December 05, 2025

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จับมือ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ลงนามในบันทึกข้อตกลง พิธีลงนามความร่วมมือ โครงการไลอ้อน-กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี ภายใต้โครงการพัฒนาวิชาการและโมเดลส่งเสริมสุขภาพช่องปาก : Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี ณ อาคารคิงบริดจ์ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่สะท้อนถึงเป้าหมายเดียวกัน ในการยกระดับสุขภาพช่องปากของเด็กไทย เริ่มต้นใน 13 จังหวัดนำร่อง ตอกย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการยกระดับสุขภาพช่องปากของเด็กและประชาชนไทย สู่เป้าหมาย “เด็กไทยฟันดี ไม่มีฟันผุ”

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรมอนามัยในฐานะหน่วยงานวิชาการหลักของกระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทสำคัญในการอภิบาลระบบส่งเสริมสุขภาพและสุขภาพช่องปากของประเทศ โดยการผนึกกำลังกับภาคเอกชนอย่างบริษัท ไลอ้อนฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิชาการด้านสุขภาพช่องปากอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับภารกิจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมสุขภาพของเด็กและคนไทย

ทั้งนี้ โครงการไลอ้อน-กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี ภายใต้โครงการพัฒนาวิชาการและโมเดลส่งเสริมสุขภาพช่องปาก : Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี เป็นบันทึกข้อตกลงที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกัน ในการยกระดับสุขภาพช่องปากของเด็กและประชาชนไทย  มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิชาการ ผ่านความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนด้านวิชาการ การประชาสัมพันธ์สร้างกระแสสังคม และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายและกลไกการส่งเสริมสุขภาพช่องปากในกลุ่มเด็กอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ส่งเสริมกิจกรรม ฝึกทักษะผู้ปกครองแปรงฟัน ส่งเสริมกิจกรรมแปรงฟันในโรงเรียน โครงการ Sandbox จังหวัดเด็กฟันดี จะเริ่มต้นใน 13 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ เชียงใหม่, ตาก, นครสวรรค์, นครนายก, เพชรบุรี, ฉะเชิงเทรา, กาฬสินธุ์, นครพนม, นครราชสีมา, ยโสธร, พังงา, นราธิวาส และกรุงเทพมหานคร โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 13 เดือน จะเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 2569 นอกจากนี้ ยังจะขยายผลโมเดลสุขภาพช่องปากไปยังทุกกลุ่มวัยในพื้นที่จัดบริการทันตกรรมโดยรถทันตกรรมเคลื่อนที่อีกด้วย

ด้านนายชาติ จันทร์วิจิตร ประธาน บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจคู่คุณธรรม พัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลากว่า 56 ปี เปิดเผยว่า ไลอ้อน ประเทศไทย มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์นี้ โดยร่วมมือกับกรมอนามัย ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมด้านสุขภาพของประชาชนไทย นับเป็นก้าวสำคัญในการรวมพลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม สู่เป้าหมาย ‘เด็กไทยฟันดี ไม่มีฟันผุ’ ตามเจตนารมณ์ร่วมกัน ซึ่งบริษัท ไลอ้อนฯ ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทันตกรรมป้องกัน สำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย โดยมีโครงการต่าง ๆ อาทิ Lion Kodomo School Roadshow ที่ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 30 ปี เพื่อให้ความรู้ในการแปรงฟันและสร้างเสริมพฤติกรรมดูแลสุขภาพช่องปากให้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียนประถมทั่วประเทศ ปีละกว่าหนึ่งแสนคน โครงการไลอ้อนส่งเสริมการป้องกันและดูแลสุขภาพช่องปากให้กับประชาชนทั่วไป โครงการบริหารช่องปากสำหรับผู้สูงวัยด้วยเทคนิค Kenkobi เป็นต้น โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นองค์กรธุรกิจคู่คุณธรรม ด้วยพันธสัญญาที่จะนำความดีสู่สังคม และพัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภคทุกช่วงวัย

บริษัท ไลอ้อน มีเป้าประสงค์ ที่จะส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักในพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้องให้กับประชาชนทุกช่วงวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้สูงอายุ ซึ่งนอกจากการร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “ไลอ้อน - กรมอนามัย เด็กไทยฟันดี” แล้ว ยังเปิดตัว โครงการ LION Smile Express ซึ่งปีนี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 เป็นโครงการที่ทางไลอ้อนจัดรถทันตกรรมเคลื่อนที่มาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัย ความทันสมัย เสมือนยกคลินิกทำฟันระดับพรีเมียมมาไว้บนรถ บริการตรวจฟัน เคลือบฟลูออไรด์ อุดฟัน ขูดหินปูน ออกให้บริการตามแหล่งชุมชน โรงเรียน ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดโดยเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยงหรือผู้ด้อยโอกาสที่ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจ การดูแล และรักษาปัญหาในช่องปากได้ อาทิ กลุ่มเด็กเล็กในโรงเรียน กลุ่มเด็กด้อยโอกาส ผู้บกพร่องทางร่างกาย ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยในภาวะพึ่งพิง ชาวบ้านในชุมชนแออัด เป็นต้น

โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา โครงการ LION Smile Express ได้ออกให้บริการใน 31 สถานที่ 9 จังหวัด และให้บริการกลุ่มเป้าหมายถึง 2,687 คน โดยในปีนี้มีแผนจะออกให้บริการควบคู่กับการขยายผลโมเดลการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากไปยังทุกกลุ่มวัยในพื้นที่จัดบริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ เพื่อเพิ่มความรอ และสร้างสังคมแห่งสุขภาพช่องปากที่ดีให้กับคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนกรมอนามัย จัดโครงการนำร่องฝึกอบรมหลักสูตร ‘แนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน สำหรับแพทย์’ หรือ HCP Obesity Curriculum เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ให้มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดูแลผู้ป่วย การป้องกันและรักษาที่ต่อเนื่องและยั่งยืน โดยกรมอนามัยขับเคลื่อนงานผ่าน ‘เวชศาสตร์วิถีชีวิต’ (หรือ Lifestyle Medicine) ซึ่งเป็นรูปแบบการบริการทางการแพทย์แนวใหม่ ที่เน้น การปรับเปลี่ยนปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเพื่อสุขภาพดี ร่วมกับการผสมผสานและบูรณาการศาสตร์ทางการแพทย์มาวางแผนเพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใน 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านโภชนาการ  2) ด้านการออกกำลังกาย 3) ด้านการนอนหลับ 4) ด้านการจัดการความเครียดและจัดการด้านอารมณ์ 5) ด้านการลดเลิกบุหรี่ สุรา และ 6) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2565 พบว่าปัจจุบันมีผู้คนทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคน ที่มีภาวะอ้วน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 650 ล้านคน วัยรุ่น 340 ล้านคน และเด็ก 39 ล้านคน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2568 จะมีผู้คนกว่า 167 ล้านคนทั่วโลกจะมีสุขภาพที่ไม่ดีจากภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะเหล่านี้ โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็นร้อยละ 4.9 ของ GDP ในประเทศไทย ขณะเดียวกัน หากลดความชุกของภาวะอ้วนลงร้อยละ 5 จากระดับที่คาดการณ์ไว้หรือคงไว้ที่ระดับปี 2562 จะทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจลดลงเฉลี่ยร้อยละ 5.2 และร้อยละ 13.2 ต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. 2563 – 2603 ตามลำดับ

การฝึกอบรมหลักสูตร ‘แนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน สำหรับแพทย์’ หรือ HCP Obesity Curriculum ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคอ้วนครบในทุกมิติ ครอบคลุมตั้งแต่สาเหตุของการเกิดภาวะอ้วน ผลของภาวะอ้วนที่มีต่อสุขภาพอนามัย จิตใจ เศรษฐกิจสังคม แนวทางการรักษาภาวะอ้วน รวมถึงการดูแลผู้ป่วย และการป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยในการอบรมยังมีแพทย์เฉพาะทางและแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ผศ.พญ.พัชญา บุญชยาอนันต์ ผศ.พญ.ดารุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร และรศ.พญ.ประพิมพร ฉัตรานุกูลชัย ฯลฯ ร่วมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อหลักสูตร อาทิ โรคอ้วน กลไกและสมดุลของร่างกาย หลักการในการดูแลรักษาโรคอ้วน แนวทางปฏิบัติและข้อควรพิจารณา ในการดูแลรักษาโรคอ้วนและการนำไปใช้จริง รวมถึงทัศนคติมุมมองที่มีต่อโรคอ้วนจากผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน และที่สำคัญได้นำความรู้ไปปรับใช้ในงานเวชปฏิบัติและสามารถพัฒนาต่อยอดในการส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยต่อไป เพื่อการมีสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด หรือผู้พัฒนาและให้บริการแอปพลิเคชัน “Robinhood”

X

Right Click

No right click