

นายแพทย์ภูริทัต แสงทองพานิชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ นำทีมสื่อมวลชนสัญจร ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาองค์กรและพัฒนาศักยภาพชุมชน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาล กทม. กับบริการที่เข้าถึงง่าย และทั่วถึงทุกมุมเมือง เพื่อหวังมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยการจัดบริการด้านสาธารณสุขที่เข้าถึงได้ง่ายและครอบคลุมทุกพื้นที่ของเมือง
นายแพทย์ภูริทัต กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร เดินหน้ายกระดับระบบบริการสาธารณสุข “โรงพยาบาล กทม. ทุกมุมเมือง” ตอบโจทย์ประชาชนในยุคดิจิทัล โดยบูรณาการทั้งโรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข และบริการสุขภาพรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยี การแพทย์เคลื่อนที่ และการดูแลต่อเนื่องในชุมชน เพื่อเพิ่มความครอบคลุมและความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เน้นการลดระยะเวลารอคอยการรักษา ตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว และส่งเสริมให้คนเมืองใส่ใจในเรื่องสุขภาพตั้งแต่ต้น ในโอกาสนี้ นายแพทย์ภูริทัต ได้นำสื่อมวลชนเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการ พร้อมอธิบายถึงองค์ประกอบหลักของโมเดล ที่ผสมผสานบริการทางไกล การแพทย์เคลื่อนที่ การดูแลต่อเนื่องที่บ้าน และการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์–อัมพาต เพื่อสร้างความครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิผลของระบบสุขภาพ และยังให้ข้อมูลโครงการต่าง ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

โครงสร้างดิจิทัลและแพทย์ออนไลน์ เปิดบริการ “รพ.ออนไลน์ กับ หมอกทม.” รองรับการพบแพทย์ทางไกล นัดหมายรับยา และติดตามอาการ เชื่อมต่อข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ทุกที่ทุกเวลา ปัจจุบัน โรงพยาบาลทั้ง 11 แห่งในสังกัดสำนักการแพทย์ให้บริการ Telemedicine ครบทุกแห่ง ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอ กทม.” และ UMSC โดยมีอัตราการตอบรับบริการภายใน 15 นาที มากกว่า 99% และมีผู้รับบริการเฉลี่ยกว่า 200,000 รายต่อปี กรุงเทพมหานครยังตั้งใจพัฒนาระบบต่อเนื่องเพื่อให้บริการ UMSC ตลอด 24 ชั่วโมง รองรับความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่

รถมอเตอร์ไซค์กู้ชีพฉุกเฉิน Motolance รถจักรยานยนต์พร้อมชุดช่วยชีวิตเบื้องต้น เข้าถึงผู้ป่วยได้รวดเร็วในพื้นที่จราจรหนาแน่น พร้อมเชื่อมต่อสื่อสารกับศูนย์สั่งการแบบเรียลไทม์ เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบัน มีโรงพยาบาลทั้ง 11 แห่งในสังกัดสำนักการแพทย์ ดำเนินการให้บริการ Motolance โดยมีจุดจอดรถประจำโรงพยาบาลและนอกพื้นที่รวมทั้งหมด 40 คัน และสามารถเข้าถึงเหตุฉุกเฉินได้โดยเฉลี่ยภายใน 5 นาทีสำหรับแผนในอนาคต กรุงเทพมหานครตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถ Motolance เป็น 100 คันภายในปี 2569 พร้อมขยายจุดจอดครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
จุดบริการใกล้บ้านและคลินิกออนไลน์ บริการคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น เชื่อมต่อแพทย์ออนไลน์ และส่งต่อผู้ป่วยตามความรุนแรง พร้อมเปิด ศูนย์เทคโนสุขภาพดี (Health Tech Center) เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลและเสริมระบบบริการปฐมภูมิในชุมชน ปัจจุบันมีศูนย์เทคโนสุขภาพดีให้บริการแล้ว 7 แห่ง ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลราชพิพัฒน์และโรงพยาบาลกลาง สำหรับแผนในอนาคต กรุงเทพมหานครตั้งเป้าขยายศูนย์เทคโนสุขภาพดีเพิ่มอีก 3 โซน ได้แก่ โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลสิรินธร เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้านได้มากขึ้นและทั่วถึงยิ่งขึ้น

บริการเยี่ยมบ้านและออนไลน์ ทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่และติดตามอาการผู้ป่วยผ่านวิดีโอคอล พร้อมระบบ BMA Home Ward ที่เชื่อมต่อการดูแลจากโรงพยาบาล–ศูนย์บริการ–อาสาสมัครสาธารณสุข โดยใช้ Telemedicine และ CCTV ภายใต้การยินยอมของผู้ป่วยและญาติ มีฐานข้อมูลกลางที่ UMSC รองรับการติดตามและเชื่อมระบบการแพทย์ฉุกเฉิน
การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยประคับประคอง พัฒนาแผนดูแลเฉพาะบุคคล ครอบคลุมด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ผ่านคลินิกผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์เมือง เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครเปิดบริการ คลินิกผู้สูงอายุครบวงจร ครอบคลุม 11 โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง และคลินิกชุมชนอบอุ่น 8 แห่ง พร้อมเปิด ศูนย์เวชศาสตร์เมือง เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลแบบประคับประคอง สำหรับอนาคต มีแผนขยายบริการคลินิกผู้สูงอายุครบวงจรให้ครอบคลุมทุกคลินิกชุมชนอบอุ่น เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลต่อเนื่องและครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม
โครงการคัดกรองและส่งเสริมสุขภาพ เดินหน้าโครงการ “ตรวจสุขภาพ 1 ล้านคน” เพื่อขยายการเข้าถึงการตรวจสุขภาพเชิงรุก–เชิงรับ คัดกรองโรคเรื้อรัง และส่งเสริมสุขภาพร่วมกับศูนย์บริการ โรงพยาบาล ชุมชน และภาคเอกชน พร้อมกิจกรรม “วิ่งล้อมเมือง” เพื่อกระตุ้นการออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครวางแผนดำเนินการตรวจสุขภาพประจำปีตามสิทธิประโยชน์ของประชาชนร่วมกับ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพฯ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมวิ่งล้อมเมืองอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือของสำนักงานเขต โรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมครบทั้ง 50 เขต เพื่อให้ประชาชนในทุกพื้นที่เข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพได้อย่างเท่าเทียม

นายแพทย์ภูริทัต กล่าวอีกว่า การพัฒนาการจัดบริการสุขภาพนี้ สะท้อนเจตนารมณ์ของกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างระบบที่มีมาตรฐาน ทันสมัย และใกล้ชิดกับประชาชน เพื่อให้ทุกคนในกรุงเทพฯ เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงจริง โครงการ “โรงพยาบาล กทม. ทุกมุมเมือง” อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครยอมรับว่าการพัฒนาระบบดังกล่าว ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะในด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังคงต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ขณะที่การให้บริการทางไกลและการแพทย์เคลื่อนที่ ยังคงต้องอาศัยความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ ประชาชนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานดิจิทัล อาจยังประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการออนไลน์ ที่สำคัญคือความยั่งยืนทางการเงิน เนื่องจากการขับเคลื่อนโครงการในระยะยาวจำเป็นต้องมีงบประมาณและการสนับสนุนที่เพียงพอ เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง แต่กรุงเทพมหานครจะเดินหน้าพัฒนาระบบดังกล่าวอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งปรับปรุงจุดอ่อนและเสริมจุดแข็ง เพื่อให้ประชาชนในทุกมุมเมืองได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ทันสมัย และครอบคลุมอย่างแท้จริง
รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชนสัญจร ลงพื้นที่ทางเดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของประชาชนตลอดแนวคลองแสนแสบ รวมถึงส่งเสริมการใช้จักรยานและการเดินเท้าเป็นทางเลือกในการสัญจรในเมืองอย่างยั่งยืน
โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และลดปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองแสนแสบควบคู่ไปกับการก่อสร้างทางเดินและทางจักรยาน ตั้งแต่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปจนถึงเขตหนองจอก ปลายสุดของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) พร้อมทางเดินและทางจักรยานแล้วเสร็จรวมระยะทางประมาณ 60.38 กิโลเมตร (60,380 เมตร)

ในส่วนของการดำเนินงานในปัจจุบัน อยู่ระหว่างการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 4.72 กิโลเมตร (4,720 เมตร) ประกอบด้วย งานปรับปรุงขยายเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณถนนพระรามที่ 6 ถึงบริเวณสะพานเฉลิมหล้า โครงการก่อสร้างเขื่อนและปรับปรุงเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณทางด่วนเฉลิมมหานครถึงประตูระบายน้ำคลองตัน และโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและประตูเรือสัญจรคลองแสนแสบตอนคลองบางชัน
ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครยังอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 12.7 กิโลเมตร (12,700 เมตร) ในสองช่วง ได้แก่

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีแผนดำเนินการในระยะถัดไป โดยจะดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 17.2 กิโลเมตร (17,200 เมตร) แบ่งออกเป็นสองโครงการสำคัญ ได้แก่
โครงการ “ทางเท้าเลียบคลองพร้อมเลนจักรยาน” ถือเป็นนโยบายสำคัญของกรุงเทพมหานคร ภายใต้แผนพัฒนา “เดินได้ ปั่นปลอดภัย” ที่ริเริ่มจากเขตพระนครถึงเขตหนองจอก โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ริมคลองแสนแสบและคลองสายรองในเขตเมืองให้เป็นเส้นทางสำหรับการเดินเท้าและปั่นจักรยานอย่างปลอดภัย ครอบคลุมระยะทางรวมกว่า 47.5 กิโลเมตร (47,500 เมตร) โดยในช่วงต้นของโครงการ ได้ดำเนินการก่อสร้างทางเท้าควบคู่กับแนวเขื่อนริมคลอง พร้อมติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีจุดเริ่มต้นที่เขตพระนครถึงเขตหนองจอก และแผนขยายต่อไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่น ลาดพร้าว พร้อมพงษ์ ท่าพระ และสามยอด เพื่อเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ รถไฟฟ้า MRT เรือ และ BTS ได้อย่างสะดวก ตั้งเป้าโครงการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2570 เพื่อสร้างเมืองที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีสุขภาวะที่ดีในระยะยาว

หลังจากการให้ข้อมูล เกี่ยวกับแผนการพัฒนาส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ เพื่อให้ได้เห็นภาพมากขึ้น รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเส้นทางริมน้ำในเขตกลางเมืองกรุงเทพฯ ไม่เพียงแต่ตั้งอยู่ใกล้กับย่านชุมชนแน่นหนาและสถาบันการศึกษาสำคัญอย่างมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดที่มีการสัญจรทางเรือหนาแน่นและเชื่อมต่อกับพื้นที่เศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ
โดยเส้นทางนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็น ทางเดินเท้าและทางจักรยานเลียบคลอง ที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน โดยมีการปรับปรุงผิวทางเดินให้เรียบเสมอ ติดตั้งราวกันตกในจุดเสี่ยง เพิ่มแสงสว่างตลอดเส้นทาง และจัดให้มีทางลาดสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ใช้รถเข็น สามารถใช้งานร่วมกันได้โดยไม่ถูกรบกวนจากการจราจรบนถนนหลัก

อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความเงียบสงบกว่าพื้นที่ถนนภายนอก ทำให้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเช้าและเย็น ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากใช้เส้นทางนี้เป็นทางลัดระหว่างบ้าน ที่เรียน หรือที่ทำงาน และยังนิยมใช้ในการออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน โดยเฉพาะนักศึกษาและบุคลากรของ มศว ที่สามารถเดินเชื่อมถึงท่าเรือได้อย่างสะดวก
ตลอดการดำเนินโครงการ กรุงเทพมหานครได้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่ จุดเชื่อมต่อ ทางลาด ทางข้าม และพื้นที่พักผ่อนต่าง ๆ ตลอดแนวคลอง เพื่อให้เกิดการใช้งานจริงอย่างยั่งยืน โดยมีการประเมินผลตอบรับจากพื้นที่นำร่อง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นจากโครงสร้างทางเท้าและเลนจักรยานที่มีการจัดสรรอย่างเป็นระบบ
รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชน ลงพื้นที่ติดตามการทำงาน แบบบูรณาการร่วมกัน ระหว่างกรุงเทพมหานคร มณฑลทหารบกที่ 11 และกรมทางหลวง ในการบริหารจัดการน้ำกรุงเทพมหานคร บริเวณจุดเสี่ยงน้ำท่วมถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
รองผู้ว่าฯ วิศณุ กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร เร่งดำเนินมาตรการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม ในช่วงฝนตกหนักหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง โดยในปี 2568 กรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะจากอิทธิพลของปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งส่งผลให้ปริมาณฝนในเดือนพฤษภาคมมากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 17% และในเดือนมิถุนายนมากกว่าค่าเฉลี่ย 1% ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ระหว่างรอการระบายในหลายพื้นที่

ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับฝนตกหนักแบบเฉียบพลัน หรือที่เรียกกันว่า "Rain Bomb" คือฝนที่ตกลงมาในปริมาณมากภายในระยะเวลาสั้น ส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันและระบายน้ำได้ช้า โดยปกติแล้ว หากฝนตกแบบกระจายตัวในพื้นที่ต่าง ๆ ระบบระบายน้ำของกรุงเทพฯ จะสามารถรองรับได้บ้าง เพราะปริมาณน้ำจะถูกทยอยระบายออกไป ไม่สะสมในจุดเดียว แต่กรณีนี้ ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องในปริมาณมากภายในช่วงเวลาเพียง 1-2 ชั่วโมง ซึ่งหากปริมาณน้ำฝนสูงเกิน 29 มิลลิเมตร อาจส่งผลให้ท่อระบายน้ำในหลายจุดไม่สามารถรับน้ำได้ทัน ผลกระทบคือเกิดน้ำรอระบายบนถนนหลายสาย การจราจรติดขัด และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในช่วงเวลาเร่งด่วน ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครจึงเร่งดำเนินการแก้ไข ในทุกระดับทั้งระดับเส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอย โดยการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องสูบน้ำ การขุดลอกคลองและท่อระบายน้ำ การใช้ระบบตรวจวัดระดับน้ำบนผิวถนนเชื่อมโยงกับระบบเครื่องสูบน้ำและการเปิดประตูระบายน้ำเร่งการระบายให้น้ำไหลออกเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเมือง โดยเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าระวังและติดตามระดับน้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมพัฒนาระบบการจัดการน้ำให้สามารถรับมือกับมวลน้ำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รองผู้ว่าฯ วิศณุ กล่าวอีกว่า หนึ่งในพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่อง คือ ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งมีจุดน้ำท่วมหลายจุด จากฝนที่ตกหนักในอดีตที่ผ่านมาการระบายน้ำเป็นไปย่างล่าช้า แต่ปัจจุบันสามารถเร่งลดระดับน้ำบนผิวถนนได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น จึงได้นำทีมสื่อสัญจรลงพื้นที่ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำรอระบายและให้เห็นถึงการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันของหลายหน่วยงาน ในการบริหารจัดการน้ำร่วมกันอย่างเป็นระบบ อาทิ กรมทางหลวง ที่ล้างท่อและดำเนินโครงการ Flood Way จากคลองเปรมประชากรถึงแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงการก่อสร้างท่อลอดระบายน้ำร่วมกับ กทม. ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 11 อนุญาตใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงและติดตั้งเครื่องสูบน้ำระบายสู่ถนนหมายเลข 10 ด้าน รฟม. สนับสนุนการล้างท่อบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู ด้านกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำ ก่อสร้างท่อ บ่อสูบน้ำ เขื่อน สถานีสูบน้ำคลองบางตลาด และจัดหาพื้นที่แก้มลิงและบึงรับน้ำที่มีประสิทธิภาพ เช่น บึงรับน้ำสีกัน สำนักการโยธา ก่อสร้างถนนและบ่อสูบน้ำ เพื่อรองรับน้ำจากถนนหมายเลข 10 เพิ่มการระบายน้ำโดยรวมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
จากการร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ ทำให้การระบายน้ำบนถนนแจ้งวัฒนะ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลดผลกระทบจากน้ำท่วมหลังฝนตกหนัก สามารถระบายน้ำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ดังนี้ เมื่อเกิดน้ำท่วมขังบริเวณถนนแจ้งวัฒนะ ช่วงหน้า มทบ.11 น้ำจะถูกส่งผ่านเข้าท่อลอดระบายน้ำขนาด 0.60 เมตร และเข้าสู่บ่อสูบน้ำที่อยู่บริเวณหน้ามทบ.11 จากนั้นน้ำจะไหลเข้าสู่พื้นที่แก้มลิงภายใน มทบ.11 ต่อมา จะมีการเดินเครื่องสูบน้ำภายใน มทบ.11 เพื่อผันน้ำออกไปยังถนนหมายเลข 10 จากถนนหมายเลข 10 จะมีการเดินเครื่องสูบน้ำอีกครั้ง เพื่อระบายน้ำลงสู่คลองแยกบางตลาด เมื่อถึงคลองแยกบางตลาด จะมีการเดินเครื่องสูบน้ำต่อ เพื่อส่งน้ำไปยังคลองบางตลาด และสุดท้าย น้ำจะถูกระบายจากคลองบางตลาดไปสู่คลองเปรมประชากร ซึ่งเป็นคลองหลักในการรับน้ำออกจากพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายจุดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครที่มีโครงการก่อสร้างฯ ซึ่งเราพยายามประสานงานและบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมถนนเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการระบายน้ำ การลดจุดเสี่ยงน้ำท่วมขัง และการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยสามารถเร่งระบายน้ำได้เร็วขึ้น ลดความเสียหายด้านการจราจร และสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก ซึ่งวิธีการทำงานร่วมกันนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญ ที่กรุงเทพมหานครจะนำเข้ามาปรับใช้ พร้อมเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และดำเนินการป้องกันอย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังได้ โดยการแจ้งพื้นที่น้ำท่วมขัง เข้ามาได้ที่ Traffy Fondue ทั้งในช่องทาง Line@TraffyFondue หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ได้ทั้งระบบ Android และ iOS เพื่อร่วมกันติดตามสถานการณ์ ลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมขัง การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เป็นการติดตามสถานการณ์และประเมินประสิทธิภาพของระบบระบายน้ำเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน ด้วยการวางระบบบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจนและเป็นขั้นตอน ทำให้กรุงเทพมหานครสามารถรับมือกับฝนตกหนักแบบเฉียบพลันได้ดีขึ้น พร้อมเดินหน้าปรับปรุงจุดอ่อน พัฒนาระบบสาธารณูปโภค และบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบาย “เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” ของกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งเน้นให้เมืองสามารถรับมือกับวิกฤติ ลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ
นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชน ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการปรับปรุงทางเท้ามาตรฐานใหม่ บริเวณหน้าตลาดพรานนก ถนนอิสรภาพ เขตบางกอกน้อย และบริเวณสถานีรถไฟฟ้า MRT อิสรภาพ เขตบางกอกใหญ่
โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทางเท้าของกรุงเทพมหานครให้เดินได้ เดินดี และน่าเดิน 1,000 กิโลเมตร ภายใน 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2566 -2569) ขณะนี้สามารถดำเนินการได้กว่า 70% แล้ว โดยภายในเดือนเมษายน 2568 นี้ เราจะมีทางเท้ามาตรฐานใหม่ จำนวน 87 เส้นทาง รวมระยะทาง 774 กิโลเมตร และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องคาดว่าภายในปี 2569 จะได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตรแน่นอน เหตุผลที่ กทม. ให้ความสำคัญในการพัฒนาทางเท้า เนื่องจากคนกรุงเทพฯ ร้อยละ 58.2 ใช้วิธีเดินเท้าเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะเฉลี่ยเดินระยะทาง 800 เมตรต่อ 10 นาที และร้อยละ 31.2 ใช้ยานพาหนะส่วนตัว ซึ่งแนวโน้มคนเดินเท้ามีมากขึ้น กทม.จึงมีแผนพัฒนาทางเท้าเชื่อมโยงรถไฟฟ้า ปัจจุบันมี 11 เส้นทาง 297 สถานี ระยะทางรวม 466.1 กม. ตามแนวคิด First & Last Mile เพื่อให้สามารถเดินจากที่พักไปเชื่อมรถไฟฟ้าและอื่น ๆ ได้สะดวก ปลอดภัย เช่น ถนนอิสรภาพ ถนนเพชรเกษม ถนนเจริญกรุง ถนนจรัญสนิทวงศ์ เป็นต้น

โดยในวันนี้ โฆษกของกรุงเทพมหานคร ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามการปรับปรุงทางเท้าถนนอิสรภาพ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เชื่อมต่อพื้นที่เขตธนบุรี บางกอกใหญ่ และบางกอกน้อย โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2567 คาดว่าจะแล้วเสร็จ ภายในเดือนเมษายน 2568 การปรับปรุงทางเท้าบริเวณดังกล่าว ใช้มาตรฐานทางเท้าใหม่ที่มีความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัยยิ่งขึ้น มีความเป็น Universal Design เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทางเท้าทุกคน อีกทั้งมีฝาท่อที่มีการออกแบบให้มีความโดดเด่นและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ประจำย่านของทั้ง 3 เขต มีการใช้พื้นผิวทางเท้าพิมพ์ลายเพื่อกันลื่น เพิ่มไฟฟ้าแสงสว่าง ขยับ Street Furniture ไม่ให้กีดขวางทางเท้า จัดระเบียบผู้ค้าหน้าตลาดเดิม โดยให้ย้ายเข้าไปทำการค้าในจุดที่เหมาะสม ซึ่งบริเวณหน้าตลาดพรานนก ถนนอิสรภาพ (ฝั่งขาเข้า) มีผู้ค้าลงทะเบียนไว้ 181 ราย ช่วงเวลาทำการค้า 06.00-20.00 น. แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือรอบเช้าและรอบบ่าย ปัจจุบันเขตบางกอกน้อย ได้จัดระเบียบพื้นที่ทำการค้า โดยมติของคณะกรรมการหาบเร่-แผงลอยระดับเขต ยกเลิกพื้นที่ทำการค้าบริเวณหน้าตลาดพรานนก และหน้าตลาดบางกอกน้อย ถนนอิสรภาพ (ฝั่งขาเข้า) ซึ่งทั้ง 2 จุด มีการปรับปรุงทางเท้าใหม่ โดยย้ายผู้ค้าบริเวณดังกล่าวเข้าไปทำการค้าภายในตลาดพรานนกประมาณ 40 แผง และผู้ค้าบางส่วนย้ายไปทำการค้าในที่แห่งใหม่
ทั้งนี้ กทม. มีแนวทางดำเนินการปรับปรุงทางเท้ามาตรฐานใหม่ 3 วิธี คือ 1. การทำใหม่ทั้งเส้นทาง 2. ปรับปรุงซ่อมแซมจุดที่ชำรุดเป็นการเร่งด่วน และ 3. การปรับใช้นวัตกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่ โดยจะต้องมีความแข็งแรงทนทาน เน้นผู้ใช้ทางเท้าเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งนำงานศิลปะมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบฝาท่อ ให้มีความโดดเด่นและแสดงออกถึงอัตลักษณ์ประจำย่านในแต่ละแห่ง สำหรับการทำใหม่ทั้งเส้นทางมีการดำเนินการ 2 รูปแบบ โดยในส่วนพื้นที่ชั้นในและเส้นทางที่มีผู้คนสัญจรหนาแน่น จะปูพื้นโดยใช้กระเบื้องตามมาตรทางเท้าใหม่ ซึ่งฐานรากจะต้องเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหนา 10 เซนติเมตร ที่จะสามารถเพิ่มความแข็งแรงของทางเท้าได้ เช่น ถนนเพลินจิต ถนนสีลม ถนนหลังสวน ถนนเยาวราช เป็นต้น ในส่วนพื้นที่ชานเมืองบางเส้นทางซึ่งการสัญจรไม่หนาแน่น จะใช้วิธีปูด้วยแอสฟัลต์ เช่น ถนนลาดหญ้า ถนนพุทธมณฑลสาย 3 นอกจากนี้ยังมีการขยับและรื้อย้าย Street Furniture ที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางเดินเท้า มีการปรับรางระบายน้ำตลอดแนวถนน จากรูปแบบเดิมที่เป็นช่องระบายน้ำติดกับทางเท้า เปลี่ยนมาเป็นรางระบายน้ำตลอดแนวถนน เพื่อช่วยระบายน้ำท่วมขังบนถนนลงท่อระบายน้ำได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงมีการปรับพื้นทางเข้าออกในจุดต่าง ๆ ให้มีความสูงที่ใกล้เคียงกันกับพื้นทางเท้า เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการสัญจรกับทุกคน

กทม. เริ่มดำเนินการปรับปรุงทางเท้ามาตรฐานใหม่ตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 16 เส้นทาง ระยะทาง 250 กิโลเมตร ในปี 2567 จำนวน 30 เส้นทาง ระยะทาง 332 กิโลเมตร และในปี 2568 จะดำเนินการอีก 41 เส้นทาง ระยะทาง 192 กิโลเมตร โดยในเดือนเมษายน 2568 นี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จครบทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 87 เส้นทาง รวมระยะทาง 774 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีแผนดำเนินการปรับปรุงทางเท้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการปรับปรุงทางเท้าได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตร ในปี 2569 นี้
โฆษกของกรุงเทพมหานคร ยังกล่าวอีกว่า กทม.จะยึด 5 แนวทางในการพัฒนาปรับปรุงทางเท้า คือ 1. แก้ไขตามประเด็นเรื่องร้องเรียนใน Traffy Fondue 2. พัฒนาปรับปรุงตามแนว BKK Trail 500 กม. 3. ภายในรัศมี 500 เมตร รอบสถานีรถไฟฟ้า ทางเท้าต้องดี 4. ปรับปรุงในเส้นทางที่มีผู้คนสัญจรหนาแน่น ตามข้อมูล Heatmap ที่เก็บได้ นอกเหนือจากรัศมีรถไฟฟ้า 5. คืนสภาพจากหน่วยงานสาธารณูปโภค โดยติดตามเร่งรัดการบริหารจัดการสาธารณูปโภคที่ทำให้เกิดผลกับพื้นผิวจราจรและทางเท้า อาทิ ประปา ไฟฟ้า การนำสายไฟลงดิน

มาตรฐานใหม่ของทางเท้ากรุงเทพฯ 10 ข้อ คือ 1. ลดระดับความสูงคันหินทางเท้า เป็นแบบรางตื้นสูง 10 เซนติเมตร 2. ลดระดับความสูงคันหินทางเท้าบริเวณทางเข้าออกอาคารหรือซอยต่าง ๆ ให้สูง 10 เซนติเมตร จากเดิม 18.50 เซนติเมตร 3. เปลี่ยนพื้นทางเท้าเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ด้วยคอนกรีตหนา 10 เซนติเมตร และเสริมเหล็ก 6 มิลลิเมตร 4. ปรับทางเข้า-ออกอาคารให้มีระดับเสมอกับทางเท้า เพื่อให้ผู้ใช้ทางเท้าทุกคนสามารถผ่านได้อย่างต่อเนื่องสะดวกสบาย 5. ปรับทุกทางเชื่อมและทางลาดให้มีความลาดเอียง 1:12 ตามมาตรฐานสากล 6. เพิ่มรูปแบบทางเลือกวัสดุปูทางเท้า เป็นแอสฟัลต์คอนกรีตพิมพ์ลาย 7. เปลี่ยนช่องรับน้ำจากแนวตั้งให้เป็นแนวนอน เพื่อเพิ่มอัตราการไหลของน้ำ 8. วางแนวทางการจัดตำแหน่งระบบสาธารณูปโภคบนทางเท้า เพื่อไม่ให้กีดขวางผู้ใช้ทางเท้า 9. วางอิฐนำทาง (Braille Block) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตา 10. ปรับปรุงแบบคอกต้นไม้ด้วยวัสดุพอรัสแอสฟัลต์ เพื่อขยายพื้นที่ทางเท้าให้กว้างขึ้น
ทางเท้าชำรุด เน้นรู้ไว ซ่อมเร็ว สภาพดี เพื่อความปลอดภัย ในส่วนของการปรับปรุงและซ่อมแซมทางเท้าที่ชำรุด กทม. โดยสำนักการโยธาและสำนักงานเขตที่รับผิดชอบแต่ละพื้นที่จะใช้หน่วยเคลื่อนที่เร็ว (BEST) ออกดำเนินการซ่อมแซมให้เร็วที่สุด และให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย หากจุดไหนสามารถทำเป็นทางเท้ามาตรฐานใหม่ได้จะมีการปรับปรุงด้วยเช่นกัน โดยที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาในการแจ้งผ่าน Traffy Fondue เมื่อพบเห็นจุดที่ชำรุดหรือเสี่ยงต่ออันตราย ทำให้เขตรับทราบปัญหาอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการลงพื้นที่สำรวจด้วยตนเอง

เพราะการมีทางเท้าที่ดี ได้มาตรฐาน ไม่เพียงจะช่วยสร้างความสะดวก เพิ่มความปลอดภัยในการสัญจรให้กับทุกคนเท่านั้น แต่นี่ยังจะเป็นจุดเริ่มต้นของใครอีกหลายคน ที่จะช่วยเชื่อมต่อกับเมือง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ และทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่เดินได้ เดินดีได้อย่างแท้จริง
แกร็บ ประเทศไทย จับมือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ มูลนิธิองค์กรทำดี เปิดตัวแคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” เพื่อส่งเสริมและยกระดับความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมป้องกันการคุกคามทางเพศ สอดรับกับนโยบาย “ปลอดภัยดี” ของ กทม. ที่มุ่งลดจุดเสี่ยงด้านอาชญากรรม อุบัติเหตุ และสาธารณภัย โดยแคมเปญดังกล่าวมุ่งเน้นการสร้างความมีส่วนร่วมกับกลุ่มไรเดอร์และคนขับ แกร็บผ่าน 3 ไฮไลท์หลัก คือ กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด เพื่อกระตุ้นจิตอาสาในการรายงานจุดเสี่ยงภัยทั่วกรุงเทพฯ ผ่านแอปพลิเคชัน Traffy Fondue การรณรงค์เพื่อปลูกจิตสำนึกและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันภัยคุกคามทางเพศผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ที่ได้ ดร. ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมให้ความรู้ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ IoT อาทิ กล้องบันทึกภาพ และปุ่มฉุกเฉิน (SOS) ภายในรถยนต์โดยสาร เพื่อสร้างความอุ่นใจในการเดินทางให้กับทั้งผู้ใช้บริการและคนขับ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานคร มุ่งมั่นที่จะสร้างเมืองที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินตามนโยบาย ‘ปลอดภัยดี’ โดยยกระดับการป้องกันปัญหาอาชญากรรมเพื่อสร้างความอุ่นใจรอบด้านให้กับประชาชนภายใต้แนวคิด 3 ส. อันได้แก่ สว่าง ผ่านการติดตั้งและซ่อมแซมไฟฟ้าแสงสว่างในที่สาธารณะ สะดวก ผ่านการจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยเพื่อเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยหรือหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยง และ สบายใจ ผ่านการติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อสอดส่องทุกความเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยง โดยในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา กทม. ได้ดำเนินการปรับปรุงจุดเสี่ยงอาชญากรรมไปแล้วกว่า 177 จุด ทั้งนี้ การผนึกความร่วมมือกับแกร็บโดยเปิดโอกาสให้คนขับและไรเดอร์มาช่วยปักหมุดจุดมืดในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนนโยบาย ‘กรุงเทพฯ ต้องสว่าง’ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการระบุจุดเสี่ยงและแก้ไขปัญหาแสงสว่างตามจุดต่างๆ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสปัญหาอาชญากรรม ซึ่งถือเป็นอีกแรงสำคัญที่จะช่วยสร้างเมืองที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นให้กับทุกคน”
![]()
นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ความปลอดภัยของผู้ใช้บริการและคนขับถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแกร็บ ดังนั้น เราจึงได้ลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมกำหนดมาตรฐานการให้บริการที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคนที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ไม่เพียงเท่านั้น แกร็บยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมประเด็นด้านความปลอดภัยในสังคม อาทิ การขับขี่ปลอดภัย รวมถึงการป้องกันการคุกคามทางเพศด้วย ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการช่วยกันสอดส่องดูแล ยับยั้ง และป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในปีนี้ เราจึงได้ริเริ่มแคมเปญ ‘เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab’ โดยร่วมมือกับ กทม. และ มูลนิธิองค์กรทำดี เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของคนขับแกร็บ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องเดินทางในท้องถนนและมีโอกาสพบเจอกับผู้คนเป็นจำนวนมากในทุกวัน โดยส่งเสริมให้พวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาและเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม โดยแคมเปญนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแกร็บในการยกระดับความปลอดภัยผ่านการใช้เทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกพลเมืองดีให้กับคนขับ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ปลอดภัย และน่าอยู่สำหรับทุกคน”
กิจกรรมหลักภายใต้แคมเปญ “เมืองปลอดภัย อุ่นใจไปกับ Grab” ประกอบด้วย
· กิจกรรม #ปักหมุดจุดมืด สร้างกรุงเทพฯ เมืองปลอดภัย: โดยแกร็บร่วมมือกับ กรุงเทพมหานคร เชิญชวนคนขับแกร็บในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วยกันสอดส่องและรายงานพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายทั่วกรุงเทพฯ อาทิ บริเวณถนนหรือซอยที่ไฟฟ้าดับ สัญญาณไฟคนข้ามชำรุด หรือพื้นที่เปลี่ยวใกล้ชุมชน ด้วยการถ่ายภาพบริเวณที่เสี่ยงภัย และส่งต่อไปที่ Traffy Fondue (ทราฟฟี่ฟองดูว์) เพื่อให้เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ดำเนินการปรับปรุง และแก้ไขต่อไป โดยปัจจุบันคนขับแกร็บได้เริ่มรายงานจุดเสี่ยงภัยไปแล้วกว่า 100 จุดทั่วกรุงเทพฯ
![]()
· การรณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการป้องกันการคุกคามทางเพศ: โดยแกร็บได้จัดทำคอร์สอบรมออนไลน์ภายใต้โครงการ GrabAcademy เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศและแนวทางในการช่วยเหลือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามให้แก่คนขับแกร็บ โดยได้ ดร. บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานมูลนิธิองค์กรทำดี มาร่วมถ่ายทอดความรู้และปลุกจิตสำนึก พร้อมแนะนำให้คนขับสามารถแยกแยะพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการคุกคามทางเพศ และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
· การยกระดับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้บริการและคนขับ: นอกจากการนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมาใช้ อาทิ ฟีเจอร์ Safety Centre ศูนย์ความปลอดภัยที่ให้ผู้โดยสารขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน ฟีเจอร์ Share My Ride ที่สามารถแชร์เส้นทางการเดินทางแบบเรียลไทม์ให้กับเพื่อนและครอบครัวได้ หรือฟีเจอร์ Audio Protect ที่มีการบันทึกเสียงระหว่างการเดินทางเพื่อใช้เป็นหลักฐานในกรณีที่เกิดเหตุไม่พึงประสงค์แล้ว ในปีนี้ แกร็บได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี IoT อาทิ ปุ่มฉุกเฉิน (SOS) และกล้อง Karta Dashcam ภายในห้องโดยสารเพื่อบันทึกภาพระหว่างการเดินทาง ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้ทั้งกับคนขับและผู้ใช้บริการ โดยจะเน้นไปที่บริการ GrabCar for Ladies (บริการเรียกรถที่ให้บริการโดยคนขับผู้หญิง)