December 05, 2025

นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ภายใต้นโยบาย "พม.ใกล้คุณ" โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ เพื่อให้กลุ่มเปราะบางได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ด้วยการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงมี และสามารถ "ตั้งหลักใหม่" เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง โดยมี นางสาวสนธยา บุณยภูษิต อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. คนพิการ ครอบครัวคนพิการ องค์กรคนพิการ อาสาสมัคร เครือข่ายเอกชน เข้าร่วมงานแถลงข่าว ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ

นายกันตพงศ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่สูงและยืดเยื้อ และการดูแลแบบ "บ้านสองวัย" ที่ผู้สูงอายุต้องเลี้ยงดูเด็กแทนพ่อแม่วัยทำงาน ซึ่งส่งผลต่อช่องว่างระหว่างวัย อีกทั้งคนพิการต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าคนทั่วไป ทั้งค่าดูแลอุปกรณ์ และการเดินทาง มีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ความยากจนซ้ำซ้อน

ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมุ่งขับเคลื่อนงานตามนโยบาย "พม.ใกล้คุณ" ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานใกล้ชิดประชาชนและปัญหา โดยใช้หลัก 3H คือ Heart Head Hand ด้วยการทำด้วยใจ คิดด้วยสมอง แล้วยื่นมือมาช่วยเหลือกัน ตามมาตรการ "เร่งสร้างคุณภาพชีวิตคนพิการ" เพื่อส่งเสริมให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วย 4 Quick Win ได้แก่ 1) เร่งทบทวนหลักเกณฑ์ประเมินความพิการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2) ปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการ 1,000 บาท ถ้วนหน้า 3) ปูพรมลงพื้นที่สำรวจข้อมูล เพื่อส่งมอบกายอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทความพิการ และ 4) พัฒนาแนวทางการกู้ยืมเงินกองทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดจะทำให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้ง่ายขึ้น ลดภาระหนี้สิน และมีโอกาสสร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้นในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน

นายกันตพงศ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" นั้น เป็นหนึ่งในภารกิจของการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาทักษะอาชีพ เชื่อมโยงตลาดแรงงาน และเปิดเวทีให้คนพิการได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยได้รับความร่วมมืออย่างยิ่งจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งภายในงานนี้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พิธีเปิดงานฯ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน การลงนามบันทึกความร่วมมือ "ด้านการเสริมสร้างโอกาสการจ้างงานและการประกอบอาชีพ" การมอบรางวัลหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านคนพิการของกรม พก. และรางวัล "We Can Do" เชิดชูคนพิการต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่สังคม ตลาดอาชีพและสินค้าคนพิการกว่า 300 ร้านค้า เวทีเสวนาและเวิร์กชอปสร้างแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ การสาธิตอาชีพเชิงสร้างสรรค์ ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ การแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง อาทิ เก่ง ธชย, นัน อนันต์ ไมค์ทองคำ และไรอัล กาจบัณฑิต และการแสดงความสามารถของคนพิการ วงดนตรีคนพิการ S2S ถ่ายทอดบทเพลงแห่งแรงบันดาลใจ ภายใต้แนวคิด "ความพิการไม่ใช่อุปสรรคของความสามารถ"

นายกันตพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. มุ่งหวังให้งานครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้คนพิการมีงานทำ แต่ยังเป็นเวทีที่แสดงให้สังคมได้เห็นคุณค่าของคนพิการที่มีศักยภาพและความสามารถไม่ต่างจากคนทั่วไป เพียงแค่ต้องการโอกาสที่เหมาะสม โดยกระทรวง พม. พร้อมเป็นสะพานเชื่อมให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมให้กำลังใจ ให้โอกาสแก่คนพิการ ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดความพิการ และก้าวสู่ชีวิตใหม่อย่างมั่นคง สู่สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้หัวข้อ “Demographic and Climate Crises" ระหว่างวันที่ 17–18 กันยายน 2568 ณ บอลรูม 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางและประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม

ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลายและน่าสนใจมากมาย เริ่มจากวันที่ 17 กันยายน 2568 มีการจัดเวทีอภิปราย 2 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ "Demographic and Climate Crises" เป็นเวทีนานาชาติระหว่างหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (NDP), คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP),  กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA), องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF), สำนักงานเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNDRR), องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM), ธนาคารโลก (World Bank), ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD), ศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม (ACAI) และ สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEC) รวมถึง สถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ซึ่งดำเนินรายการ โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ดำเนินรายการ 8 Minute History และ Morning Wealth จาก THE STANDARD PODCAST อีกทั้งมีการจัด เวทีเด็กนานาชาติ โดยผู้แทนเด็กอาเซียนนำเสนอข้อเสนอประเด็น “Children Who Shape Tomorrow: ASEAN Community Vision 2045”

ส่วนในวันที่ 18 กันยายน 2568 พบกับการประชุมในรูปแบบ World Café หรือ สภากาแฟ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และความคิดเห็นร่วมกันให้ได้มุมมองที่หลากหลายระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ โดยมี 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาเด็กและเยาวชนคุณภาพ (Overcoming Challenges to Enhance Quality and Productivity of Children and Youth)   2. การเสริมสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทุกช่วงวัยเพื่อความเข้มแข็งของครอบครัว (Fostering Intergenerational Solidarity to Strengthen Families for a Better Tomorrow)  3. การสร้างสังคมที่เข้าถึงได้และยั่งยืนสำหรับทุกคน (Building the Accessible and Sustainable Society for All)  4. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางสังคม (Climate Change and Its Social Impacts: Building Resilience and Adaptation)

ภายในงานทั้ง 2 วันยังมีโซนนิทรรศการที่น่าสนใจ 5 โซน ได้แก่ 1) โซน SDx Pavillion: Demographic and Climate Crises นำเสนอสถานการณ์ แนวโน้ม ผลกระทบของ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศ ผ่าน จอ LED ลูกโลกขนาดใหญ่  

2) โซน Better Life นำเสนอการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีความสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการนำเสนอ 1. บูธกิจกรรมจำลองการเป็นคนแก่และคนพิการ 2. บูธศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) กระทรวง พม. 3. บูธศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม.  4. บูธนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร กระทรวง พม. และ 5 บูธการจำลองห้องต่างๆ ภายในบ้าน  พร้อมกิจกรรมสำหรับคนทุกช่วงวัย ได้แก่ ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องนอน และห้องน้ำ อีกทั้งจำลองพื้นที่นอกบ้าน เป็นพื้นที่ Safe Sport  และพื้นที่สุขสันทนาการ พร้อมกิจกรรมWorkshop อาทิ การนวดผ่อนคลาย, การนวดแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome),  การมัดหมี่ผ้าไหม, การทำกิมจิ ด้วยหัวใช้เท้า, การทำของที่ระลึก เช่น ผ้าพันคอลายบาติกและพวงกุญแจลูกปัด

3) โซน Better Society นำเสนอโมเดลในการสร้างโอกาสและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อคนทุกช่วงวัย ได้แก่ นิคม Next โมเดลที่นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม เป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ ด้วยการจัดนิทรรศการมีชีวิตจากนิคมสร้างตนเองเลี้ยงไหม จังหวัดสุรินทร์ อีกทั้งมีการจัดแสดงบูธกาแฟกับการพัฒนาชาวเขา

4) โซน Better Future & International Pavilion นำเสนอผลงานของหน่วยงาน พม. ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ  ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ และนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางและประชาชนทุกคน

5) โซน Market place ตลาดเอื้อสุข เป็นการเปิดพื้นที่นำเสนอแนวคิด (Concept) “ทุกความสุขใจของผู้ซื้อ คือกำลังใจให้ผู้สร้าง” โดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากกิจกรรมฝึกอาชีพกลุ่มเปราะบางและเครือข่ายในชุมชนของกระทรวง พม. อาทิ งานหัตถกรรม เสื้อผ้า สิ่งทอ งานศิลปะ เครื่องประดับ งานฝีมือพื้นถิ่น นวัตกรรมอาชีพ สมุนไพร อาหารแปรรูป งานจักสาน และผลิตภัณฑ์เกษตร

ขอเชิญประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้หัวข้อ “Demographic and Climate Crises” ระหว่างวันที่ 17–18 กันยายน 2568 ณ บอลรูม 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อร่วมกันจัดการและหาทางออกจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยเราทุกคนต้องร่วมมือ รวมพลังกัน เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทั้งนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ : https://www.facebook.com/share/1AVVt5UNCK/ 

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการกีฬา” โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ร่วมลงนาม MOU และประกาศเจตนารมณ์ฯ ร่วมกับภาคีเครือข่ายและสมาคมกีฬานําร่อง 20 สมาคม รวมกว่า 40 หน่วยงาน เป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศในวงการกีฬา โดยเฉพาะการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศที่มีต่อนักกีฬาสตรี เด็ก เยาวชน คนพิการ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ณ ห้อง Richmond Grand Ballroom 1 ชั้น 6 โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเข้าเป็นภาคี ไม่ว่าจะเป็นอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women: CEDAW) รวมถึงกรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 5 หรือ SDG5 การบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สตรีและเด็กหญิง โดยมีข้อท้าทายที่สำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนเจตคติของผู้คนอันเป็นผลจากบรรทัดฐานด้านเพศภาวะของสังคมที่มีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงต่อสตรี ที่รากเหง้าของปัญหาเกิดจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เหยื่อผู้ถูกกระทำความรุนแรงส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิงและเด็กหญิง การปรับเปลี่ยนเจตคติของสังคมจึงเป็นเรื่องใหญ่และมีความสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. มีนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร ที่ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาความมั่นคงของครอบครัวไทยสู่ความมั่นคงของมนุษย์อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและยุติความรุนแรงในทุกรูปแบบ ผ่านการผลักดันนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองคนทุกเพศ ทุกวัย ควบคู่ไปกับสร้างการรับรู้และการเข้าถึงสิทธิอย่างเท่าเทียม ตลอดจนเสริมพลังให้ผู้เสียหายจากความรุนแรง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสร้างสังคมที่เคารพในสิทธิและความแตกต่างหลากหลาย ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อสร้างความเสมอภาคอย่างแท้จริง

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม. กล่าวว่า ปัญหาการถูกล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ เป็นปัญหาความรุนแรงรูปแบบหนึ่งที่คุกคามความปลอดภัยต่อสังคมไทย สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งในครอบครัว ในที่ทำงาน ในที่สาธารณะ แม้แต่ในวงการกีฬาก็ประสบกับปัญหานี้ แต่เป็นภัยเงียบที่ผู้ถูกกระทำไม่ค่อยออกมาแสดงตัวหรือปรากฎเป็นข่าว เนื่องจากความกังวลใจของผู้ถูกกระทำที่กลัวว่าจะได้รับผลกระทบในอาชีพการงานของตน ซึ่งในความเป็นจริงคงมีตัวเลขของผู้ถูกกระทำไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะนักกีฬาผู้ถูกกระทำที่เป็นสตรี เด็ก เยาวชน คนพิการ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทุกภาคส่วนจึงควรร่วมมือกันผลักดันให้ปัญหานี้เป็นวาระสำคัญทางสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ซึ่งมีภารกิจในการส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมระหว่างเพศ คุ้มครองและป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ กำหนดนโยบายเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ รวมถึงยุติปัญหาความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ จึงได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายกว่า 40 หน่วยงาน จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการกีฬา” และร่วมประกาศเจตนารมณ์ครั้งนี้ วัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว การวางแนวปฏิบัติการประสานส่งต่อและการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิให้แก่ผู้ถูกกระทำหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเสริมสร้างองค์ความรู้เรื่องความเสมอภาคระหว่างเพศให้แก่บุคลากรในวงการกีฬา และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในวงกว้างเพื่อสร้างความตระหนักรู้และทัศนคติที่ถูกต้องให้แก่สังคมต่อไป

นอกจาก พิธีลงนาม MOU และประกาศเจตนารมณ์ เรื่อง “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการกีฬา” ภายในงานยังได้มีเวทีเสวนาในหัวข้อ Breaking the Silence : ยุติการล่วงละเมิดทางเพศในการกีฬา” โดย ดร.สุวรรณา ศิลปอาชา ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน รองประธานกรรมการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, นางสุดา สุหลง รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว, นายสุรศักดิ์ เกิดจันทึก รองผู้ว่าการฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย, นางสาวศิริพร ไชยสุต นายกสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมด้วยนักกีฬา นำโดย นายภราดร ศรีชาพันธุ์ นักกีฬาเทนนิสชายมือหนึ่งเอเชีย และอดีตนักเทนนิสหมายเลข 9 ของโลก, นายชัชชัย เช หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย, นางสาวสายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบหญิง และ คุณนุศรา ต้อมคำ อดีตวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พร้อมด้วยการแสดงที่สร้างแรงบันดาลใจ ความหวังและรอยยิ้ม จากเยาวชนทีมดาวน์ซินโดรม Bangkok Trisomy 21 ในชื่อชุดการแสดง Inspiration show BY DBK-T21 team

ดร.สุวรรณา ศิลปอาชา ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย กล่าวในช่วงหนึ่งของการเสวนาว่า การตัดสินใจเข้าร่วม MOU เนื่องจากตระหนักถึงปัญหาการถูกคุกคามหรือล่วงละเมิดทางเพศของคนในวงการกีฬาทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดหวังว่าการลงนามความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการ Kick-off ความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในวงการกีฬา นำปัญหาที่ถูกซุกซ่อนอยู่ ให้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระสำคัญทางสังคม และตนเองในฐานะตัวแทนสร้างการเปลี่ยนแปลง มองเห็นศักยภาพของหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการกีฬาและด้านสิทธิมนุษยชนที่มารวมตัวกันในวันนี้ ว่าจะเป็นกำลังสำคัญร่วมกันผลักดันมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือการคุกคามทางเพศ ให้เกิดขึ้นในวงการกีฬาบ้านเรา อีกทั้งภารกิจนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเด็น Safe Sport ที่ Olympic สากลกำหนดเป็นข้อปฏิบัติสำคัญของทุกองค์กรที่เกี่ยวกับกีฬาทั่วโลกที่ต้องมีการดูแลนักกีฬาในด้านของ Safe Sport ดังนั้น พวกเราในฐานะคนจากการกีฬาแห่งประเทศไทยจึงต้องผลักดัน Safe Sport ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม

“การร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศในวงการกีฬา เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬา การดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมในด้านนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของนักกีฬาให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งสร้างบรรยากาศการทำงานและแข่งขันที่เคารพในสิทธิมนุษยชน การสร้างความเชื่อมั่นในความเท่าเทียมและความปลอดภัยจะเป็นรากฐานสำคัญของวงการกีฬาที่มีคุณภาพและยั่งยืนต่อไป” ดร.สุวรรณา กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.m-society.go.th เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ https://www.facebook.com/msdhs.go.th และเพจเฟซบุ๊กกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว https://www.facebook.com/sorkor

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล, สสส., มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว, สภาสมาคมสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์, สมาคมสตรีภาคพื้นแปซิฟิกและเอเชียอาคเนย์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสมาคมกีฬาฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งแห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์ปลอดภัย สังคมไทยเคารพสิทธิ” ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีการปล่อยขบวนรถสามล้อรณรงค์ ที่วิ่งในเขตพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์และบริเวณใกล้เคียง การแสดงละครสะท้อนปัญหาการไม่เคารพสิทธิในช่วงเทศกาลสงกรานต์  และและเสวนาในหัวข้อ “การสร้างความปลอดภัยต่อสังคมในช่วงสงกรานต์” อีกด้วย

นายอนุกูลฯ กล่าวว่า ตามที่ UNESCO ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการในบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ที่สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจึงได้เสนอหลักการจัดงาน “Maha Songkran World Water Festival เย็นทั่วหล้ามหาสงกรานต์ 2567” ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบให้จัดกิจกรรมสงกรานต์ 21 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 – 21 เมษายน 2567 ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว และโดยที่ทราบกันทั่วไปว่า เทศกาลสงกรานต์ของไทยเป็นเทศกาลที่เน้นความสนุกสนาน และส่วนใหญ่ในช่วงเทศกาลก็มักจะมีการสังสรรค์ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงตามมา โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนน และการทะเลาะวิวาท แต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหาความรุนแรงที่เรามักจะมองข้าม หรือไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา นั่นคือ ปัญหาการคุกคามทางเพศ พม. และภาคีเครือข่าย จึงได้จัดการรณรงค์ครั้งนี้ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักถึงปัญหาการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ ที่ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมาย สร้างความเข้าใจในเรื่องการเคารพ ให้เกียรติ ในสิทธิเนื้อตัวร่างกาย ความยินยอมพร้อมใจของผู้อื่น ไม่ฉวยโอกาสลวนลาม หรือคุกคามทางเพศ และไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ เพื่อให้ทุกคนในสังคมไม่ว่าจะเด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้มีความหลากหลายทางเพศ ต่างก็มีความปลอดภัยในทุกพื้นที่ ได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน ช่วยกันสร้างกระแสให้สังคมร่วมกันผลักดัน ร่วมกันเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบกับปัญหาความรุนแรงและปัญหาการคุกคามทางเพศ และปลูกจิตสำนึกแก่เยาวชนให้เห็นถึงโทษของแอลกอฮอล์ การลดผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในมิติต่าง ๆ

“กิจกรรมการรณรงค์ “สงกรานต์ปลอดภัย สังคมไทยเคารพสิทธิ” จะไม่จบลงเฉพาะในการจัดงานในวันนี้เท่านั้น โดย พม. และภาคีเครือข่าย ได้สนับสนุนสื่อประชาสัมพันธ์และแนวคิดการรณรงค์ฯ ไปยังเครือข่ายและหน่วยงานระดับจังหวัด ทั่วประเทศ เพื่อให้ช่วงเวลาของเทศกาลสงกรานต์ในทุกพื้นที่ ที่นอกจากจะสืบสานประเพณีอันดีงามแล้ว ยังเป็นเทศกาลแห่งความสุข สนุกสนาน และในช่วงเวลานี้ยังเป็นวันผู้สูงอายุกับวันครอบครัว ซึ่งเราจะใช้ช่วงเวลานี้ไปรดน้ำขอพรจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และผู้ที่เคารพนับถือ เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ไทยที่มีความสุข มีความปลอดภัย ปราศจากแอลกอฮอล์ และขอชวนเชิญทุกท่านให้ร่วมตระหนักไปด้วยกันว่า ในทุก ๆ วัน ไม่เฉพาะเทศกาลนี้เท่านั้น สังคมไทยต้องปลอดภัยจากการคุกคาม ทุกพื้นที่ต้องปลอดภัยสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย เป็นสังคมที่ให้ความเคารพในสิทธิ ซึ่งกันและกัน” นายอนุกูลฯ กล่าวทิ้งท้าย

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ข้อมูลว่า ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) รายงานสถานการณ์สงกรานต์ ปี 2566 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 264 คน ลดลง 14 คน จากปี 2565 ที่มีผู้เสียชีวิต 278 คน ส่วนการดื่มแล้วขับที่เป็นเหตุให้เสียชีวิตลดจาก 16.5% ในปี 2565 เหลือ 10.6% ในปี 2566 สอดคล้องกับจำนวนผู้เสียชีวิตคาที่ลดลงจาก 56.8% ในปี 2565 เหลือ 53.4% ในปี 2566 ส่วนใหญ่มาจากการขับรถเร็วที่มีการชนรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตในทันที นอกจากนี้ข้อมูลการจากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในช่วงสงกรานต์ปีที่ผ่านมาพบปัญหาส่วนใหญ่ คือ ถูกประแป้งที่ใบหน้าหรือร่างกาย ถูกแซว/ผิวปากหรือใช้สายตาจ้องมองทำให้อึดอัด เคยถูกฉวยโอกาสลวนลาม เกิดอุบัติเหตุ ถูกก่อกวนจากคนเมาหรือถูกบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และทะเลาะกันในครอบครัว

“สงกรานต์ปีนี้ สสส. จึงเน้นย้ำเรื่องการจัดพื้นที่เล่นน้ำปลอดเหล้า ป้องกันลดอุบัติเหตุ ความรุนแรง มีสติ มีขอบเขตและการเคารพสิทธิ ปัจจุบันมีพื้นที่เข้าร่วมกว่า 100 พื้นที่ ถนนตระกูลข้าวปลอดเหล้ากว่า 60 แห่ง โดยขอฝากทุกคนว่า “ดื่มไม่ขับ ดื่มเหล้า เมาถึงสมอง” เพราะร่างกายเรามีร่างเดียว เปลี่ยนไม่ได้ ต้องดูแลให้ดีเพื่อให้ใช้ได้ยาวนาน จนถึงวัยชรา จึงอยากเชิญชวนให้ ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดการทำลายสมอง” นางสาวรุ่งอรุณฯ กล่าว

ดร.ณัฐพล แย้มฉิม ประธานสวนดุสิตโพล เปิดเผยข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนต่อเทศกาลสงกรานต์ 2567 ระหว่างวันที่ 26-29 มีนาคม 2567 โดยสำรวจจากประชาชนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวน 4,011 คน พบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.09 ไม่เล่นน้ำสงกรานต์ เพราะต้องการพักผ่อน อากาศร้อน มีร้อยละ 14.19 ที่ไม่เล่นเพราะกลัวถูกลวนลาม (บางส่วนเคยถูกลวนลาม) กลุ่มที่เคยเล่นสงกราน์ส่วนใหญ่เคยเจอสถานการณ์ถูกประแป้งที่ใบหน้า ร้อยละ 57.79 ถูกฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง/ลวนลาม ร้อยละ 32.43 และเด็กกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี เคยถูกประแป้งที่ใบหน้ามากที่สุด ร้อยละ 76.77

โดยพฤติกรรมการฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง/ลวนลามที่พบมากที่สุด คือ ถูกจับมือ/แขน/เบียดเสียด ร้อยละ 61.45 ถูกสัมผัสลูบไล้ร่างกาย ร้อยละ 37.19 ถูกจับแก้ม ร้อยละ 34.47 ใช้สายตาจ้องมอง แทะโลม ทําให้รู้สึกอึดอัด ไม่ปลอดภัย ร้อยละ 22.45 ถูกแซว/ล้อเลียนส่อไปในเรื่องเพศ ร้อยละ 21.54 และถูกสัมผัส/ล้วงอวัยวะอื่นๆ ที่เกินเลย ร้อยละ 16.55 และกลุ่มตัวอย่าง “รับรู้” ว่าการถูกลวนลาม/คุกคามทางเพศถือว่าเป็นการกระทําความผิดตามกฎหมายอาญา ร้อยละ 92.10 และเมื่อถามว่า ปี 2567 นี้จะออกไปเล่นน้ำสงกรานต์หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 48.49 รอดูสถานการณ์/การจัดงาน/กิจกรรม ใกล้ ๆ ก่อน และไม่ออกแน่นอน ร้อยละ 37.70 สิ่งที่กังวลหรือห่วงใยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ คือ ภัยอันตราย/อุบัติเหตุมากที่สุด ร้อยละ 85.06 การจราจรติดขัด ร้อยละ 52.03 น้ำไม่สะอาดและโรคที่มากับน้ำ ร้อยละ 47.12 สภาพอากาศร้อนและโรคที่มากับความร้อน ร้อยละ 43.72 การดื่มสุรา/น้ำกระท่อมทำให้ขาดสติ แล้วเกิดการทะเลาะวิวาท ร้อยละ 40.22 และการล่วงละเมิดทางเพศ ร้อยละ 34.13

ในส่วนของข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการลวนลามและการคุกคามทางเพศในเทศกาลสงกรานต์ อาทิ ให้ระมัดระวังตนเองขณะที่เล่นน้ำสงกรานต์ ร้อยละ 24.33 มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพิ่มบทลงโทษให้ชัดเจน และมีความรุนแรงมากขึ้น กับผู้ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ร้อยละ 15.97 เพิ่มเจ้าหน้าที่คอยดูแลและควบคุมสถานการณ์ตามจุดต่าง ๆ อย่างเข้มงวดและทั่วถึงทุกพื้นที่ รวมถึงให้ภาคประชาชนช่วยสอดส่องดูแล ร้อยละ 11.04 รณรงค์สร้างจิตสำนึกที่ดีในการเล่นน้ำสงกรานต์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น เช่น ไม่เล่นสาดน้ำรุนแรง ทะเลาะวิวาทมีปากเสียงกัน ประแป้งอย่างสุภาพ ร้อยละ 10.00 หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำสงกรานต์ในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่นและเสี่ยงที่จะถูกลวนลาม ร้อยละ 8.06 จัดกิจกรรมเล่นน้ำสงกรานต์แบบขนบธรรมเนียมประเพณีไทยดั้งเดิม เพื่อสืบสานวัฒนธรรมที่ดีไว้อย่างต่อเนื่องทุกปี เช่น จัดเทศกาลสงกรานต์ตามแบบฉบับของชุมชนต่าง ๆ เพื่อสืบสานประเพณีเดิมไม่ให้สูญหายไป และให้คนรุ่นใหม่รักษาและสืบสานประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิม ร้อยละ 7.01

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click