

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดพิธีเปิดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2568 โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ซึ่งมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่าย ประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้อง Ballroom Hall 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้งาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises เป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการต่อประเด็นท้าทาย "วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ" ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งเพื่อการสื่อสารนโยบายสำคัญของกระทรวง พม.ในการคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบางจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยภายในงาน มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) อาทิ UNDP, UNESCAP, UNFPA, UNICEF, World Bank, APCD และ ASEC รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในรูปแบบของการเสวนา การอภิปราย และการหารือ World Cafe เพื่อเปิดเวทีร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตซ้อนวิกฤต รวมทั้งการตัดแสดงนิทรรศการสาระน่ารู้ต่างๆ กิจกรรม Workshop ทำของที่ระลึก และ Market place เปิดพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าของกลุ่มเปราะบางและภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. เป็นการให้โอกาสในการดำรงชีวิตในสังคมอย่างเท่าเทียมและมีคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นายอนุกูล กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาของโลกในศตวรษที่ 21 ได้ให้ความสำคัญกับหลักการ "ความเสมอภาค และความยั่งยืน" เป็นกระแสหลัก แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ยังคงเกิด "ความเหลื่อมล้ำ" ในหลายมิติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่น รวมทั้งต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค หลายประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตทั้งโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจ
สำหรับวิกฤตโครงสร้างประชากร นั้น มี 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ 1) "เด็กเกิดน้อย" ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี หรือมีเด็กเกิดใหม่เพียง 4.6 แสนคน 2) "วัยแรงงานลดลง" ปี 2567 วัยทำงาน 3 คน ต้องทำงานดูแลผู้สูงอายุ 1 คน และ 3) "สังคมสูงวัย" ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2567 โดยประเทศไทยมีประชากรสูงอายุมากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก หรือมากกว่าร้อยละ 20.69 ของประชากรไทย

ทั้งนี้วิกฤตโครงสร้างประชากร ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ ภาระทางการคลังเพิ่มมากขึ้น ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดต่ำลง ภาครัฐแบกรับภาระผู้สูงวัยมากขึ้น โรงเรียนปิดตัวจำนวนมาก เด็กหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.02 ล้านคน ครอบครัวแหว่งกลาง ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง คนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีบุตร การค้ามนุษย์และอาชญากรรมทางออนไลน์
สำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงอันดับที่ 30 ของโลก ในกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ โดยประเทศไทยต้องเผชิญกับ 4 ภัยหลัก ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง ภัยความร้อน และการกัดเชาะชายฝั่ง ซึ่งขณะนี้ เราต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ สถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นพื้นที่ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม) ตั้งแต่ปลายปี 2567 ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้มาก่อน ทั้งนี้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ คลื่นความร้อนสูงส่งผลต่อสุขภาพผู้สูงอายุและคนพิการที่เสี่ยงต่อโรคฮีทสโตรก การย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีภัยพิบัติและหางานทำในเขตเมือง เด็กและผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งในชุมชน ผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ตกต่ำ และความไม่มั่นคงทางอาหารของกลุ่มเปราะบาง

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับทางออกของวิกฤตโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ กระทรวง พม. ได้ปรับตัวและรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ (1) การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับคนทุกช่วงวัย อาทิ การขยายศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้านอย่างมีมาตรฐาน, การพัฒนาข้อเสนอขยายอายุเกษียณ, กฎหมายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ, การพัฒนานักบริบาลและคุ้มครองสิทธิ
ผู้สูงอายุ , การพัฒนาผู้นำคนพิการที่สร้างแรงบันดาลใจ (TOP10), ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) และนิคม NEXT โมเดล และ (2) การดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) , การจัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) โดยกระทรวง พม. เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์, การจัดทำแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2568 ของกระทรวง พม. ทั้งก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย, การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชากรกลุ่มเปราะบางและชุมชน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับธนาคารโลก (World bank), การปรับปรุงหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ร่วมกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่กลุ่มเปราะบาง, การพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคาที่รับภาระได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และการจัดถุงยังชีพ GO BAG สำหรับกลุ่มเปราะบางได้มีสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในช่วงเกิดภั

นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับอนาคต ในส่วนของประเทศไทย นั้น เราได้ขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขข้อท้าทายที่เกิดจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากนวัตกรรมที่หลายหน่วยงานนำมาจัดแสดงในงานครั้งนี้ อาทิ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ, การออกแบบที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับคนทุกช่วงวัย, การนำเทคโนโลยีและหุ่นยนต์มาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ, การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า (เกษตรสร้างสรรค์) และการพัฒนาต้นแบบการจัดการเชิงพื้นที่ของคนทุกช่วงวัย (โครงการนิคม NEXT)
"วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ นับเป็นปัญหาของโลก ที่ประชากรทุกคนได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจแตกต่างกันไป แต่เชื่อว่าทุกประเทศมีประสบการณ์ที่สามารถนำมาแบ่งปัน นำไปปรับใช้ และงานในวันนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ทำนโยบายเชิงรุกในการพร้อมรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และงานวันนี้ จึงเป็นวาระสำคัญในการมารวมตัวกันของทุกภาคส่วนทั้งภาคราชการ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน อีกทั้งเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชนในอาเซียน ที่จะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ซึ่งได้มาร่วมกันสร้างเจตนารมย์ ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์สำคัญ เพื่อนำไปปรับเป็นนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศต่อไป" นายอนุกูลกล่าว

ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ระหว่างวันที่ 17 - 18 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพราะวันนี้ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป เราทุกคนต้องร่วมกันจัดการและหาทางออก เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดงาน วันสตรีสากล ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “3 ทศวรรษปฏิญญาปักกิ่งฯ: โอกาสและความท้าทายสู่ความเสมอภาคของสตรีและเด็ก” โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงาน สำหรับการจัดงานครั้งนี้เป็นการร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันสตรีสากลและเพื่อเชิดชูเกียรติบทบาทของสตรีในด้านต่าง ๆ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลไทย ผ่านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ การพัฒนาสตรี ที่เร่งดำเนินการส่งเสริมสิทธิและโอกาสเพื่อให้สตรีและเด็กได้รับความเสมอภาค ยกระดับการพัฒนาสตรีให้สอดคล้องกับหลักสากล อีกทั้งยังมุ่งมั่นผลักดันพลังสตรีให้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ด้วยการเพิ่มศักยภาพให้สตรีทุกกลุ่ม ทุกระดับ มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายวราวุธ กล่าวว่า “วันสตรีสากล” (International Women's Day) นับว่าเป็นวันที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของสตรีเพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม ความเสมอภาค สันติภาพ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงความก้าวหน้าของสตรี ทั้งนี้ประเทศไทยได้มุ่งเน้นการพัฒนาสถานภาพสตรีและการสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยกระทรวง พม. ได้จัดกิจกรรมวันสตรีสากลมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2568 นี้ ได้จัดงานภายใต้แนวคิด “3 ทศวรรษปฏิญญาปักกิ่งฯ: โอกาสและความท้าทายสู่ความเสมอภาคของสตรีและเด็ก” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ด้วยนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที คือ ด้านการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และด้านการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การจัดการเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางสังคม ซึ่งกลุ่มสตรีและเด็กเป็นหนึ่งในนั้น เพื่อให้สตรีและเด็กกลุ่มนี้ได้รับความเสมอภาคอย่างแท้จริง

โดยกระทรวง พม. มุ่งส่งเสริมโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีให้แก่สตรี โดยสนับสนุนให้สตรีสามารถนำศักยภาพที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล ผ่านนโยบายการพัฒนาสถานภาพสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิก อาทิ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 5 การบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และส่งเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สตรีและเด็กหญิง ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี โดยการเพิ่มบทบาทของสตรีและเด็กหญิงทุกคน

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติได้แสดงเจตนารมณ์และปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลก โดยการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสถานภาพสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ กระตุ้นให้สังคมไทย ได้ตระหนักถึงศักยภาพและสิทธิมนุษยชนของสตรี รวมทั้งยกระดับการพัฒนาสตรีให้สอดคล้องกับหลักสากล และยังมุ่งมั่นผลักดันพลังสตรีให้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวง พม. ที่ได้เร่งรัดขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญ 9 ด้าน ต่อยอดจาก “นโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร” ด้านการสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง อาทิ คนจน คนพิการ ผู้สูงอายุ และสตรี การส่งเสริมสถานภาพสตรีไทยจึงเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ

ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การนำเสนอวีดิทัศน์คำปราศรัยจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันสตรีสากลประจำปี 2568 การกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ได้รับรางวัล พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรที่มีผลงานดีเด่น จำนวน 16 สาขา 84 รางวัล และรางวัลเกียรติคุณพิเศษ 3 รางวัล โดยมีผู้ร่วมงาน ได้แก่ ผู้เข้ารับรางวัล ผู้บริหารกระทรวง พม. คณะกรรมการดำเนินงานวันสตรีสากล คณะคู่สมรสเอกอัครราชทูต คณะคู่สมรสคณะรัฐมนตรี สื่อมวลชน ฯลฯ จำนวนทั้งสิ้นกว่า 300 คน และยังได้เปิดตัวโครงการ “กล่องของขวัญ (Pink Box) แทนความห่วงใย เสริมพลังใจเพื่อสตรีไทยมั่นคง” ด้วยการมอบกล่องของขวัญที่บรรจุด้วยสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันและการดูแลสุขอนามัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับสตรีกลุ่มผู้เปราะบางที่ถูกซ้อนทับด้วยปัญหาต่าง ๆ อาทิ กลุ่มผู้หญิงที่มีรายได้น้อย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้หญิงสูงอายุ และผู้หญิงที่มีความพิการ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูมิภาคต่าง ๆ จำนวน 4,500 ชุด ตลอดเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งนอกจากจะสร้างเสริมกำลังใจและความหวังในการดำเนินชีวิตให้แก่สตรีกลุ่มเปราะบางกลุ่มเหล่านี้ ยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนและภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมได้ตระหนักถึงปัญหาของสตรี นำไปสู่ความคิดริเริ่มในการสนับสนุนสตรีในรูปแบบต่าง ๆ ให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ ให้มีโอกาสและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อเป็นการยืนยันว่า รัฐบาลและภาคีทุกภาคส่วนได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีการสอดแทรกประเด็นสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศเข้าไปในการพัฒนากระแสหลัก (Gender Mainstreaming) ซึ่งเป็นหนทางแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้สตรีได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ปลอดภัยจากความรุนแรงทุกรูปแบบ ภายใต้สังคมที่ตระหนักและเข้าใจ พร้อมสนับสนุนพลังสตรีเป็นพลังสำคัญในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมทุกมิติต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานพิธีเปิดสถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 45 อย่างเป็นทางการ โดยมี นายคมสัน ญาณวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวต้อนรับ นายอนันต์ ดนตรี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยนายประสงค์ พันธ์ลิมา ผู้อำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ อาคารสถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 45 โครงการบ้านเอื้ออาทรตลาดไท (เทพกุญชร 34) ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

นายชาติชาย กล่าวว่า สถานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทำหน้าที่เป็นกลไกในการจัดสวัสดิการสังคม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อรับจำนำในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และตรึงระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ให้โรงรับจำนำเอกชนเรียกค่าบริการสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยการให้บริการของ สธค. ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขจัดความเดือดร้อนในด้านการเงินของประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินเฉพาะหน้า

นายชาติชาย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน สธค. ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานเข้าสู่ปีที่ 69 ด้วยวิสัยทัศน์ "เป็นโรงรับจำนำเพื่อสังคม บริการด้วยนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยยึดหลักธรรมาภิบาล” ปัจจุบันมีทั้งหมด 45 แห่ง แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพมหานคร จำนวน 29 แห่ง และปริมณฑล จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ส่วนภูมิภาค จำนวน 11 แห่ง ได้แก่ จังหวัดระยอง 2 แห่ง ลำพูน 1 แห่ง สุราษฎร์ธานี 1 แห่ง อุดรธานี 1 แห่ง พิษณุโลก 1 แห่ง พระนครศรีอยุธยา 1 แห่ง ชลบุรี 1 แห่ง สุพรรณบุรี 1 แห่ง ราชบุรี 1 แห่ง และที่เพิ่งเปิดใหม่วันนี้อีก 1 แห่ง คือที่จังหวัดปทุมธานีแห่งนี้ นอกจากนี้ สธค. ยังได้จัดทำแผนขยายสาขาการให้บริการในพื้นที่ส่วนภูมิภาคให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในปี 2567 อีกจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 46 (ลาดกระบัง) และ สถานธนานุเคราะห์ สาขาที่ 47 (บางขุนเทียน)

นายชาติชาย กล่าวต่ออีกว่า สำหรับวันนี้ ได้ทำการเปิดสาขาจังหวัดปทุมธานีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสาขาที่ 45 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าทางการเงิน โดยสามารถนำสิ่งของมาจำนำ และเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้รับการบริการทางสังคมที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ ทั้งนี้ สธค. มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ 1) เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อเดือน 2) เงินต้น 5,001 - 10,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ต่อเดือน 3) เงินต้น 10,001 - 20,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.00 ต่อเดือน 4) เงินต้น 20,001 - 100,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ซึ่ง สธค. ได้คิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในธุรกิจโรงรับจำนำ เพียงร้อยละ 0.25 ต่อเดือน (วงเงินไม่เกิน 5,000 บาท) อีกทั้ง ยังมีนโยบายอัตราการรับจำนำทรัพย์ประเภททอง นาก เงิน และรูปพรรณ โดยรับจำนำไม่เกินร้อยละ 87.5 ของราคาทองรูปพรรณในท้องตลาด ซึ่งให้ราคารับจำนำที่สูงขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม - 29 กุมภาพันธ์ 2567 ทาง สธค. จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยการไม่คิดดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 เดือน เมื่อจำนำไม่เกิน 5,000 บาท นับว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินเฉพาะหน้า รวมทั้งมีการปรับภาพลักษณ์เปลี่ยนโฉมการบริการใหม่ ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานกิจกรรมเปิดตัวโครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน อาทิ กรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย และมูลนิธิอิสรชน เพื่อร่วมกันดำเนินการสำรวจสถานการณ์ปัญหาของกลุ่มคนเร่ร่อนหรือคนไร้บ้าน 77 จังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งทำให้ทราบถึงจำนวนคนไร้บ้านสำหรับนำมาใช้คาดการณ์ทางสถิติ ประชากร และอื่น ๆ นำไปสู่การปรับปรุง พัฒนาบริการของรัฐที่ตอบโจทย์ประชาชน โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการ กทม. นายสุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการ สสส. รองศาสตราจารย์ และ ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผอ.สถาบันเอเชียศึกษา ร่วมกล่าวแสดงเจตนารมณ์บูรณาการทำงานและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ณ บริเวณหน้าอาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม.

นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่งหรือคนไร้บ้าน ด้วยการให้บริการสวัสดิการสังคมทั้งการให้ความช่วยเหลือ คุ้มครอง และลงพื้นที่สำรวจปัญหาความต้องการของคนไร้บ้านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเก็บข้อมูลจำนวนคนไร้บ้านทั่วประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ กลุ่มเป้าหมายที่รับบริการภายในหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ปัจจุบัน มีจำนวน 5,083 คน และกลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่งภายนอกหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ที่ให้บริการอีกกว่า 21,239 ราย ซึ่งเป็นคนไร้บ้านกว่า 2,462 ราย และอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ กว่า 1,761 ราย

ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งหรือคนไร้บ้านอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ แต่กระทรวง พม. เพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ เนื่องจากคนไร้ที่พึ่งหรือคนไร้บ้านที่ถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) และการเสริมสร้างพลังทางสังคม (Social Empowerment) วันนี้ กระทรวง พม. โดย พส. จึงได้จัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) เพื่อแสดงให้เห็นว่า กระทรวง พม. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง และมีเป้าหมายร่วมกันในการออกแบบระบบการคุ้มครองดูแล และจัดบริการสวัสดิการสังคมได้อย่างตรงจุด ตลอดจนส่งผลให้คนไร้บ้านสามารถเข้าถึงสวัสดิการและสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างยั่งยืนต่อไป

นายสุปรีดา กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ จะทำให้เราได้เห็นสถานการณ์ทางประชากรและสุขภาวะของคนไร้บ้านในประเทศไทยที่ครอบคลุมประเด็นทั้งในเชิงจำนวนและข้อมูลทางประชากรเชิงลึก เพื่อเป็นข้อมูลสถานการณ์ทางประชากรที่จะเป็นพื้นฐานในการออกแบบและจัดทำนโยบายเกี่ยวกับคนไร้บ้านที่สอดคล้องและเท่าทันกับสถานการณ์ปัญหา

รองศาสตราจารย์ ดร.ภาวิกา กล่าวว่า การแจงนับคนไร้บ้านครั้งนี้ จะเป็นทั้งการนับจำนวน (Head Count) และเก็บข้อมูลทางประชากรเบื้องต้นของคนไร้บ้านทั้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สาธารณะ (Unsheltered Count) และในสถานพักพิงที่รัฐหรือเอกชนจัดให้ (Sheltered Count) เพื่อป้องกันปัญหาการนับซ้ำ และสามารถกำหนดนิยามคนไร้บ้านให้ครอบคลุมทั้งในมิติทางวิชาการและมิติทางวัฒนธรรม ให้สอดคล้องกับบริบทของคนไร้บ้านในสังคมไทย สู่การนำมาพัฒนารูปแบบบริการ นวัตกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

นายศานนท์ กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร นับว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลักในประเด็นคนไร้บ้านที่พบมากที่สุดในประเทศ เนื่องจากผู้คนทั่วประเทศหลั่งไหลเข้ามาอาศัยและทำมาหากิน ซึ่งที่ผ่านมาเราอาจจะไม่ทราบว่า คนไร้บ้าน มีจำนวนเท่าไร ประสบปัญหาอะไร ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญและเป็นการบูรณาการที่เป็นประโยชน์ ทั้งระดับปฏิบัติและนโยบาย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานการช่วยเหลือคนไร้บ้านให้ตรงจุดและมีทิศทางที่ดีขึ้น

นางจุตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) ในวันนี้ ประกอบด้วย 1) การเปิดตัวกิจกรรมฯ พร้อมกันทั่วประเทศ ณ หน้าอาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. และผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting โดยมีหน่วยงาน One Home พม. ทุกจังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วม 2) การปล่อยแถวขบวนรถสายด่วน พม. 1300 ลงพื้นที่แจงนับคนไร้บ้านทั่วประเทศ และ 3) นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม. พร้อมผู้บริหาร และผู้แทนภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่สำรวจแจงนับคนเร่ร่อนหรือคนไร้บ้าน ณ บริเวณอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ