

นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ภายใต้นโยบาย "พม.ใกล้คุณ" โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ เพื่อให้กลุ่มเปราะบางได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ด้วยการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงมี และสามารถ "ตั้งหลักใหม่" เพื่อก้าวต่อไปอย่างมั่นคง โดยมี นางสาวสนธยา บุณยภูษิต อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. คนพิการ ครอบครัวคนพิการ องค์กรคนพิการ อาสาสมัคร เครือข่ายเอกชน เข้าร่วมงานแถลงข่าว ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ

นายกันตพงศ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่สูงและยืดเยื้อ และการดูแลแบบ "บ้านสองวัย" ที่ผู้สูงอายุต้องเลี้ยงดูเด็กแทนพ่อแม่วัยทำงาน ซึ่งส่งผลต่อช่องว่างระหว่างวัย อีกทั้งคนพิการต้องรับภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าคนทั่วไป ทั้งค่าดูแลอุปกรณ์ และการเดินทาง มีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ความยากจนซ้ำซ้อน

ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงมุ่งขับเคลื่อนงานตามนโยบาย "พม.ใกล้คุณ" ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานใกล้ชิดประชาชนและปัญหา โดยใช้หลัก 3H คือ Heart Head Hand ด้วยการทำด้วยใจ คิดด้วยสมอง แล้วยื่นมือมาช่วยเหลือกัน ตามมาตรการ "เร่งสร้างคุณภาพชีวิตคนพิการ" เพื่อส่งเสริมให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วย 4 Quick Win ได้แก่ 1) เร่งทบทวนหลักเกณฑ์ประเมินความพิการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2) ปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการ 1,000 บาท ถ้วนหน้า 3) ปูพรมลงพื้นที่สำรวจข้อมูล เพื่อส่งมอบกายอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทความพิการ และ 4) พัฒนาแนวทางการกู้ยืมเงินกองทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดจะทำให้คนพิการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้ง่ายขึ้น ลดภาระหนี้สิน และมีโอกาสสร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้นในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน

นายกันตพงศ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" นั้น เป็นหนึ่งในภารกิจของการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาทักษะอาชีพ เชื่อมโยงตลาดแรงงาน และเปิดเวทีให้คนพิการได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยได้รับความร่วมมืออย่างยิ่งจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งภายในงานนี้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พิธีเปิดงานฯ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 โดย นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน การลงนามบันทึกความร่วมมือ "ด้านการเสริมสร้างโอกาสการจ้างงานและการประกอบอาชีพ" การมอบรางวัลหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านคนพิการของกรม พก. และรางวัล "We Can Do" เชิดชูคนพิการต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่สังคม ตลาดอาชีพและสินค้าคนพิการกว่า 300 ร้านค้า เวทีเสวนาและเวิร์กชอปสร้างแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ การสาธิตอาชีพเชิงสร้างสรรค์ ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ การแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง อาทิ เก่ง ธชย, นัน อนันต์ ไมค์ทองคำ และไรอัล กาจบัณฑิต และการแสดงความสามารถของคนพิการ วงดนตรีคนพิการ S2S ถ่ายทอดบทเพลงแห่งแรงบันดาลใจ ภายใต้แนวคิด "ความพิการไม่ใช่อุปสรรคของความสามารถ"

นายกันตพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. มุ่งหวังให้งานครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้คนพิการมีงานทำ แต่ยังเป็นเวทีที่แสดงให้สังคมได้เห็นคุณค่าของคนพิการที่มีศักยภาพและความสามารถไม่ต่างจากคนทั่วไป เพียงแค่ต้องการโอกาสที่เหมาะสม โดยกระทรวง พม. พร้อมเป็นสะพานเชื่อมให้โอกาสนั้นเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมให้กำลังใจ ให้โอกาสแก่คนพิการ ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดความพิการ และก้าวสู่ชีวิตใหม่อย่างมั่นคง สู่สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในงาน "Job and Market Fair : มหกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ" ระหว่างวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2568 ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่คนพิการเพื่อผลิตบัณฑิตกลุ่มวิชาชีพครู หวังเพิ่มจำนวนบุคลากรครูที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการสอนคนพิการไปยังสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ส่งเสริมศักยภาพให้คนพิการมีอาชีพที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการระดมทุนในโครงการทุนสถาบันราชสุดา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของคนพิการในสังคมไทย
คนพิการคือกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการศึกษา แม้ว่าในทางกฎหมาย ภาครัฐจะให้ความสำคัญต่อการศึกษาโดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องได้รับและสามารถเข้าถึงได้ แต่ในทางปฏิบัติ การจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มคนพิการนั้นยังคงเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากและอาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากปัญหาทั้งด้านหลักสูตร โครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาสำหรับคนพิการ และความสามารถในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
![]()
อาจารย์นายแพทย์สมเกียรติ ลีละศิธร ผู้อำนวยการสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “การขาดโอกาสทางการศึกษาส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี จนนำมาสู่ปัญหาการขาดโอกาสในการประกอบอาชีพของกลุ่มคนพิการ จากข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2567 พบว่า มีจำนวนคนพิการทางการได้ยินและสื่อความหมายในประเทศไทยทั้งสิ้น 423,936 คน คิดเป็น 19.19% ของคนพิการทั้งหมด โดยในจำนวนคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายทั้ง 423,936 คนเหล่านี้ มีผู้ได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษาสูงที่สุด 282,410 คน รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษาที่ 35,899 คน ในขณะที่ผู้ที่ได้รับ
การศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามีเพียง 9,227 คนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงมุ่งมั่นเป็นสถาบันที่เปิดพื้นที่ทางการศึกษาสำหรับนักศึกษาทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ตั้งแต่ระดับชั้นปริญญาตรี โท และเอก เพื่อผลิตบุคลากรครูสำหรับคนพิการทางการได้ยินโดยเฉพาะ รวมทั้งเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนพิการที่ต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพกายและจิตใจผ่านงานบริการและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับทุกคนในสังคมได้อย่างมีความสุข”
อาจารย์ ดร.ปรเมศวร์ บุญยืน ประธานหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การขาดแคลนล่ามภาษามือ จากสถิติกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2567 พบว่า ล่ามภาษามือที่จดแจ้งมีจำนวนทั้งหมด 178 คน โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลมากที่สุด และ 36 จังหวัดในประเทศไทยไม่พบล่ามภาษามือที่จดแจ้ง สถาบันราชสุดา ในฐานะสถาบันการศึกษาแห่งเดียวที่ผลิตล่ามภาษามือในระดับปริญญาตรี จึงให้มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตเพื่อส่งต่อความรู้ให้แก่คนพิการทางการได้ยินให้มีทักษะในการประกอบอาชีพ ตลอดจนสามารถหาเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนพิการในสังคมไทย”
![]()
คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวเสริมว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นในการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเท่าเทียมและไม่แบ่งแยก โดยเฉพาะความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาตนเอง โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนสนับสนุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมจัดสรรเงินทุนเพื่อพัฒนาด้านการเรียนการสอนในสถาบันราชสุดา รวมถึงส่งเสริมด้านงานวิจัยนวัตกรรมด้านคนพิการและการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพของคนพิการ เพื่อให้คนพิการในสังคมไทยมีอาชีพที่มั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มวิชาชีพครูที่สร้างรายได้ให้แก่ตนเองและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในอนาคต นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนของคนพิการในประเทศไทย”
สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้คนพิการสามารถเรียนรวมกับคนทั่วไปได้อย่างเท่าเทียม โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในห้องเรียนเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ระหว่างคนพิการและบุคคลทั่วไป พร้อมจัดบริการสนับสนุนการศึกษาอย่างเหมาะสมเพื่อลดอุปสรรคการเรียนรู้ที่เกิดจากข้อจำกัดด้านความพิการ สถาบันราชสุดา เปิดสอนทั้งหมด 5 หลักสูตร ดังนี้ ระดับปริญญาตรี ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา วิชาเอกการออกแบบเชิงพาณิชย์ และวิชาเอกล่ามภาษามือไทย และ หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ได้แก่ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หลักสูตรศึกษา
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ และ หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของมูลนิธิรามาธิบดีฯ เพื่อสร้างพื้นที่แห่งโอกาสทางการศึกษาให้คนพิการ นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้คนพิการสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างคนพิการและคนทั่วไป พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมที่ปราศจากการแบ่งแยก ขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th
ในประเทศไทยมีคนพิการมากกว่า 1.7 ล้านคน แต่ มีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ มีงานทํา นั่นคือปัญหาที่เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ คิดว่าเธอจะช่วยแก้ปัญหาได้
![]()
เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ หรือ จูน ผู้ร่วมก่อตั้ง Vulcan Coalition ในปี 2563 ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณสัตยา นาเดลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมโครซอฟท์ ที่งาน Microsoft APAC Innovators Forum ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้ เล่าว่า Vulcan Coalition มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบริการ AI ใหม่ๆ ที่เป็นภาษาไทยพร้อมๆไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ จาก การศึกษาทางประสาทวิทยา พบว่า บุคคลที่มีความพิการทางการมองเห็นหรือการได้ยิน ในบางคนมีประสาทส่วนการรับรู้ที่พิเศษกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งเป็นการชดเชยความบกพร่องของระบบประสาทในส่วนที่เสียไป
"เราได้เรียนรู้ว่าคนพิการเสมือนจะมีพลังพิเศษ" จูนกล่าว "ดังนั้นเราจึงเห็นโอกาสที่จะจับคู่พวกเขากับงานประเภทนี้"
การจับคู่งานดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาสําคัญในประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของสตาร์ทอัพ และกำลังขาดแคลนพนักงานที่สามารถสอนจากการป้อนข้อมูลที่ถูกต้องจํานวนมากเพื่อสร้างออกมาเป็นรูปแบบภาษาไทย
การ label หรือการป้อนและกํากับข้อมูลเกี่ยวข้องกับการระบุข้อมูลดิบ เช่น ไฟล์เสียงหรือวิดีโอ และการเพิ่มป้ายกํากับข้อมูลสําหรับบริบท สิ่งนี้ทําให้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงเรียนรู้จากข้อมูล ซึ่งช่วยให้แอปต่างๆ เช่น บริการแชทบอท และการรับรู้จดจําเสียง (voice recognition)
![]()
จูน-เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ และ นิรันดร์ ประวิทย์ธนา ผู้ร่วมก่อตั้ง ได้พัฒนาหลักสูตรที่สามารถนําเสนอต่อรัฐบาลไทยเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนพิการสามารถปฏิบัติงานได้ดีในฐานะผู้ป้อนข้อมูล หรือ data labeler หลังจากได้รับการพัฒนาทักษะ และสามารถป้อนข้อมูลที่ถูกต้อง วัลแคนร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน 2,000 คน ฝึกสอนทักษะในการป้อนข้อมูล โดย Vulcan Academy ได้ทําหน้าในการฝึกอบรมและให้การทดสอบสําหรับผู้สมัครที่มีศักยภาพ
"ตอนที่เราบอกครั้งแรกว่าเราต้องการจ้างพวกเขาเป็นผู้ปรับคุณภาพข้อมูล พวกเขากลัวนิดหน่อยพวกเขาไม่เคยทำมาก่อน" จูนกล่าว "มีคนบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่สามารถทํางานหลายประเภทได้ เราต้องโน้มน้าวให้พวกเขาเรียนหลักสูตรนี้ แต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้พวกเขาเพราะเขาสามารถบอกคนอื่นว่าพวกเขาทํางานที่มีมูลค่าสูงนี้ได้สำเร็จ"
ปุณพจน์ เอื้อพลิศาน์ หรือวิน เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโสที่พิการทางสายตา ทำงานเป็นพนักงานประจำที่ วัลแคน โคอะลิชั่น เขาช่วยสร้างแพลตฟอร์มที่บุคคลทั่วไปใช้ในการป้อนข้อมูลผ่านการแปลงคําพูดเป็นข้อความและกระบวนการอื่นๆ และนับเป็นส่วนสําคัญในการช่วยบริษัทที่กําลังพัฒนาโปรแกรม AI หลังจากนี้เป็นต้นไป
"ผมชอบพวกเรื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก"วินกล่าว "ผมตั้งใจลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หลังจากสําเร็จการศึกษาผมก็ได้พบกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่วิจัยที่วัลแคน และเขาบอกผมว่าเขาต้องการจัดตั้งแผนกวิศวกรรมของคนพิการ ดังนั้นผมจึงเข้าร่วมทีมและเราทําผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มมากมายโดยเปิดให้ผู้พิการที่ฝึกสอน AI ใช้ระบบของเรา นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการที่เราทําร่วมกับองค์กรภายนอกอีกด้วยครับ"
ภารกิจระดับโลกของไมโครซอฟท์ในการช่วยให้ทุกคนและทุกองค์กรบนโลกใบนี้ให้ประสบความสําเร็จมากขึ้นได้หยั่งรากลึกผ่าน AI for Good ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลกของเรา โดยดึงเอาความสามารถทางเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบจากแพลตฟอร์ม Microsoft Cloud และ AI เพื่อทําให้โลกมีความยั่งยืนและเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยี
วัลแคน โคอะลิชั่น ไม่เพียงแต่ ได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ ในการนำ AI เข้ามาสร้างโอกาสให้ผู้พิการ แต่วัลแคนยังได้รางวัลชนะเลิศ Thailand Virtual Hackathon จากการพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการสามารถตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย อาการป่วย และเช็คอินเมื่อเข้าสู่สถานที่หรืออาคารต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถใช้กล้องตรวจสอบว่าแต่ละคนใส่หน้ากากอยู่หรือไม่ ด้วยระบบ AI ที่ทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มคลาวด์ Microsoft Cloud
ทีมวัลแคน ได้ให้สมาชิกที่หูหนวกทำการสอน กํากับและฝึก AI โดยฝึกจากข้อมูลภาพ จากการเป็นผู้ชนะในครั้งนั้นไมโครซอฟท์ภายใต้โครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ได้มอบ Cloud credit ให้เป็นมูลค่า 25,000 ดอลลาร์สหรัฐโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนทางวัลแคน ให้พัฒนาโครงการที่เหมาะสมต่อไป รวมถึงได้ให้คําปรึกษาและการสนับสนุนการสร้างแอปพลิเคชันบนโจทย์ AI for Good และตามด้วยการสนับสนุนให้ผู้พิการนำ IP มาขายอยู่บน Microsoft Azure Marketplace อีกด้วย
"ถ้าไม่มีความช่วยเหลือของไมโครซอฟท์ มันจะยากขึ้นมาก เพราะเราเป็นสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นและก็ยากที่จะได้รับการยอมรับจากองค์กรใหญ่ๆ" จูนกล่าว
ตอนนี้ วัลแคน มีงานที่กำลังทำให้กับธนาคาร แผนกบุคคลของหลายองค์กร และบริษัทรีเทลของแต่งบ้าน โดยการสร้าง AI แชทบอทและ กระบวนการการทำงานที่ใช้ AI เป็นผู้ช่วย โดยมีการใช้งานทั่วประเทศ ทั้งนี้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากบริการ AI ของ Vulcan จะถูกแบ่งให้กับพนักงานเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ในประเทศไทยรัฐมีนโยบายให้บริษัทจ้างพนักงานผู้พิการ 1 คนต่อพนักงานทุกๆ 100 คน ในบางกรณี ที่เนื้องานไม่ตรงกับผู้พิการ หลายๆบริษัท เพียงแค่จ่ายเงินให้กับบุคคลและไม่ได้เสนอโอกาสในการทํางานที่แท้จริง
สําหรับ Vulcan การเป็นพันธมิตรกับ บริษัท ที่กระตือรือร้นที่จะใช้แรงงานที่มีทักษะอย่างแท้จริง ทำให้สามารถประเมินได้ว่าภายในสองปีหลังจากเริ่มโปรแกรม บริษัทจะจับคู่คนพิการ 600 คนเข้ากับงาน AI สําหรับคนทำงานผู้พิการแล้วมันเป็นแหล่งรายได้ที่สง่างาม สร้างโอกาสมากมายจากการได้รับการฝึกฝนทักษะด้านเทคโนโลยีที่มีความต้องการสูง
"พนักงานของเรารู้สึกทึ่งกับโครงการของเรามาก พวกเขาต้องการรู้ว่ามันเป็นอย่างไรและผลงานจะถูกใช้อย่างไรในอนาคต" วิน กล่าว "พวกเขาสนใจและภูมิใจในสิ่งที่พวกเขากําลังทํามากๆ ครับ"
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (คนซ้าย) มอบโล่ประกาศเกียรติคุณในงานวันคนพิการสากล ประจำปี 2564
ปัจจุบันยังมีผู้พิการอีกจำนวนมากที่ขาดโอกาสและขาดการเอาใจใส่ด้านการดำรงชีวิตในสังคม