Pirom Coffee (ภิรมย์ คอฟฟี่) แบรนด์กาแฟโรบัสต้าใหม่ จากแหล่งปลูกในภาคเหนือของไทย ชูผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ Fine Robusta เมล็ดกาแฟคุณภาพสูง ด้วยกระบวนการผลิตจากเทคโนโลยีชีวภาพ คงเอกลักษณ์ของความหนักแน่น เข้มข้น และรสชาติที่เป็นเสน่ห์ของกาแฟโรบัสต้า ชี้กาแฟโรบัสต้าจะเป็นอนาคตของกาแฟ ที่ปัจจุบันทั่วโลกหันมาให้ความสนใจ ตั้งเป้าสร้างกระแสความนิยมกาแฟโรบัสต้า ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์ไทยสู่สากล โดยส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าและพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกับเกษตรกรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อแก่นแท้ของรสชาติที่ดีในแบบของโรบัสต้าและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับภาคอุตสาหกรรมเครื่องดื่มกาแฟและผู้บริโภคทั่วไป เปิดตัวครั้งแรกในงาน Thailand Coffee Fest 2023 บูธ M2 ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 - 8 เมืองทองธานี 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2566
นายจุลพีระ สายตระกูล กรรมการบริหาร บริษัท บี.บี.กรูพส์ เทรดดิ้ง จํากัด บริษัทในกลุ่ม พี บี พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกหันมาให้ความสนใจกาแฟตระกูลโรบัสต้า (Robusta) ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นอนาคตของกาแฟ สืบเนื่องจากวิกฤตการณ์กาแฟอาราบิก้าที่มีราคาพุ่งขึ้นสูงทั่วโลก และขาดแคลนวัตถุดิบ รวมถึงจากการจุดประกายของการแข่งขัน WORLD BARISTACHAMPIONSHIP 2022 ที่มีการใช้กาแฟโรบัสต้า และชนะรางวัลที่ 4 ด้วยรสชาติที่น่าดึงดูด กลมกล่อม จนทำให้วงการกาแฟของโลกกลับมาให้ความสนใจกาแฟโรบัสต้าที่ไม่ใช่แค่กาแฟสำหรับผลิตเครื่องดื่มสำเร็จรูป จึงทำให้ความต้องการของกาแฟโรบัสต้ามีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าในหรือต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว Pirom Coffee (ภิรมย์ คอฟฟี่) แบรนด์กาแฟโรบัสต้าใหม่
โดย Pirom Coffee เกิดจากความตั้งใจของ คุณปิยะ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริษัท ฯ ที่ต้องการสร้างกาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์ไทยที่มีคุณภาพ ยกระดับคุณภาพของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์ไทยสู่สากลอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเป็นการสร้างโอกาสสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรไทย และผู้ประกอบการไทย โดยที่ผ่านมา
ได้มีการส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าและพัฒนาสายพันธุ์ร่วมกับเกษตรกรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดน่าน รวมถึงยกระดับกระบวนการผลิตตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟ โดยมีการคัดเมล็ด ซึ่งปกติแล้วเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจะไม่มีการคัดแยกเมล็ด ซึ่งคัดแยกเมล็ดกาแฟที่เก็บเกี่ยวได้แล้ว ก็จะนำไปผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งทำให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพสูง คงแก่นแท้ของรสชาติที่ดีในแบบฉบับของโรบัสต้าและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ลบภาพจำเดิมของเมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่มักจะมีกลิ่นหืน ไม่เหมาะสำหรับการชงกาแฟ หรือสร้างสรรค์เครื่องดื่มแบบสดใหม่
สำหรับผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ของ Pirom Coffee ประกอบด้วย Fine Robusta ผ่านกระบวนผลิตอย่างพิถีพิถัน ตอบโจทย์สำหรับการใช้งานที่หลากหลาย มีคุณภาพสูงสามารถใช้ทดแทนเมล็ดกาแฟอาราบิก้าชั้นดี ในราคาคุ้มค่าและเข้าถึงมากกว่า เหมาะสำหรับทั้งผู้ประกอบการธุรกิจคาเฟ่ ห้างร้านรีเทลและร้านค้ารายย่อย หรือแม้กระทั่งคอกาแฟและผู้บริโภคทั่วไป และนอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ Premium Robusta คุณภาพชั้นเลิศสำหรับการรังสรรค์เมนูเครื่องดื่มกาแฟชั่นเลิศ หรือแม้แต่ใช้ในการประกวดแข่งขัน และ Robusta มีคุณภาพสูงแตกต่างจากกาแฟโรบัสต้าโดยทั่วไป เหมาะสำหรับใช้ในการผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
Pirom Coffee เป็นผู้เชียวชาญกาแฟโรบัสต้า มุ่งมั่นที่จะยกระดับการแฟโรบัสต้าทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้กาแฟโรบัสต้าเป็นไม้ผลตัวเลือกใหม่ที่เกษตรกรนำมาปลูกทดแทนพืชชนิดอื่น อีกทั้งยังเป็นทางเลือกใหม่ของภาคอุตสาหกรรมเครื่องดื่มกาแฟ ผู้ประกอบการธุรกิจคาเฟ่ ห้างร้านรีเทลและร้านค้า รายย่อย หรือแม้กระทั่งคอกาแฟและผู้บริโภคทั่วไป ด้วยเมล็ดกาแฟมีคุณภาพสูง พร้อมเอกลักษณ์ของ ความหนักแน่น เข้มข้น และรสชาติที่เป็นเสน่ห์ของกาแฟโรบัสต้า ไม่ว่าจะดื่มแบบ Single Origin หรือการ Blend เพื่อมิติในการดื่มที่ดีกว่า
Pirom Coffee เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก ภายในงาน Thailand Coffee Fest 2023 พร้อมให้ทุกคนมาได้ร่วมเปิดประสบการณ์สัมผัสรสชาติแก่นแท้จากกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าของ Pirom coffee และพบกับกิจกรรมชิมกาแฟจาก Special Barista อย่าง ทาริค อัลฮูลี แชมป์ World Es Yen Championship 2021 และ ปิยชาติ ไตรถาวร Drip King Thailand ณ บูธ M2 ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 - 8 เมืองทองธานี 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2566
ใหม่!! “โซคิ้วบ์ - XO CUBE” กาแฟสดรูปแบบก้อนฟรีซดราย ครั้งแรกของไทย กับปรากฏการณ์ใหม่ที่เราอยาก “ท้าให้ลอง” ด้วยเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้า 100% นำเข้าจากต่างประเทศ คัดสรรอย่างพิถีพิถันเมล็ดต่อเมล็ด ผ่านเทคโนโลยีฟรีซดราย (Freeze-dried coffee technology) ด้วยความเย็น -40 องศา คงความสดของกาแฟไว้ได้ถึง 93% พร้อมกระบวนการพิเศษ Taste LOC สูตรลับเฉพาะใน “โซคิ้วบ์ - XO CUBE” สู่กาแฟสดรูปแบบก้อน Freeze Dried ครั้งแรกในไทย ให้รสชาติเข้ม บอดี้เน้นๆ หอม...กรุ่น เต็มก้อน ละลายง่ายภายใน 3 วิ ทั้งในน้ำร้อนและน้ำเย็น ตอบโจทย์เติมความสะดวกของคนรักกาแฟ กับ 3 รสชาติ ได้แก่ ทรี-อิน-วัน(3-in-1) ที่มาในขนาด แพ็ค 4 ชิ้น ราคา 39 บาทและขนาดแพ็ค 10 ชิ้น ราคา 95 บาท , มอคค่า(Mocca) ขนาดแพ็ค 4 ชิ้น ราคา 39 บาท และอเมริกาโน่ (Americano) ขนาดแพ็ค 10 ชิ้น ราคา 50 บาท ฉีกทุกรูปแบบ ทะลายทุกกฎของการดื่มกาแฟสำเร็จรูปแบบเดิมๆ เต็มรสชาติกาแฟได้ทุกที่ทุกเวลา
พิสูจน์ความเข้มเต็มก้อนกับ “โซคิ้วบ์ - XO CUBE” กาแฟก้อนสดฟรีซดราย เจ้าแรกในไทยในทุกรสชาติ ได้แล้ววันนี้ ณ เทสโก โลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ และShopee Mall : https://shopee.co.th/xocube_officialshop , LAZ Mall : https://www.lazada.co.th/shop/xo-cube , Facebook : xocube , เว็บไซต์ www.xocubefreezedry.com พร้อมช่องทาง LINE ที่ @xocube หรือคลิก https://lin.ee/iOw0TRj
สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการชมนิทรรศการ พร้อมผ่อนคลายไปกับกลิ่นหอมละมุนและจิบกาแฟดริปใน “Everywhere Everyday : Inthanin Exhibition 2023” นิทรรศการศิลปะจาก Inthanin Artists
ครั้งแรก กับการรวบรวมผลงานของ 3 ศิลปินไทยชื่อดังอย่าง 'KAPI' ปิยนาฎ ต้นมาลี 'JK ' จักรกฤษณ์ อนันตกุล และ 'YUREE' ยุรี เกนสาคู ที่ร่วมกันออกแบบลวดลายสำหรับสินค้าคอลเล็กชั่นพิเศษให้กับอินทนิล อาทิ แก้วน้ำ กระเป๋าผ้า รวมถึง กล่องกาแฟดริป 3 สูตรใหม่ อย่าง SINGLE ORIGIN Drip Coffee Special Series โดยทั้ง 3 ศิลปินได้นำผลงานจริงมาจัดแสดงให้ชมกันแบบใกล้ชิด บนชั้น 2 ของร้าน C43 Fashion and Inspiration Space ภายในโครงการ Charoen43 Art & Eatery
ปิยนาฎ ต้นมาลี หรือ ‘KAPI’ ศิลปินไทยคนแรกที่ได้ร่วมงานกับ อินทนิล ภายใต้แคมเปญที่ชื่อ ‘Everywhere THAILAND หรือ อินทนิล 4 ภาค’ ผลงานของเธอสร้างสถิติใหม่ในการจำหน่ายแก้วทัมเบลอร์ของแบรนด์ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยปิยนาฎพูดถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานครั้งนี้ว่า “เป็นการทำงานที่มีความสุขมากค่ะ เพราะเราไม่เคยทำงานที่มีความเป็นไทยขนาดนี้มาก่อน เลยรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย แต่พอเห็นผลงานจริงแล้ว ‘ว้าว’ มาก ทั้งการเคลือบและการเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ทำออกมาได้ดี จนทุกวันนี้ยังมีคนมาถามหาแก้วน้ำกับเราอยู่เลย แต่เราไม่มีนะคะ (หัวเราะ) คอลเล็กชั่นนี้ทำให้คนรู้จักงานของเรามากขึ้นและเราก็รู้สึกดีมากที่ได้ร่วมงานกับอินทนิล”
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งศิลปินไทย จักรกฤษณ์ อนันตกุล หรือ JK ที่รู้สึกดีใจที่ได้ร่วมออกแบบผลงานให้กับอินทนิล พร้อมพูดถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบคอลเล็กชั่นพิเศษนี้ว่า “โจทย์ในการออกแบบที่ได้รับจากอินทนิล คือ การทำงานคู่กับ YUREE สำหรับคอนเซ็ปต์ของผมจะเป็น Farmer ที่เล่าเรื่อง ไร่กาแฟและกระบวนการปลูกกาแฟของชาวเขา เราจึงถ่ายทอดความเป็นกาแฟอินทนิลผ่านตัวตนของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่กลับไปปลูกกาแฟหรือพัฒนาท้องถิ่นกันมากขึ้น ด้วยการนำเมล็ดกาแฟและต้นกาแฟมาใส่รูปร่างหน้าตาให้ดูมีคาแร็กเตอร์ และเลือกใช้สีแนวเอิร์ธโทนของกาแฟมาผสมผสานกับสีสันต่าง ๆ ส่วน YUREE จะเป็นคอนเซ็ปต์ของ User ที่เล่าเรื่อง สิ่งแวดล้อม ถ้าเราทุกคนช่วยกันรับผิดชอบ สัตว์ทะเลก็แฮปปี้
“ในส่วนของกาแฟดริปผมดีไซน์เป็น 3 คาแร็กเตอร์ เพื่อนำเสนอคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างของกาแฟอย่าง Thep Sadet (เทพเสด็จ - Special Taste) ดื่มแล้วรู้สึกอารมณ์ดีเหมือนผู้ชายที่มีพลังบวก แล้วผมก็เพิ่มคอนทราสต์ในการออกแบบให้กับ Mae Jaem (แม่แจ๋ม - Fruity Taste) ที่คนส่วนใหญ่มักจะเปรียบเปรยกาแฟแนวฟรุตตี้กับผู้หญิง ผมเลยนำเสนอความเป็นผู้ชายที่มีความสุขุมและละเอียดอ่อน ส่วน Pa Pae (ป่าแป๋ - Nutty Taste) ผมนึกถึงผู้หญิงใจดี อบอุ่น และอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นการทำงานที่ผมมีความสุขมาก ทีมงานของอินทนิลไม่ได้จำกัดอิสรภาพทางความคิดสร้างสรรค์ และทำให้คนรู้จักผลงานของ JK มากขึ้นเช่นกันครับ”
จากความสำเร็จของคอลเล็กชั่นแรกที่อินทนิลร่วมงานกับศิลปินไทยอย่าง ‘KAPI’ เมื่อปี 2019 สู่ Summer Collection ในปี 2020 นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้อินทนิลเริ่มให้ความสำคัญกับ Artist Collaboration มากขึ้น และเข้าไปเป็นผู้สนับสนุน Bangkok Illustration Fair หรือ BKKIF ในปี 2021 และ 2022 อย่างเป็นทางการ จนมาสู่การร่วมงานกับ JK และ YUREE ซึ่ง BKKIF Special Collection นี้ ก็สร้างสถิติใหม่ด้วยกระแสตอบรับที่ดี จนต้อง Re-Order ไปหลายรอบ และมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
“แก้วทัมเบลอร์คอลเล็กชั่นแรกจาก KAPI ทุบสถิติสูงสุด ด้วยยอดจำหน่ายหลายหมื่นใบเป็นครั้งแรกของแบรนด์ ทำให้เรามองเห็นโอกาสที่ดีในการทำงานร่วมกับศิลปิน เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่คนรุ่นใหม่ ก่อนที่รสชาติและคุณภาพของเครื่องดื่มจะสร้างความประทับใจให้เขากลับมาใช้บริการเรื่อย ๆ จนกลายเป็นลูกค้าประจำ” วิษณุ วงศ์สุมิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด พูดถึงแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จครั้งใหม่ของอินทนิล
“ช่วงปลายปี 2022 เราเลยเปิดตัว 2 คอลเล็กชั่นใหม่ เพื่อเป็นตัวแทนในการส่งมอบความสุขจากแก้วของเราสู่ลูกค้าในทุกวัน ถ่ายทอดความเป็น ‘อินทนิลรักษ์โลก’ ลดการสร้างขยะด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ 100% เรานำแนวคิดนี้เป็นคอนเซ็ปต์ในการออกแบบคอลเล็กชั่นพิเศษของ YUREE ส่วนของ JK เราเลือกคอนเซ็ปต์ ‘Coffee Journey’ ถ่ายทอดวิถีชีวิตของเกษตรกร ต้นกาแฟ เมล็ดกาแฟ อาราบิก้า 100% จากแหล่งเพาะปลูกในภาคเหนือมาสู่กาแฟแก้วโปรดของคุณ ซึ่งก็ทำยอดขายทุบสถิติได้ภายในไม่กี่เดือน เพราะสินค้าหมดตั้งแต่เดือนแรก นอกจากนี้ เรายังเปิดตัวกาแฟดริปคอลเล็กชั่นพิเศษ SINGLE ORIGIN ซึ่งก็เป็นงานออกแบบของ JK อีกเช่นกัน
สำหรับปีนี้ นอกเหนือจากประสบการณ์ความสุข จาก Inthanin Experience ในรูปแบบต่างๆ แล้ว อินทนิลยังวางแผนการผลิตสินค้าใหม่ๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึง Artist Collaboration ด้วย ซึ่งก็อยากให้คอยติดตามและให้กำลังใจพวกเรา เชื่อว่าคอลเล็กชั่นของศิลปินปีนี้ จะต้องเป็นที่ถูกใจไม่แพ้ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”
ใครแวะมาเดินชมงานศิลปะใน “เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ” หรือ Bangkok Design Week 2023 ครั้งที่ 6 อย่าลืมแวะมาชมนิทรรศการ Everywhere Everyday : Inthanin Exhibition 2023 ระหว่างวันที่ 4-12 ก.พ. 66 เวลา 10.00-20.00 น. (ร้านปิดวันจันทร์) ชั้น 2 ร้าน C43 Fashion and Inspiration Space โครงการ Charoen43 Art & Eatery
พิเศษ! รับฟรี Artist Card ของทั้ง 3 ศิลปิน KAPI/JK/YUREE, รับฟรี Artist Sticker ของ JK/YUREE และ พิเศษสุด รับฟรี กาแฟดริป SINGLE ORIGIN Drip Coffee Special Series คอลเล็กชั่นล่าสุดจาก JK สำหรับผู้ชมงานที่ แชร์และเช็คอิน ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ https://www.facebook.com/charoen43 และ https://www.facebook.com/inthanincoffee
กาแฟดอยช้าง ฉลองครบรอบ “15 ปี กาแฟดอยช้าง จากธุรกิจเพื่อชุมชน สู่มาตรฐานกาแฟโลก” ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ ต่อยอดธุรกิจเพื่อชุมชน รุกตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ พร้อมเปิดตัว ผลิตภัณฑ์กาแฟในรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การบริโภคกาแฟที่หลายยิ่งขึ้น
ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมา กาแฟดอยช้าง ถือเป็นกาแฟสัญชาติไทยเจ้าแรกที่นำเอาอัตลักษณ์ความเป็นไทยและเมล็ดกาแฟคุณภาพระดับสูงไปปักหมุดและสร้างชื่อเสียงอยู่ในแผนที่กาแฟโลก เทียบเท่าแหล่งผลิตกาแฟระดับโลกอย่าง บราซิล และ โคลอมเบีย เพราะนอกจากรสชาติอันเข้มข้นและกลิ่นหอมแล้ว กาแฟดอยช้างยังเป็นกาแฟอราบิก้าชนิดพิเศษคุณภาพสูง (Specialty Coffee) ที่มาจากแหล่งผลิตเฉพาะ (Single Origin) บริเวณดอยช้าง จังหวัดเชียงราย แหล่งเดียวเท่านั้น ซึ่งผลผลิตเมล็ดกาแฟจากดอยช้างจะมีเอกลักษณ์ด้านกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เจือรสชาติอมเปรี้ยว และมีคาเฟอีนต่ำ ทำให้กาแฟทุกแก้วของดอยช้างมีรสชาติกล่มกล่อม จนได้รับการยอมรับในเวทีโลกและมีมาตรฐานระดับสากล อาทิ USDA Organic, EU Organic Farming, EU Geographical Indication และ Specialty Coffee Association เป็นเครื่องการันตีคุณภาพคุณพิก่อ พิสัยเลิศ โลโก้แมน
ปณชัย พิสัยเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด กล่าวว่า “ด้วยแนวความคิด จากต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ เราพิถีพิถันและให้ความสำคัญในแต่ละกระบวนการผลิตและแปรรูป ตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์กาแฟชั้นเลิศ การเพาะปลูก การเก็บผลกาแฟสดจากต้นด้วยมือ จนมาสู่ขั้นนตอนการทำความสะอาดและกระเทาะเปลือกภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อรักษาคุณภาพและความสดเอาไว้ กาแฟกะลาเปียกที่ได้จากขั้นตอนกะเทาะเปลือกจะถูกนำมาหมักแห้งเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมงและนำไปหมักเปียกต่ออีก 24 ชั่วโมง กระบวนการหมักจะช่วยในการขจัดเมือกเคลือบออกจากกาฟกะลา ในขั้นตอนสุดท้ายจะมีการแช่พักเมล็ดที่ผ่านการหมักในน้ำสะอาดอีก 20-24 ชั่วโมงเพื่อทำให้กาแฟมีกลิ่นรสสะอาดยิ่งขึ้น หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการตากกาแฟด้วยแสงอาทิตย์ให้ได้ความชื้นที่เหมาะสม กาแฟกะลาที่ได้จะถูกจัดเก็บและบ่มในอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมประมาณ 8 เดือน หลังจากการคัดเลือกเมล็ดกาแฟจากเครื่องคัดแยกคุณภาพสูงและยังมีการคัดซ้ำด้วยมือคนอีกรอบเพื่อให้ได้กาแฟสารคุณภาพสูงสุดที่พร้อมนำมาคั่วสำหรับการจัดจำหน่าย และด้วยความพิถีพิถันนี้ คอกาแฟจึงมั่นใจได้เลยว่า เมล็ดกาแฟที่ถูกนำมาบดคั่วให้กลายเป็นกาแฟในแก้วที่ดื่มนั้นคือเมล็ดกาแฟที่ถูกคัดเลือกมาแล้วอย่างดีที่สุด”
“ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา กาแฟดอยช้างมีช่องทางการขายทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ เฉลี่ยเป็นอัตราส่วนในประเทศ 30% และต่างประเทศ 70% โดยกาแฟดอยช้างเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบันกาแฟดอยช้างสามารถผลิตกาแฟตอบสนองตลาดพรีเมียมได้ ไม่น้อยกว่า 1,000 ตันต่อปี โดยปัจจุบันมีจำนวนสาขาในประเทศมากกว่า 200 สาขา ทั้งในระบบแฟรนไชส์และร้านกาแฟพันธมิตร และอีกกว่า 50 สาขาในต่างประเทศ อาทิเช่น แคนาดา อังกฤษ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ลาว กัมพูชา และ เมียนมา เป็นต้น โดยหากสามารถบรรลุแผนการดำเนินงานที่ตั้งเอาไว้ในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ กาแฟดอยช้างจะสามารถเพิ่มงานและรายได้อีกมากมายให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ”
ปณชัย พิสัยเลิศ และพิษณุชัย แก้วพิชัย
พิษณุชัย แก้วพิชัย ประธานที่ปรึกษาด้านธุรกิจ บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ด้านการตลาดและแนวโน้มของธุรกิจของกาแฟดอยช้างว่า “ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา กาแฟดอยช้างยังคงยึดมั่นคำสัญญาในการนำส่งกาแฟอราบิก้าชนิดพิเศษคุณภาพสูง (Specialty Coffee) ออกสู่ผู้บริโภค ซึ่งหลักการทำกาแฟที่มีคุณภาพสูงและมีความพิถีพิถัน โดยองค์ประกอบของกาแฟดี ได้แก่ สายพันธุ์กาแฟ ดิน อากาศ เกษตรกร กระบวนการทั้งก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว และแบรนด์ดิ้ง การได้รับรางวัลด้านมาตรฐานระดับสากล ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่ากาแฟดอยช้างเป็นกาแฟระดับพรีเมี่ยมที่เราอยากนำเสนอให้คอกาแฟคนไทยได้ลิ้มรส เราจึงได้ปรับมุมมองการบริหารธุรกิจกาแฟดอยช้างจากธุรกิจเพื่อชุมชนสู่ธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มคอกาแฟตัวจริง”