บนเขตทางเดิมของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 เหมาะสมในการแก้รถติดมากที่สุด

เมื่อเร็วๆ นี้ นายพีรวัส ทองประไพ ผู้อำนวยการกองพัฒนาและรักษาเขตทาง 1 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยทางพิเศษประจิมรัถยา ประจำปี 2567 ณ โรงเรียนฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร

นายพีรวัส ทองประไพ ผู้อำนวยการกองพัฒนาและรักษาเขตทาง 1 กทพ. กล่าวว่า ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการเสริมสร้างสังคมในพื้นที่รอบเขตทางพิเศษให้เกิดความเข้มแข็ง ความสามัคคี และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โรงเรียน และหน่วยงานอื่น ๆ รอบเขตทางพิเศษอย่างยั่งยืนลดพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ชุมชนช่วยดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการจัดกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย ทางพิเศษประจิมรัถยา ประจำปี 2567 ในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานเขตตลิ่งชัน สถานีตำรวจนครบาลตลิ่งชัน โรงเรียนฉิมพลี และชุมชนหมู่บ้านพัฒนาหมู่ 7 ฉิมพลี เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกซ้อมป้องกันและระงับอัคคีภัยในวันนี้ ซึ่ง กทพ. ต้องขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด โดยในวันนี้ ได้จัดให้ความรู้วิธีการดับเพลิง การฝึกซ้อมขั้นตอนอพยพกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) ให้กับนักเรียนและชาวชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยรวมถึงให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอัคคีภัย พร้อมทั้งได้มอบมอบอุปกรณ์ถังดับเพลิงจำนวน 8 ถัง และของที่ระลึกให้กับชุมชนหมู่บ้านพัฒนาหมู่ 7 ฉิมพลี และมอบถังดับเพลิงจำนวน 8 ถัง อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียน และของที่ระลึกให้กับโรงเรียนฉิมพลี อีกด้วย

“กิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษ และกิจกรรมการฝึกซ้อมการป้องกันและ ระงับอัคคีภัยทางพิเศษประจิมรัถยา ในวันนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษ มีความร่วมมือที่ดีต่อกัน ผมหวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ ก็จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” นายพีรวัส ฯ กล่าวในท้ายที่สุด

มูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information enter Foundation) หรือ  “iTIC” ร่วมกับ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สมาคมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทย และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนา“4th iTIC FORUM 2023: Power of Connectivity and Smart Mobility” เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้าน Connectivity and Smart Mobility ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยกระดับการพัฒนาระบบขนส่ง การจราจรอัจฉริยะและลดอุบัติเหตุในประเทศไทยแบบ real-time เนื่องจาก ประเทศไทยมีอุบัติเหตุเป็นอันดับ 9 ของโลก มีผู้เสียชีวิต 17,379 คน/ปี หรือ กว่า 48คน/วัน มีฝุ่นควันพิษมากเป็นอันดับที่ 30 ของโลก และกรุงเทพรถติดเป็นอันดับ 32 ของโลก

โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมกล่าวเปิดงานและปาฐกถา พิเศษ “ความพร้อมของการเชื่อมต่อ โครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย” ว่าการสัมมนาในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้น 4 แนวทางหลักคือ 1. เปิดประตูการค้า การท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ส่งเสริมและพัฒนาระบบโครงข่ายทางถนนและทางพิเศษให้ครอบคลุมความต้องการเดินทางของประชาชน และการส่งเสริมพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าทางน้ำที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือแหลมฉบัง ตลอดจนการศึกษาโครงการ Land Bridge เชื่อมทะเลอันดามันและอ่าวไทย 2.เน้นความปลอดภัยลดอุบัติเหตุในการเดินทางของประชาชน 3.เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีและลดต้นทุนในการเดินทาง 4. เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น Green Transport ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และ PM 2.5 โดยส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกในการเดินทาง รวมทั้งการบูรณาการ ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการจราจร กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริการครอบคลุมการเดินทางอาทิ รถไฟใต้ดิน บนดิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 276.84 กิโลเมตร ถนนทางหลวง ทางหลวงชนบท และทางหลวงท้องถิ่น รวมระยะทาง 707,364.25 กิโลเมตร

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานมูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information enter Foundation) หรือ “ iTIC” กล่าวว่า มูลนิธิฯ พร้อมระดมพลังความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนขับเคลื่อนข้อมูล Big Data ระหว่างหน่วยงานต่างๆ นำมาประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูลแก้ปัญหาจราจรและลดอุบัติเหตุ แบบ real-time เช่น การปิดจราจร, อุบัติภัย, ไฟไหม้, เมฆฝน, และน้ำท่วม ภัยพิบัติ, หรือแม้กระทั่ง ฝุ่น PM2.5 ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญ มีการแจ้งเตือนการเกิดอุบัติเหตุ ให้ผู้ขับขี่ที่เดินทางไปในบริเวณรัศมี 5 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุด้วย ทั้งนี้ iTIC รายงานข้อมูลแบบ real time traffic โดยใช้ข้อมูลจาก Vehicle Probe กว่า 100,000 คัน วิ่งอยู่ทั่วประเทศมาประมวลผล แสดงบน Digital Map มีกล้อง CCTV รวมทั้งหมด 282 กล้อง อนาคตมีแผนขยายการเชื่อมต่อกล้อง CCTV จากเทศบาลเมืองภูเก็ต อุดรธานี หนองคาย เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด กล้อง CCTV นอกจากใช้ประโยชน์ในการดูสภาพจราจรแบบ real time แล้ว ยังใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุ มีการเสนอจุดฝืดของจราจร 20 จุดใน กทม. และจุดเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่กทม. และที่ฉะเชิงเทรา

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  กล่าวถึง “แนวคิดใหม่ในการสัญจรของคนกรุง” การเดินทางที่ดีเป็นนโยบายของกทม. ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนเดินทางให้เกิดความสะดวกสบายและปลอดภัย แต่ปัจจุบันยังพบว่าปัญหาการเดินทางของประชาชน คือ การเชื่อมต่อจุดหมายปลายทางของการเดินทาง บางเส้นทางโครงข่ายรถไฟฟ้ายังไปไม่ถึง ที่ผ่านมากทม.ได้มีการทำแพลตฟอร์ม Traffic Fongdu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนถึงปัญหาต่างๆของประชาชนในกรุงเทพฯ ประมาณ 300,000 เรื่อง พบว่าปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามาส่วนใหญ่ คือ เรื่องปัญหาการเดินทางถนนและปัญหาบนทางเท้า ทั้งนี้กทม.มีแผนจะปรับปรุงทางเท้าใหม่ โดยใช้มาตรฐานใหม่ในการก่อสร้างทั้งวัสดุผิวทางเท้า,คอนกรีตเสริมเหล็กหนาประมาณ 10 ซม. ทั้งยังมีแผนดำเนินการก่อสร้างทางเดินสำหรับกันแดดและการฝนเพื่อเชื่อมต่อป้ายรถประจำทางและสถานีรถไฟฟ้า นอกจากนี้ขณะเดียวกันกทม.ยังมีโครงการแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯด้วยการติดตั้งระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรเป็นพื้นที่ (ATC) โดยเป็นการนำข้อมูล Probe Data มาใช้ในพื้นที่โครงการ ซึ่งจะช่วยลดความล่าช้าการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนลง 10% และลดความล่าช้าการเดินทางนอกชั่วโมงเร่งด่วนลง 30% โดย กทม.มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาจุดฝืด-จุดรถติด เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและลดอุบัติเหตุในกรุงเทพฯ อย่างยั่งยืน 

นอกจากนี้ภายในงานสัมมนาช่วงเช้ามีการบรรยาย ดังนี้ โดยได้รับเกียรติจาก Vehicle Information and Communication Systems (VICS) และ Intelligent Transportation Society of Taiwan (ITS Taiwan) มาแชร์ประสบการณ์ความสำเร็จในการแก้ปัญหาจราจรและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดจนเทคโนโลยีการเดินทางอัจฉริยะ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA)  จะพูดถึง “ศักยภาพของเอกชนไทยในการขับเคลื่อนสมาร์ทโลจิสติกส์ รถ-เรือ-ราง” ด้วย Green Transportation

จากนั้นจะเป็นช่วง เสวนา นำโดย ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในหัวข้อ “โอกาสของไทยในการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมแห่งภูมิภาคเชื่อมไทยเชื่อมโลก” สร้างระบบ Feeder ไปยังสถานีขนส่งมวลชนได้อย่างไร โดยมีกรมการขนส่งทางราง, การรถไฟแห่งประเทศไทย, การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนา

ในช่วงบ่าย รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รศ.ดร. วิศณุ ทรัพย์สมพล จะนำเสนอ “แนวคิดใหม่ในการสัญจรของคนกรุง” จากนั้น บริษัท ช.การช่าง โดย ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ จะมาพูดเรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางอัจฉริยะและสังคมที่ยั่งยืนในประเทศไทย”

บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย โดย คุณ ฮิเดโอะ อิวาซาวะ จะมาพูดถึงการใช้ข้อมูลในการสร้างคุณค่าร่วมกันและเสวนา นำโดย นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข พูดถึงประสบการณ์และยกตัวอย่างการลดอุบัติเหตุและช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บบนถนน ของจังหวัดขอนแก่น Model ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ว่าทำอย่างไร โดยมี กรมทางหลวง, กรมทางหลวงชนบท, กรมการขนส่งทางบก ร่วมเสวนา

สุดท้ายเป็นการเสวนาหัวข้อ “พลังของข้อมูลในระบบคมนาคมขนส่ง สู่อนาคต” นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการโดยผู้สนับสนุนหลัก, SME และ Start up ถึง 30 บูท ปิดท้ายด้วย Big Surprise  ช่วงท้ายของงาน โดยมีผู้สนใจทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 300 รายเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าว

นายกริชเพชร ชัยช่วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า กรมเจ้าท่า และ นายพัฒนา ณ สงขลา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและปฏิบัติการลูกค้า 3 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ร่วมลงนามความร่วมมือโครงการท่าเทียบเรืออัจฉริยะและระบบติดตามเรือท่องเที่ยว เพื่อมาตรฐานความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทางน้ำ (SMART PIER PROJECT) ณ ห้องประชุมวิสูตรสาครดิษฐ์ อาคาร  162 ปี กรมเจ้าท่า เพื่อการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวทางน้ำของประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบบริหารจัดการท่าเทียบเรือที่เป็นมาตรฐานสากลผ่านเครือข่ายและเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณจากโครงข่ายโทรคมนาคมของ NT ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาโครงสร้างแพลตฟอร์มท่าเทียบเรืออัจฉริยะและระบบติดตามเรือท่องเที่ยว ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและจำนวนนักท่องเที่ยวในเรือท่องเที่ยวแต่ละลำ ในการใช้ระบุตัวตน คัดกรอง ตรวจสอบ ติดตาม แจ้งเตือน และช่วยเหลือนักท่องเที่ยวกรณีเกิดอุบัติภัย รวมถึงการสร้างหรือปรับปรุงท่าเทียบเรืออัจฉริยะต้นแบบด้วยระบบอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ฟังก์ชันการใช้งานสมบูรณ์ครบถ้วน รองรับการเข้าเทียบท่าของเรือท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย 

นอกจากนี้ยังครอบคลุมการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลเรือ ท่าเทียบเรือ สรุปและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนท่าเทียบเรือ เส้นทางเดินเรือ ผู้ประกอบการ และจำนวนผู้โดยสาร ซึ่งกรมเจ้าท่าจะได้ใช้เป็นข้อมูลสำหรับกำหนดนโยบาย  และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำต่อไป

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบรางวัลโครงการ “อัปเดตปั๊บ ลุ้นรับโชค” โดยมีนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. เป็นประธาน ในพิธี ณ หอประชุม 0101 ชั้น 1 อาคารศูนย์บริหารทางพิเศษ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. เปิดเผยว่า โครงการ  “อัปเดตปั๊บ ลุ้นรับโชค” ของ กทพ. มีผู้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โครงการของ กทพ. ทุกโครงการได้รับผลตอบรับอย่างดีจากท่านผู้ใช้ทางพิเศษ ทั้งนี้ กทพ. มีความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์คืนสู่ทุกท่านดังคำปณิธานที่ว่า “องค์กรนวัตกรรมเพื่อการเดินทางและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” ซึ่งจากโครงการ “อัปเดตปั๊บ ลุ้นรับโชค” เป็นโครงการล่าสุดที่ให้ผู้ใช้บริการทางพิเศษ ได้ทำการอัปเดทข้อมูลจากระบบ Easy Pass เป็นระบบ Easy Pass Plus+ เพื่อให้สามารถใช้บริการทางพิเศษ ได้ง่าย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในอนาคต

กทพ. เริ่มโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 มีผู้ให้ความสนใจ และตอบรับเป็นจำนวนมาก จนถึงเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา กทพ. ได้จับรางวัลผู้โชคดีจำนวนทั้งหมด  716 ท่าน ซึ่งแบ่งเป็น

  • รางวัลที่ 1: ใช้บริการทางพิเศษฟรี 3 ปี มูลค่าไม่เกิน 100,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ได้แก่

คุณนิภาพร บุญณรงค์

  • รางวัลที่ 2: ใช้บริการทางพิเศษฟรี 2 ปี มูลค่าไม่เกิน 70,000 บาท จำนวน 5 รางวัล ได้แก่

คุณกัญญารัตน์ นิ่มตระกูล

คุณแก้วตา แซ่ลิ้ม

คุณทวีพงษ์ สุวรรณศร

คุณวาสนา แสงรัตน์

คุณวิทัศน์ เร่งเทียน

  • รางวัลที่ 3: ใช้บริการทางพิเศษฟรี 1 ปี มูลค่าไม่เกิน 35,000 บาท จำนวน 10 รางวัล ได้แก่

คุณประดิษฐ ศรีเผือก

​คุณศิโรรัตน์ ช่วงโอภาส

​คุณเอกณรงค์ อุไร

​คุณศุภณัฐ โพธาราเจริญ

คุณธรรมรักษ์ บริรักษ์คุปต์

บริษัท ซีดีเอ็ม เลเบอะ คอลซัลทิง แอนด์ อินเตอร์เชนจ์ จำกัด

คุณกฤตนัย ทองกำเนิด

คุณนภดล ทองพิทักษ์

คุณวนารัตน์ ทองเจิม

คุณสมศักดิ์ กิตติประภาส

  • รางวัลที่ 4: ใช้บริการทางพิเศษฟรี มูลค่า 300 บาท จำนวน 700 รางวัล

รางวัลรวมทั้งสิ้น 716 รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,010,000 บาท

“ซึ่งวันนี้ กทพ. ได้เชิญผู้โชคดี รางวัลที่ 1, 2 และ 3 จำนวนทั้งสิ้น 16 ท่าน มารับมอบรางวัล ในนามการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ต้องขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับรางวัลในวันนี้ สุดท้ายนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านที่ได้รับรางวัล จะได้รับความพึงพอใจ และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะสร้างสรรค์โครงการดี ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความประทับใจและเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่าน เพื่อเป็นการส่งมอบความสุขที่ไม่มีวันสิ้นสุดให้กับทุกท่านตลอดไป” นายสุรเชษฐ์ กล่าวในท้ายที่สุด

Page 2 of 3
X

Right Click

No right click