าไบเดน จากการบริโภคที่ได้รับแรงหนุนนโยบายต่ออายุการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และคงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ส่งผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ส่วนจีนจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าหนักขึ้น ด้านค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย ที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า เช่น วอนเกาหลีใต้ ดอลลาร์ไต้หวันและเงินบาท อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกได้ พร้อมแนะนำลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นจีน A-Share บนพอร์ตลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป แต่ต้องจับตาความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง พร้อมลงทุนตลาดหุ้นจีน H-Share บนพอร์ตระยะสั้นรับแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการจีน

น.ส.เกษรี อายุตตะกะ CFP® ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า จากการติดตามผลสำรวจคะแนนความนิยมของนายโจ ไบเดน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งเดือน พ.ย. 2567 นี้ ผ่านเว็บไซต์ผลสำรวจ realclearpolitics พบว่า ล่าสุด คะแนนความนิยมของทรัมป์ อยู่ที่ 47.5 นำเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคะแนนนิยมของไบเดน ซึ่งอยู่ที่ 46.4 และในสภาคองเกรส ผลสำรวจระบุว่า พรรค Republican มีคะแนนนำเล็กน้อยในสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง ส่วนวุฒิสภา หรือสภาบน คะแนนทั้งสองพรรคใกล้เคียงกันมาก

ทั้งนี้ SCB CIO วิเคราะห์ผลกระทบเปรียบเทียบระหว่างทรัมป์หรือไบเดน เป็นประธานาธิบดีสมัยหน้า โดยมองว่า หากทรัมป์เป็นประธานาธิบดีจะมีนโยบายที่สนับสนุนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าไบเดน เนื่องจากการบริโภคจะได้รับแรงหนุน จากนโยบายต่ออายุการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จะหมดอายุลงในปี 2568 ขณะที่ไบเดนมีแผนเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง แต่การบริโภคสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ อาจได้รับผลกระทบบ้างจากนโยบายของทรัมป์ ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนมากกว่า 60% และสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าอื่น 10% ส่วนการส่งออกสุทธิ อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนนำเข้าสินค้าทุนที่แพงขึ้น และจากการตอบโต้กลับของประเทศอื่น ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขัน ต่างจากไบเดนที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นโดยพุ่งเป้าเฉพาะสินค้ายุทธศาสตร์ของจีนเป็นหลักทำให้ไม่ส่งผลกระทบมากนัก

ด้านการลงทุน จะคงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ที่ 21% หรืออาจปรับลดเพิ่มเติม รวมทั้งมีนโยบาย American First เพิ่มการผลิตในประเทศ ทดแทนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่วนการคลังจะขาดดุลการคลังมากขึ้น ทำให้ต้องออกพันธบัตรรัฐบาล (Bond) เพิ่มขึ้น และอาจเผชิญข้อจำกัด เนื่องจากยอดหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ช่วงโควิด ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ในปี 2567 คาดว่า หนี้สาธารณะต่อ GDP จะอยู่ที่ 99% ต่างจากเมื่อปี 2559 ที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ซึ่งอยู่ที่ 77% และสหรัฐฯ จะมีปัญหาชนเพดานหนี้อีกครั้ง จากที่ได้ขยายเวลาเพดานหนี้ไปถึงช่วงต้นปี 2568

สำหรับอัตราเงินเฟ้อ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หากทรัมป์เป็นประธานาธิบดี เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนและประเทศคู่ค้าอื่น จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และอาจเกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก (Supply Chain Disruption) นอกจากนี้ ยังเผชิญแรงกดดันจากการเพิ่มการขาดดุลการคลัง รวมทั้งการจำกัดการอพยพย้ายถิ่นฐานที่จะไปกดดันอุปทานแรงงาน ต่างจากไบเดนที่อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นน้อยกว่า เนื่องจากมีการกระตุ้นทางการคลัง และการปรับขึ้นภาษีนำเข้าน้อยกว่า

ขณะที่ทิศทางนโยบายการเงิน เราคาดว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และยังมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ย โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Yield Curve) มีแนวโน้มชันมากขึ้น จากเงินเฟ้อคาดการณ์ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการออกบอนด์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Bond Yield ระยะยาวปรับเพิ่มขึ้น (Yield Curve ชันมากขึ้น) อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เผชิญข้อจำกัดในการใช้นโยบายการคลัง โดยเฉพาะกรณีไม่สามารถครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ทรัมป์อาจจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ Bond Yield ระยะสั้นปรับลดลง และทำให้ Yield Curve มีความชันเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงบนความต่อเนื่องของนโยบายการเงินได้ โดยมีแนวโน้มที่จะไม่ต่ออายุนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ที่จะครบวาระในวันที่ 15 พ.ค. 2569 และน่าจะแต่งตั้งประธานเฟดคนใหม่ ที่มีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้มีการผ่อนคลายทางการเงินมากเกินไป ส่งผลให้การคาดการณ์เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น

สำหรับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินคู่ค้า จากความเสี่ยงการปรับขึ้นภาษีนำเข้า และสงครามการค้าโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมทั้งยังมีแรงหนุนจากการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การออกบอนด์เพิ่มขึ้น ที่จะทำให้ Bond Yield เพิ่มขึ้นด้วย ตรงกันข้ามกับไบเดน เป็นประธานาธิบดี ที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวถึงอ่อนค่า ตามทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ในส่วนของผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น จากสถิติในอดีต พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักผันผวนเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่เมื่อการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ความผันผวนจะปรับลดลง ทั้งนี้ หากทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี จะเป็นผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มากกว่าไบเดน จากการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จะส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะที่การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จะช่วยหนุนให้กิจการมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นภาษีนำเข้าอาจกระทบปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้น โดยเฉพาะผู้ที่นำเข้าสินค้ามาเพื่อผลิตต่อ ขณะที่ผู้ส่งออก ยังมีแนวโน้มเผชิญการตอบโต้กลับด้านภาษีการค้าของประเทศอื่นๆ ส่วน Valuation มีแนวโน้มปรับลดลง จากการที่ Bond Yield ระยะยาว มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันที่ Valuation อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงมากกว่าในอดีต นอกจากนี้ เรามองว่า การที่ ทรัมป์ได้รับชัยชนะจะทำให้ความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายต่างๆ ที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการสื่อสารนโยบายผ่านช่องทางต่างๆ เข่น Twitter (X) และการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นต้องการผลตอบแทนเพื่อชดเชยความเสี่ยง (Equity Risk Premium) สูงขึ้น กดดัน Valuation ของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้

ส่วนกรณีที่ ไบเดน เป็นประธานาธิบดี จะเป็นผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ น้อยกว่า โดยแนวโน้มกำไรต่อหุ้น (EPS) มีความเสี่ยงจะได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการเก็บภาษีการซื้อหุ้นคืนด้วย ขณะที่ ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นบ้างจากการที่ Bond Yield มีแนวโน้มเป็นขาลง และความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายต่างๆ ปรับลดลง

น.ส.เกษรี กล่าวว่า สำหรับผลที่มีต่อประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะจีน จากนโยบายของ ทรัมป์ และ ไบเดนนั้น ถือว่าเป็นลบกับจีนทั้งคู่ แต่นโยบายของทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อจีนมากกว่า เพราะนอกจากเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมดแล้ว ยังมีแนวโน้มลดระดับความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ยกเลิกการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นจากจีน ตั้งแต่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก ไปจนถึงยา ภายใน 4 ปี ทั้งยังขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จีนที่ผลิตในเม็กซิโกในอัตรา 100% กำหนด

ข้อจำกัดการถือครอง (ownership) ของจีน ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯ เช่น พลังงาน เทคโนโลยี การแพทย์ และการสื่อสาร และยังออกกฎใหม่เพื่อหยุดการลงทุนของบริษัทสหรัฐฯ ในจีนอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาจีนมีการเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว ด้วยการปรับห่วงโซ่อุปทานและปรับช่องทางการค้า โดยกระจายความเสี่ยงส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยจำกัดผลลบต่อเศรษฐกิจจีนได้ ประกอบกับธนาคารกลางจีน (PBoC) อาจยอมปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในระดับที่ไม่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเงินทุนไหลออก ซึ่งก็จะช่วยบรรเทาผลลบจากกำแพงภาษีได้อีกทาง

ในส่วนของผลกระทบต่อประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียนั้น เรามองว่า การปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ รวมทั้งความไม่แน่นอนของตลาดที่มากขึ้น อาจส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะสกุลเงินที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง และเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก เช่น วอนเกาหลีใต้ ดอลลาร์ไต้หวัน และเงินบาท ซึ่งอาจทำให้เงินทุนไหลออกได้ ขณะที่ค่าเงินรูปีอินเดีย รูเปียห์อินโดนีเซีย และเปโซฟิลิปปินส์ อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนค่อนข้างต่ำ

สำหรับคำแนะนำการลงทุนของ SCB CIO ในปัจจุบัน เราแนะนำให้ลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ บน Core Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนหลัก สำหรับการลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป โดยเรามองว่า จะเริ่มเห็นการขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนไปยังหุ้นอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาด 7 ตัว (Magnificent 7) มากขึ้น รวมทั้งเห็นการกระจายตัวของกำไรในอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มธุรกิจบริการสำหรับผู้บริโภค และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งจะช่วยประคอง Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้อยู่ในระดับสูงได้

ส่วนตลาดหุ้นจีน A-Share เราแนะนำลงทุนบน Core Portfolio เช่นกัน เนื่องจากมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว ตามความคาดหวังของนักลงทุนบนการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ในการประชุม 3rd Plenum และการประชุม Politburo ช่วงเดือนก.ค. นี้ แม้เมื่อเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดัชนีตลาดหุ้นจีน A-Share อาจมีแนวโน้มเผชิญความผันผวนเพิ่มมากขึ้น จากท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นของทางสหรัฐฯ ก็ตาม

ในส่วนของตลาดหุ้นจีน H-Share เราแนะนำให้ลงทุนบน Opportunistic Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตเสริมโอกาสระยะสั้น เฉพาะนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง เนื่องจาก มีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 1) การออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของทางการจีน โดยเฉพาะบนมาตรการเยียวยาภาคอสังหาริมทรัพย์ 2) เงินลงทุนไหลเข้า (Inflows) ผ่านช่องทาง Southbound stock connect ที่มีแนวโน้มมากขึ้น ตามการผ่อนคลายที่สนับสนุนตลาดทุน 3) การซื้อหุ้นคืนเพิ่มขึ้น และการเพิ่มเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนจีนที่ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น H-Share (offshore) โดยเฉพาะกลุ่มอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ ซึ่งอาจช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และ valuation และ 4) การคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาด H-Share ที่มีแนวโน้มทรงตัวถึงถูกปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับคู่ค้าต่างๆ และประเด็นข้อพิพาทช่องแคบไต้หวัน โดยล่าสุด จีนซ้อมรบใหญ่รอบไต้หวัน อ้างว่าเป็นการลงโทษท่าทีแบ่งแยกดินแดนของประธานาธิบดีไต้หวันคนใหม่ อาจเพิ่มความผันผวนแก่ตลาดได้

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click