January 31, 2025

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงบ่อยครั้ง เช่น น้ำท่วม พายุ และไฟป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในหลายพื้นที่เป็นอย่างมาก ด้วยความเข้าใจถึงความเดือดร้อนและความต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนของผู้ประสบภัย ‘คาร์ ฟอร์ แคช’ ผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ จึงได้สานต่อภารกิจสำคัญในบทบาท ‘ผู้ช่วยเบื้องหลัง’ ทั้งด้านการเงินและชีวิตความเป็นอยู่ ที่พร้อมสนับสนุนและเคียงข้างคนไทยให้สามารถก้าวผ่านอุปสรรคและเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

จากภารกิจดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดโครงการ ‘ถุงเติมรอยยิ้ม (Car4Cash Smile Pack)’ ที่สะท้อนถึงความตั้งใจของกรุงศรี ออโต้ในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าหมายให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคผ่านการลงมือทำ โดย คาร์ ฟอร์ แคช เชื่อว่าการช่วยเหลือไม่ใช่แค่เพียงการมอบสิ่งของที่จำเป็น แต่ยังรวมถึงการส่งต่อความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) เพื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยมีกำลังใจในการก้าวข้ามผ่านความท้าทายต่างๆ ที่ต้องเผชิญและฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งด้วยเช่นกัน

 

นายพรเทพ ถิรสุนทรากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด ธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยบทบาทของผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อคนมีรถ เราเชื่อว่าหน้าที่ของเราไม่ใช่แค่เพียงการสร้างผลกำไร แต่ยังรวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม ซึ่งโครงการ ‘คาร์ ฟอร์ แคช ถุงเติมรอยยิ้ม’ เป็นมากกว่าการให้ความช่วยเหลือในยามวิกฤติ แต่เป็นการสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับชุมชนโดยรอบ และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของแบรนด์และทีมงานในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Good Corporate Citizenship) ที่พร้อมช่วยเหลือและส่งต่อกำลังใจในทุกช่วงเวลา”

นับตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน คาร์ ฟอร์ แคช ได้ทำการส่งมอบ ‘ถุงเติมรอยยิ้ม’ ที่ประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร น้ำดื่ม และของใช้พื้นฐาน ให้กับเหล่าผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาลช่วงโควิด เหตุการณ์น้ำท่วมจากพายุโซนร้อน ‘เตี้ยนหมู่’ ในจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา ลพบุรี นครสวรรค์ สุโขทัย และเพชรบูรณ์ ไฟไหม้ตลาดร้อยปีบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และสมุทรปราการน้ำท่วมในจังหวัดภาคเหนือ เช่น เชียงราย แพร่ น่าน และน้ำท่วมในจังหวัดนราธิวาสที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คาร์ ฟอร์ แคช ได้ส่งมอบถุงเติมรอยยิ้มไปแล้วกว่า 6,000 ถุง ใน 21 จังหวัดทั่วประเทศรวมมูลค่ากว่า 3.6 ล้านบาท

 

เบื้องหลังโครงการนี้ คือทีมงานที่ยึดมั่นในปณิธานที่จะดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Good Corporate Citizenship) โดยเชื่อว่าการช่วยเหลือในยามวิกฤติ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การส่งมอบสิ่งของที่จำเป็น แต่คือการเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของคนในชุมชนการดูแลผู้มีส่วนได้เสียภายนอกที่เชื่อมโยงกับองค์กรทั้งใกล้และไกลด้วย ซึ่งจากการที่ทีมงาน คาร์ ฟอร์ แคช ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานของคนในพื้นที่ ทำให้พวกเขามีความใกล้ชิดและเข้าใจความท้าทายของชุมชนได้อย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้การลงพื้นที่ในแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความทุ่มเทและจริงใจ เปรียบเสมือนการดูแล ‘คนในครอบครัว’

นางผกายมาศ อนันตพงศ์ ผู้ประสบภัยที่เคยได้รับ ‘ถุงเติมรอยยิ้ม’ จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนกันยายน 2567 เล่าถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า “ช่วงวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 40 ปีนั้น บ้านเราได้รับผลกระทบหนักมาก ขาดแคลนทั้งไฟฟ้าและน้ำใช้ ของในบ้านก็เสียหายหมด ตอนนั้นยอมรับว่าหมดกำลังใจไปเลย แต่พอได้รับถุงเติมรอยยิ้มจาก คาร์ ฟอร์ แคช มันเหมือนแสงสว่างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากคือ ถึงแม้ว่าสำนักงานคาร์ ฟอร์ แคช ที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านจะเจอน้ำท่วมเหมือนกัน แต่ทีมงานก็ยังลงพื้นที่มาให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่”

“ถุงเติมรอยยิ้ม ที่ได้รับมาครั้งนั้น เป็นชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ช่วยให้บ้านของเรากลับมาสะอาดและน่าอยู่เหมือนเดิม โดยเรามองว่าถุงนี้ไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่เป็นแรงใจที่ช่วยให้ครอบครัวลุกขึ้นมาสู้กับปัญหาและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง" นางผกายมาศ กล่าวเสริม

คาร์ ฟอร์ แคช ยังมุ่งมั่นที่จะส่งมอบรอยยิ้มให้กับคนไทยในทุกพื้นที่อย่างเต็มกำลัง

กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง เผยมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2568 ในงานสัมมนา KRUNGSRI PRIVATE BANKING Investment Outlook 2025 ในหัวข้อ 2025 and Beyond: Power Dynamics after Trump Era โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้แก่ Mr. Shaun Jamieson, Vice President Global Allocation Team BlackRock ดร. อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยสรุปเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ชี้นักลงทุนควรจับตานโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจมีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลกอย่างใกล้ชิด

BlackRock คาดการณ์โอกาสและความเสี่ยงรอบใหม่

เริ่มต้นด้วยมุมมองเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ Mr. Shaun Jamieson, Vice President Global Allocation Team, BlackRock ได้แบ่งกรอบการวิเคราะห์สถานการณ์ออกเป็น 3 ส่วน ประกอบไปด้วย ปัจจัยคงที่ ปัจจัยผันแปร และสุดท้ายคือการนำทั้ง 2 ส่วนมาวิเคราะห์เป็นกลยุทธ์การลงทุน ทั้งนี้ ในส่วนของปัจจัยคงที่ ได้แก่ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ พึ่งพาภาคบริการมากขึ้น ทำให้ความผันผวนทางเศรษฐกิจลดน้อยลง 2) ตลาดแรงงานสหรัฐฯ แข็งแกร่ง อัตราการว่างงานต่ำ และการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคบริการ 3) ภาคครัวเรือนสหรัฐฯ มีเงินออมสูง สืบเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง COVID-19  4) การลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CapEx) ที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจ และคาดว่า AI จะช่วยเพิ่ม GDP ได้ถึง 15% ใน 10 ปีข้างหน้า และ 5) สภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง สะท้อนจากมูลค่าเงินทุนจำนวนกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในกองทุนตลาดเงิน ซึ่งอาจหนุนตลาดหุ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีตัวแปรที่ยังคงต้องติดตาม ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังของสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านการค้า ขณะที่นโยบายด้าน Deregulation อาจจะให้ผลในเชิงบวก 2) ผลกระทบของกระแสทวนกลับของโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) โดยที่แต่ละประเทศจะเน้นการพึ่งพาตนเองมากขึ้น 3) ทิศทางนโยบายการเงินของ FED ที่ยังคาดเดาไม่ได้ และ 4) หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะระบุถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะถัดไป ซึ่งหากนำปัจจัยทั้ง 2 มาวิเคราะห์ถึงผลกระทบโดยรวมที่อาจเกิดขึ้น มองว่าในระยะสั้นจะมี Positive Demand Shock จากตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการบริโภค รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่จะยังส่งผลบวกต่อ
อุปสงค์ในภาพรวม ขณะที่เงินเฟ้อจะยังคงมีอยู่ แต่ในระยะยาวจะเกิด Positive Supply Shock การลงทุนภาครัฐและเอกชนที่เน้นประสิทธิภาพการผลิต เช่น เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ช่วยทดแทนแรงงาน

สำหรับมุมมองด้านการลงทุน แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นจะไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ แต่ยังมีโอกาสการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่มีผลประกอบการและกระแสเงินสดเติบโต ซึ่งปัจจุบันอัตราการเติบโตของรายได้และกระแสเงินสดอิสระสูงกว่าในอดีต ขณะที่ยุโรปมี Valuation ที่น่าสนใจ แต่มีความเสี่ยงในการเติบโต อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบริษัทชั้นนำในกลุ่ม Healthcare และ Financial ที่น่าสนใจเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของ Corporate Reform ซึ่งการซื้อหุ้นคืนช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นด้านตราสารหนี้ แนะนำลงทุนในตราสารอายุสั้นที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับตราสารหนี้ระยะยาว นอกจากนี้ High Yield Bond และตราสารหนี้ที่มีหลักประกันยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งจากการชำระหนี้ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ

จับตาจีนตั้งรับ ‘ทรัมป์ 2.0’ ขณะที่ ‘ไทย’ เตรียมสู้ศึกการค้าสองด้าน

ด้าน ดร. อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แบ่งการวิเคราะห์การลงทุนในจีนเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและนโยบายทรัมป์ 2.0 ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจไทยและโลก โดยมองว่าเศรษฐกิจจีนยังอยู่ในช่วง Stabilization คือเน้นทำให้เศรษฐกิจมีความมั่งคง รักษาระดับการเติบโต และเตรียมปรับโครงสร้างระยะยาว โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีผลต่อ GDP ประมาณ 15-30% ขณะที่รัฐบาลจะหันไปสนับสนุนเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น พลังงานสะอาด ซึ่งมีสัดส่วนการเติบโตกว่า 8% ของ GDP ส่วนด้านนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ที่มุ่งเป้าไปที่ประเทศจีนและดึงฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ อาจเป็นการขึ้นกำแพงภาษีกับทุกประเทศ เพื่อดึงโรงงานจากจีนและประเทศอื่นๆ กลับไปยังสหรัฐฯ

สำหรับท่าทีการตอบโต้ของจีน มองว่า จีนจะเน้นการพัฒนาตลาดภายในประเทศและขยายไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มต้นพร้อมกันระหว่างสหรัฐฯ และจีน เช่น AI, พลังงานทางเลือก และ Quantum Computing ซึ่งโดยสรุปแล้ว มองว่าการกระจายตัวทางเศรษฐกิจ (Globalization) ในรอบนี้ สหรัฐฯ และจีนจะพึ่งพาตนเองมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบกับความมั่งคั่งที่ลดลง แต่จะแข็งแกร่งในระยะยาว ขณะที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะไทยและประเทศกำลังพัฒนา จะเผชิญความท้าทายจากการย้ายฐานการผลิตกลับและสินค้าจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดโลก

Krungsri Investment Intelligence แนะคอยความชัดเจนจากปัจจัยสำคัญ

ด้าน นายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มองปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนในปี 2568 เป็น 4 ประเด็น ดังนี้

  1. เศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ : นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ดี และมีโอกาสเกิด Recession ต่ำ อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของทรัมป์ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจ
  2. ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด 7 ไตรมาสติดต่อกัน อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับตลาดหุ้นในปี 2568
  3. อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Bond Yield) : อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงช้าและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงนโยบายทรัมป์ 2.0 อาจส่งผลให้ FED ปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น และกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้น ทั้งนี้ ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ Bond Yield อยู่ในระดับสูง ซึ่งมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้โลก
  4. นโยบายทรัมป์ 2.0 : อาจส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัว และเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามนโยบายในแง่บวกคือนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและ Deregulation ทั้งนี้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั้งแง่บวกและลบ ขึ้นอยู่กับว่าทรัมป์จะสามารถดำเนินนโยบายตามที่สัญญาไว้ได้มากน้อยและรวดเร็วแค่ไหน

โดยทีม Krungsri Investment Intelligence ได้สรุปมุมมองและคำแนะนำการลงทุนของแต่ละสินทรัพย์ ไว้ดังนี้

- ตราสารหนี้โลก : แนะนำให้ลงทุนในช่วงที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยแนะนำกองทุน KF-CSINCOM ที่มีการปรับ Duration ของกองทุนสม่ำเสมอ และปรับสัดส่วน High Quality กับ High Yield ตามสภาวะตลาด

- ตลาดหุ้นโลก : มีมุมมองที่เป็นกลาง แต่มีมุมมองเป็นบวกกับการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากมาตรการของทรัมป์ อย่างไรก็ตามควรติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากราคาหุ้นอาจมีความผันผวนจาก Valuation ที่อยู่ในระดับสูง

- หุ้นยุโรป : จังหวะซื้อที่ดีคือช่วงที่ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจยุโรปยังมีความไม่แน่นอนสูง แนะนำรอความชัดเจนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

- หุ้นญี่ปุ่น : ยังคงได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทมีนโยบายการซื้อหุ้นคืน

- หุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา : มองว่ามีปัจจัยกดดัน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างประเทศ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และอัตราผลตอบแทนสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

- หุ้นจีน : มองว่ากำลังเผชิญ 2 ประเด็นหลัก คือ การค้าระหว่างประเทศและภาคอสังหาฯ อย่างไรก็ตามมองว่ารัฐบาลจีนน่าจะมีการประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นระยะๆ ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น

- หุ้นไทย : มองว่ามีความเสี่ยงจากการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของ GDP อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยบวก

- หุ้นเวียดนาม : จะมีปัจจัยบวกจากการอัปเกรดเป็น Emerging Markets แต่ต้องระวังผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์ ซึ่งมีผลต่อประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ

สำหรับผู้สนใจบริการ KRUNGSRI PRIVATE BANKING สามารถเข้าไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศึกษารายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.krungsri.com/th/wealth/krungsri-private-banking

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มุ่งมั่นในการนำนวัตกรรมดิจิทัลพัฒนา ‘Human-Centric Innovations’ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าธุรกิจ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการในการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ คว้า 8 รางวัลด้านนวัตกรรมจาก 3 สถาบันชั้นนำระดับโลก

ภายใต้การนำทัพโดย นางสาวสายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ (กลาง) ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เล็งเห็นถึงความต้องการของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไป ธนาคารแห่งอนาคตสำหรับธุรกิจไม่หยุดอยู่แค่การทำธุรกรรมการเงิน แต่ต้องตอบโจทย์ทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ ช่วยแก้ปัญหา ลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชัน ยกระดับประสบการณ์การใช้งานที่เกินความคาดหวัง โดยนำเสนอผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อันได้แก่

  • Krungsri Biz Online ดิจิทัลโซลูชันธุรกรรมการเงินสำหรับการดำเนินธุรกิจทั้งรูปแบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าธุรกิจแต่ละราย ทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม พร้อมระบบป้องกันการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ
  • Krungsri Supply Chain and Banking Solution (KSB) โซลูชันการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารจัดการเอกสารรูปแบบ Digitalization ครบวงจร สำหรับการออกตั๋วสัญญาใช้เงินและการไถ่ถอนหลักประกันสินเชื่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
  • Krungsri iPro ดิจิทัลแพลตฟอร์มเคลื่อนที่สำหรับสมัครและเปิดใช้งานผลิตภัณฑ์ธุรกิจโดยไม่ต้องไปสาขา เชื่อมโยงชุดข้อมูลนิติบุคคลเข้ากับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในรูปแบบ e-Documents บนมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูล
  • Krungsri The Living Room แพลตฟอร์ม One Place for Business เชื่อมต่อผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับธุรกิจที่หลากหลายไว้บนแพลตฟอร์มเดียว โดยเชื่อมต่อบัญชีผู้ใช้งานเข้าด้วยกันเพื่อเข้าใช้งานด้วย Username และ Password เดียว

ในปี 2568 กรุงศรียังคงมุ่งมั่นเดินหน้าด้าน Human-Centric Innovations เพื่อมอบโซลูชันที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และไม่หยุดนิ่งอยู่แค่กลุ่มลูกค้าในประเทศเท่านั้น แต่ก้าวต่อไปอย่างแข็งแกร่งสู่กลุ่มลูกค้าอาเซียนในทุกประเทศ ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค สอดคล้องกับแนวคิด “GO ASEAN with krungsri”

8 รางวัลด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัลปี 2567 ประกอบด้วย

  1. Best Supply Chain Solution (Healthcare Industry) – Thailand จาก Triple A Treasuries Awards 2024, The Asset
  2. Corporate Client Initiative of the Year – Thailand จาก Corporate & Investment Banking Awards 2024, Asian Banking & Finance
  3. SME Financial Inclusion Initiative of the Year – Thailand จาก Retail Banking Awards 2024, Asian Banking & Finance
  4. SME Digital Innovation of the Year – Thailand จาก Retail Banking Awards 2024, Asian Banking & Finance
  5. Thailand Domestic Technology & Operations Bank of the Year จาก Wholesale Banking Awards 2024, Asian Banking & Finance
  6. Outstanding Use of Technology in Payments and Collections – Thailand จาก Global Transaction Banking Innovation Awards 2024, The Digital Banker
  7. Best API Initiative จาก Global Transaction Banking Innovation Awards 2024, The Digital Banker
  8. Best SME Mobile Banking App (Highly Acclaimed) จาก Global SME Banking Innovation Awards 2024, The Digital Banker

 

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครสินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคลระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2568 – 30 มิถุนายน 2568 และรับเงินกู้โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา ภายในวันที่ 31 กรกฏาคม 2568 จะได้รับของกำนัลตามวงเงินอนุมัติ ดังนี้ 

  • วงเงินอนุมัติตั้งแต่ 150,000 - 499,999 บาท และได้รับอนุมัติสินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล ในอัตราดอกเบี้ยปกติ จะได้รับกระเป๋า Warbie Yama Tote Bag Limited Edition มูลค่า 1,950 บาท
  • วงเงินอนุมัติตั้งแต่ 500,000 - 999,999 บาท จะได้รับกระเป๋า Warbie Yama Sport Bag Limited Edition มูลค่า 2,750 บาท
  • วงเงินอนุมัติตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้นไป จะได้รับกระเป๋าเดินทางล้อลาก Warbie Yama Luggage Limited Edition มูลค่า 5,290 บาท

ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/ploan-polo-bag


หมายเหตุ: กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว | อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกปกติ 21% - 25% ต่อปี*

*ศึกษารายละเอียด เงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติมที่ www.krungsri.com

เจาะประเด็นเศรษฐกิจโลก จับตาจีนตั้งรับความท้าทายครั้งใหม่ในยุคทรัมป์

Page 1 of 37
X

Right Click

No right click