เมื่อตอนที่ฉันเป็นนักเรียนในปี 1988 ฉันเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ และฉันแย้งว่า AI สามารถตรวจจับรูปแบบได้ดีกว่าการตรวจด้วยตา

ในช่วง 30 ปีต่อจากนั้น หัวข้อนี้แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ยกเว้นในโลกของวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ จนเมื่อปีกว่ามานี่เอง ที่ AI ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะ และมาพร้อมกับเครื่องมือ AI เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่สามารถใช้สร้างเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ได้อย่างฉลาด

ที่จริงแล้ว AI อยู่รอบๆ เรามาระยะหนึ่งแล้ว การค้นหาเว็บแบบง่ายๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ AI หรือการใช้แชทบอท นั่นก็คือ AI แต่เราจะเห็นการเติบโตแบบทวีคูณ ก็ต่อเมื่อมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น และการใช้งานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจะกำหนดรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นพื้นฐานของเรา นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมากกับความท้าทายใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิธีที่เราผลิตและใช้พลังงาน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ รอ AI ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ AI อยู่มากมายก็ตาม แต่ AI ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันกับการจำกัดภาวะโลกร้อนให้หยุดอยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหมือนช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ AI จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น พลังงานทดแทน ยานพาหนะไฟฟ้าและปั๊มความร้อน ตลอดจนซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติและการจัดการอาคารที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการและการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากมองถึงอาคารและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและพลังงานทั่วโลก

ตามรายงานล่าสุดจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ อาคารใหม่ทุกหลังที่สร้างขึ้นในปัจจุบันสามารถเป็น Net Zero ได้จริง โดยใช้การผสมผสานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) รวมถึงเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมการใช้พลังงานได้สูงสุด นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการพัฒนา AI ในอนาคต แต่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ที่เรานำมาใช้ในอาคาร IntenCity ของเราในเมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส และเรายังช่วยให้อีกหลายๆ อาคารนำแนวทางนี้มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้คาร์บอนต่ำ มาปรับใช้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่ในการติดตั้งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและเร็วกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเครื่องมือ AI ใหม่ เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ทันที

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ AI ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังเทอร์โบ

ความตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ AI เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อจับคู่เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับ AR (augmented reality) VR (virtual reality) รวมถึง digital twins และ IoT จะยิ่งทำให้ AI ช่วยให้เราเข้าถึงประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเรื่องของพลังงาน การที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง ตัวอย่างเช่น ไมโครกริดเป็นเครือข่ายไฟฟ้าแบบครบวงจรที่จ่ายไฟให้กับบ้าน ธุรกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยใช้เครื่องกำเนิดพลังงานส่วนตัว (ตามหลักการเป็นพลังงานหมุนเวียน) และการกักเก็บพลังงานในรูปของแบตเตอรี่ โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ เข้ากับระบบสายส่ง (Utility grids) ได้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและต้นทุนของพลังงาน อีกทั้งช่วยคาดการณ์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานอย่างเหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ ทั้งเรื่องการผลิต การกักเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้ ตลอดจนการปล่อย CO2

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ AI และศูนย์ข้อมูล เราจำเป็นต้องมองเพื่อให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI และศูนย์ข้อมูลที่เป็นขุมพลังนั้น จำเป็นต้องอาศัยน้ำและพลังงาน รวมถึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรบ้าง เราคาดการณ์ว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าภายในปี 2571 และสัดส่วนในการใช้งานที่มาจาก AI จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดในเวลานั้น โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์

สิ่งสำคัญก็คือ การใช้ AI จะต้องไม่นำไปสู่ปัญหาด้านพลังงานหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยจัดการกับความท้าทายนี้ โดยการปรับเปลี่ยนการออกแบบและการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เช่น การเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ดีเซลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำความสะอาดสตอเรจ และใช้การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

เร่งดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย AI (และที่ไม่ใช้ AI)

บางคนชอบ AI ในขณะที่บางคนกลัว AI แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม พลังการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นยิ่งใหญ่กว่าการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตในทศวรรษ 1990 เสียอีก และ AI ก็เหมือนกับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างมีจรรยาบรรณและรับผิดชอบ โดยให้ขุมพลังที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้ความคล่องตัวในการทำงาน มากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายปลายทางของผลลัพธ์ เป็นตัวช่วยมากกว่าการนำมาทดแทนผลลัพธ์จากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองคุณภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ AI มาเบี่ยงเบนเราจากการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มี AI ก็ตาม เราก็ยังสามารถติดตั้งฟาร์มกังหันลมและสถานีชาร์จ EV ได้มากขึ้น และใช้เครื่องมือดิจิทัลที่มีอยู่ปรับปรุงวิธีการออกแบบ สร้างและดำเนินการด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย รวมถึงการบำรุงรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม AI จะเป็นตัวเร่งที่จำเป็นและให้ขุมพลังแก่เทคโนโลยีที่มีอยู่ ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของเราในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

CR: ปีเตอร์ เฮอเว็ด  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ชไนเดอร์ อิเล็กทริก

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) จับมือชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งสู่การเป็นดิจิทัลยูทิลิตี้ และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมเตรียมระบบรองรับตลาดไฟฟ้าเสรีในอนาคต ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (คปศ.) โดยใช้เทคโนโลยี EcoStruxure™ ADMS (Advanced Distribution Management System) ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่สามารถวิเคราะห์ และสนับสนุนการสั่งจ่ายไฟฟ้าที่มี DERs (Distributed Energy Resources) กระจายตัวอยู่ในระบบส่งและระบบจำหน่าย ให้พนักงานศูนย์ควบคุมการจ่ายไฟ สามารถควบคุมระบบไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพ ความมั่นคงและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ให้บริการของ PEA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการขยายขอบเขตเพื่อมุ่งเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาทิ การเป็น Distribution System Operator (DSO) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบไฟฟ้าเสรีในอนาคต

PEA มีเป้าหมายสูงสุดในมิติด้านความยั่งยืน คือ การให้ประชาชนในประเทศเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าสะอาดและมีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างความสมดุลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตควบคู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างยั่งยืน โดย EcoStruxure™ ADMS ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับงานควบคุมการสั่งการจ่ายไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ และเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นพลังขับเคลื่อนสู่การเป็น Digital Utility ตามวิสัยทัศน์ “SMART ENERGY FOR BETTER LIFE AND SUSTAINABILITY ไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

ในปัจจุบัน กฟภ. กำลังดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (คปศ.) และพร้อมเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่เป้าหมายดิจิทัลยูทิลิตี้ และ Green Grid โดยใช้เทคโนโลยี EcoStruxture ADMS ที่มี Software Module สำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดการแหล่งพลังงานแบบกระจายตัว (DERMS) และช่วยในการสนับสนุนให้บริการทางด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเทคโนโลยีข้างต้นจะเป็นระบบหลักของสายงานปฏิบัติการและบำรุงรักษา ที่มีการเชื่อมโยงระหว่างระบบบริหารจัดการการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (OT) และ ระบบบริหารจัดการข้อมูลด้านสานสนเทศ (IT) เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ ได้มีไฟฟ้าใช้ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และขับเคลื่อนธุรกิจต่างๆ ได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งยังช่วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถบรรลุเป้าหมายแห่งชาติในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ตามแผนงานในอนาคตอีกด้วย

นายปราโมทย์ สุดทรัพย์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เผยว่า “แพลตฟอร์ม EcoStruxture ADMS ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นำเข้ามาใช้งานทดแทนระบบเดิมในเร็วๆ นี้ โดยจะเข้ามามีบทบาทในการช่วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถไปสู่เป้าหมายในการเป็นดิจิทัลยูทิลิตี้ได้อย่างราบรื่น เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายแห่งชาติ ในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ และยังนำไปสู่การเตรียมพร้อมรองรับตลาดไฟฟ้าเสรีที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยตามนโยบายของภาครัฐในอนาคต เรามองว่าการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาวะการปัจจุบัน รวมถึงความพร้อมในการขยับขยาย และการปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้รองรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง”

PEA มีนโยบายการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ ในการให้บริการทางด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าที่หลากหลาย และตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมให้มีแหล่งพลังงานทางเลือกมากขึ้นเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากแผนปฏิบัติการลดก๊าชเรือนกระจกของประเทศ สาขาพลังงาน ปี พ.ศ. 2564- 2573 ของกระทรวงพลังงาน จึงเร่งเดินหน้าเต็มที่ทั้งเพื่อประชาชน และเพื่อประเทศเพื่อสร้างภาพรวมด้านพลังงานที่ยั่งยืน

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟของ กฟภ. โดยศูนย์ PEA ADMS Control Center เป็นศูนย์ควบคุมส่วนกลางด้านไฟฟ้า ด้วยโซลูชั่น ADMS ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มั่นใจได้ว่า จะช่วยให้ประเทศไทยได้ใช้พลังงานได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย ช่วยให้ กฟภ. สามารถมองเห็นความเป็นไปของระบบไฟฟ้าได้ทั้งระบบ พร้อมการวิเคราะห์ การคาดการณ์แนวโน้ม สามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น เมื่อต้องมีการเชื่อมต่อกับไมโครกริดผู้ให้บริการรายต่างๆ ในอนาคต ช่วยให้ระบบไฟฟ้าของประเทศมีความยั่งยืน เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศในภาพรวม เพราะพลังงานเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในการหล่อเลี้ยงธุรกิจทุกอุตสาหกรรมของประเทศ”

นอกจากนี้ ภายในงานยังมี นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และนายอเล็กซิส เกรนอน รองประธานอาวุโส ธุรกิจดิจิทัลกริด จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมถึงผู้บริหารอีกหลายท่านมาร่วมแสดงความยินดีกับการนำร่องใช้งาน ศูนย์ PEA ADMS Control Center ซึ่งกำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการและใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชัน ประกาศถึงการเพิ่มฟีเจอร์ครั้งสำคัญใน TeSys™ island โซลูชันระบบบริหารจัดการโหลดดิจิทัลได้หลากหลาย

สำหรับหลายคนที่ตอนนี้ไม่ได้นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ ความคิดที่จะออกแบบห้องว่างให้เป็นพื้นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอาจเป็นเรื่องน่าหนักใจ และมีคำถามตามมา เช่น เราจะต้องอัพเกรดแบนด์วิดธ์หรือไม่ เรื่องนี้อาจเป็นความกังวลพื้นฐานเมื่อทุกคนในครอบครัวต้องทำงานที่บ้านในตอนนี้ (พร้อมกับทุกคนที่อยู่ในละแวกบ้านเช่นกัน) และใช้เน็ตไปกับการดูวิดีโอผ่านยูทูบ เล่นเกมออนไลน์ และฟังเพลง

X

Right Click

No right click