เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (Federal Express Corporation) หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดตัวคู่มืออีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน 2 ฉบับ เพื่อส่งเสริมลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (SMEs) ในประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก1 ด้วยการนำเข้าและส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่แข็งแกร่ง มอบโอกาสทางธุรกิจที่กว้างขวางให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs โดยผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดจีนและญี่ปุ่น จำเป็นต้องทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมผู้บริโภคในโลกดิจิทัล ความนิยมของผู้บริโภค และการขนส่งของตลาดแต่ละประเทศ เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจของตนอย่างยั่งยืน
FedEx มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง พร้อมนำความรู้และประสบการณ์มาพัฒนาคู่มืออันเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทางเว็บไซต์ FedEx โดยภายในคู่มือประกอบด้วย:
“การค้นหาและเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ในตลาดระดับนานาชาติถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ดึงดูดผู้บริโภคและสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน สื่อดิจิทัลช่วยลดอุปสรรคและเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าใจข้อมูลเชิงลึกและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดและขาดไม่ได้ในการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางบทบาทของอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” คาวาล พรีท ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเฟดเอ็กซ์ กล่าว “ประเทศจีนและญี่ปุ่นนับเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทางบริษัทฯ ได้ต่อยอดประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการดำเนินกิจการภายในประเทศเหล่านี้มาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งนับเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญสำหรับอีคอมเมิร์ซ ไม่เพียงเท่านี้ เรายังเชื่อมต่อแพลตฟอร์มและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ ผลักดันการส่งมอบแนวความรู้และช้อมูลเชิงลึกที่เป็นเอกลักษณ์ สนับสนุนให้ร้านค้าปลีกสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
“กลุ่มธุรกิจ SMEs ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศไทย เรามุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการผลักดันกลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศให้เข้าใจและสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ คู่มืออีคอมเมิร์ซ 2 ฉบับนี้ รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์เชิงลึกมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันและลักษณะเฉพาะที่สำคัญภายในตลาดประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างครอบคลุม เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs ในประเทศสามารถดำเนินธุรกิจในตลาดอีคอมเมิร์ซระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เจตนารมณ์ในการผลักดันผู้ประกอบการ SMEs นี้ สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลไทยในการขยายตลาดสู่ประเทศจีน ส่งเสริมการค้าไร้พรมแดน พร้อมเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง”
“ในปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตและประสบความสำเร็จภายในตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างมาก” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เราเชื่อมั่นว่ากลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศจะสามารถเติบโตภายในตลาดเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืนด้วยคู่มืออีคอมเมิร์ซที่เป็นประโยชน์ โดยคู่มือนี้รวบรวมข้อมูลและการบริการจากความรู้ความชำนาญ รวมถึงเครือข่ายทั่วโลก สะท้อนบทบาทของเฟดเอ็กซ์ในฐานะหนึ่งในพาร์ทเนอร์สำหรับกลุ่มธุรกิจในการขยายตลาดสู่ระดับสากล”
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในระดับภูมิภาคเอเชียและระดับสากล โดยผู้ประกอบการ SMEs ชาวไทยซึ่งคิดเป็น 99% ของผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศไทย2 ต่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านตลาดสินค้าส่งออก อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมการเกษตร รถยนต์ และเครื่องจักรกล ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกหลัก 3 อันดับแรกของประเทศที่สำคัญและน่าจับตามอง ส่งเสริมโอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจ SME ในไทย ให้สามารถก้าวขึ้นสู่เวทีการค้าระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทาง: คู่มือการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซไร้พรมแดนสู่ประเทศจีนและญี่ปุ่น
บริษัท รินไน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำร้อน รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมคุณภาพมาตรฐานระดับสากล เตรียมนำเสนอเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า (Plasma) มาประยุกต์ใช้แบรนด์แรกของไทย ช่วยให้ขจัดกลิ่นควันจากการทำอาหาร แบคทีเรีย ไวรัส และฝุ่นระดับ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อม G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ผลิตและพัฒนาโดย รินไน ประเทศญี่ปุ่น ร่วมโชว์ในงานสถาปนิก’ 67 ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
รินไน (Rinnai) มุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า มีการออกแบบที่ทันสมัย สามารถขจัดได้ทั้งกลิ่นควันจากการทำอาหาร กำจัดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และฝุ่นระดับ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการนำเสนอ G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ผลิตและพัฒนาโดย รินไน ประเทศญี่ปุ่น ที่เน้นไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานและเสริมความแข็งแกร่งด้วยสีดำและการออกแบบอันประณีต จนเป็นซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ขับเคลื่อนความรู้สึกและไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ให้เหนือชั้นและน่าหลงใหล ซึ่งความหมายของ G คือ ตัวอักษรตัวแรกของคำหลายๆ คำที่มีความหมายสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความประณีต อาทิ gland , great , Gold , Grace, Glamorous โดยใช้สีดำที่เป็นองค์ประกอบหลักเพื่อสะท้อนและสื่อถึงความแข็งแกร่ง พร้อมแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ประณีต สำหรับความนิยมของ G-Line ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากบรรดาศิลปินและสไตล์ลิสที่มีชื่อเสียง
รินไน เป็นแบรนด์สินค้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องครัวประเภทเตาฝัง เครื่องดูดควัน เครื่องทำน้ำอุ่น-เครื่องทำน้ำร้อน ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเป็นลำดับต้นของไทยในราคาที่จับต้องได้ โดยในการผลิตมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้ใช้งาน ซึ่ง รินไน เชื่อว่าทั้งหมดนี่ คือ การสร้างสิ่งความยั่งยืนให้แก่แบรนด์ นอกจากนั้น รินไน ยังเป็นแบรนด์ที่มีเครือข่ายทั่วโลก การพัฒนาแบรนด์และผลิตภัณฑ์นั้น มีการดำเนินการอย่างสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละภูมิภาค ภายใต้แนวคิด ‘Good for Person, Good for Region’
สำหรับผู้สนใจเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า พร้อม G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์จากประเทศญี่ปุ่น และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จาก รินไน สามารถเยี่ยมชมได้ที่งานสถาปนิก’ 67 ที่บูธหมายเลข L106 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
คณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น (ต่อไปนี้จะเรียกว่า สมาคมญี่ปุ่น) ร่วมมือกับศูนย์ส่งเสริมผลิตภัณฑ์อาหารญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า JFOODO) และ Japanese Food Export Platform ที่จัดตั้งโดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่น จัดแคมเปญส่งเสริมการขายโดยเลือกใช้คาแรกเตอร์จากการ์ตูนชื่อดังอย่าง DORAEMON มุ่งหวังให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รู้จักกับผลไม้รสชาติแสนอร่อยของญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ป่าไม้ และการประมง รวมถึงอาหาร โดยตั้งเป้าการส่งออกเป็น 2 ล้านล้านเยนในปี 2025 และ 5 ล้านล้านเยนในปี 2030 ทั้งนี้ ความนิยมของผลไม้ญี่ปุ่นในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะแอปเปิ้ล และสตรอเบอร์รี่ จึงคาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลไม้ญี่ปุ่นมีสีสันที่สดใส สวยงาม รสชาติหวานฉ่ำจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศทุกวัย อีกทั้งอ้างอิงจากตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ทราบได้ว่าความต้องการทานผลไม้ที่เคยทานในประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะคนไทยเองนั้นก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ด้วยความปรารถนาของสมาคมญี่ปุ่น ที่ต้องการให้ “คนไทยทุกคนคุ้นเคยกับผลไม้ญี่ปุ่นที่แสนอร่อยมากขึ้น” สมาคมญี่ปุ่นจึงจัดแคมเปญประจำปี 2023 ขึ้นในคอนเซ็ปต์ “ผลไม้พรีเมียมสำหรับเด็กๆ” โดยนำคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนอมตะที่เป็นที่รู้จักในไทยและทั่วโลกอย่าง DORAEMON มาสร้างสีสัน ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การติดป็อบอัพโปรโมทที่ร้านจำหน่ายผลไม้ญี่ปุ่น การเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ และการให้ข่าวสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ การร่วมมือกับร้านค้าปลีกในไทยรวมถึงเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ รวมถึงการจัดอีเวนต์ชิมผลไม้ญี่ปุ่นในวันเด็กของไทยอีกด้วย
มร. โยชิฮิสะ ฮิชินุมะ ประธานสมาคมญี่ปุ่น กล่าวว่า “ผักและผลไม้ของญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของ ความอร่อย คุณภาพดี และความปลอดภัย จึงได้รับกระแสตอบรักจากลูกค้าทุกท่านจากทั่วทุกมุมโลกที่อย่างสูง ผลไม้ญี่ปุ่นที่เด็กๆ ชื่นชอบ จะช่วยเพิ่มสีสันการรับประทานอาหารให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงคนสำคัญ จึงอยากให้ทุกคนได้ทานผักและผลไม้ตามฤดูกาลที่หลากหลายนี้”
รายละเอียดแคมเปญ
ชื่อแคมเปญ: Japanese Fruit -Color the Family Table
ระยะเวลาแคมเปญ: กันยายน 2023 ถึงมีนาคม 2024
รายละเอียดงาน: เผยแพร่ข่าวสารทางเว็บไซต์ และ เฟซบุ๊ค รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลโดยอินฟลูเอนเซอร์
ความร่วมมือกับร้านค้าปลีกในท้องถิ่นในไทยและเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ อีกทั้ง ยังจัดอีเวนท์ลองชิมผลไม้ญี่ปุ่นในวันเด็กของไทย เป็นต้น
อ้างอิง: เว็บไซต์โปรโมทผลไม้ญี่ปุ่น: https://japanese-fruit.jp/thailand/ Official Facebook ของ Japanese Fruit.: https://www.facebook.com/JapaneseFruitsTH
เกี่ยวกับคณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น
Japan Fruit and Vegetables Export Promotion Council (JFEC)
คณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นสมาคมจัดตั้งทั่วไป (General incorporated association) ที่รวบรวมและให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกที่จำเป็นสำหรับการส่งออกผักผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูปของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนสมาชิกโดยส่งเสริมการเร่งขยายตัวของการส่งออกผักและผลไม้
โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (Koko Global Hospitality) บริษัทรับบริหารโรงแรมครบวงจรสัญชาติญี่ปุ่น เปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบพร้อมวางโครงสร้างธุรกิจใหม่ ให้บริการบริหารจัดการโรงแรมภายใต้แบรนด์ โคโคเทล (Kokotel), วิฟเทล (VIVTEL), บาย โคโค (by Koko)
และภายใต้แบรนด์เจ้าของโรงแรมเอง ด้วยโมเดล Centralized Operation พร้อมมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘โคโค รีวอร์ด (Koko Rewards)’ ลอยัลตี้โปรแกรม ช่วยมอบความสุขและมอบสิทธิประโยชน์กลับคืนให้ทั้งแขกผู้เข้าพักและเจ้าของโรงแรม ขับเคลื่อนการทำงานด้วยพันธกิจ ‘F+O+W -> GL บริหารจัดการงานแบบเพื่อนแบบครอบครัวด้วยความจริงใจและจริงจังอย่างมืออาชีพ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ว้าวและคุ้มค่า สู่การเติบโตอย่างมั่นคงในฐานะ ‘Professional Operating Firm’ บริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมมืออาชีพในอุตสาหกรรมโรงแรม เตรียมพร้อมเป็นแบรนด์บริหารโรงแรมระดับสากล ใน 6 ทวีป 10 ประเทศ และมีโรงแรมในเครือรวม 1,000 แห่ง
เรย์ มัทสึดะ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด เผยว่า บริษัทเริ่มต้นธุรกิจขึ้นในปี 2558 จากการบริหารโรงแรมแบรนด์ ‘โคโคเทล’ และมีการต่อยอดขยายธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งในส่วนงานบริหารโรงแรมแบบครบวงจร ด้วยระบบการจัดการโรงแรมจากส่วนกลาง (Centralized and Property Operation Management) รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม อาทิ Sales & Marketing, Branding และอื่น ๆ ก่อนมีการเติบโตและพัฒนาแบรนด์โรงแรมใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของโรงแรมในทุกเซกเม้นต์
จากความสำเร็จนั้น ทำให้ในปัจจุบันบริษัทได้ขยายการให้บริการและมีโรงแรมที่บริหารในมือมากกว่า 20 แห่งในประเทศไทย จนเกิดการต่อยอดครั้งสำคัญนำมาสู่การยกระดับจากเดิมที่เป็นเพียงแบรนด์โรงแรม ไปสู่การจัดตั้งบริษัทรับบริหารโรงแรมครบวงจรอย่างเต็มตัว ในชื่อ ‘บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด’ (Koko Global Hospitality) พร้อมวางโครงสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งประกอบด้วยบริการบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ ดังต่อไปนี้
● โคโคเทล (Kokotel) แบรนด์โรงแรม 3 ดาว ในคอนเซปต์ Bed & Café สำหรับลูกค้ากลุ่มเพื่อนและครอบครัว
● วิฟเทล (VIVTEL) แบรนด์โรงแรมพรีเมียมไลฟ์สไตล์ 4 ดาว ที่ออกแบบในไอเดีย Our Space สร้างพื้นที่ที่คำนึงถึงทุกความต้องการสำหรับคู่รัก และมีล็อบบี้ที่ดีไซน์ด้วยธีม Wine Bar
● บาย โคโค (by Koko) บริการบริหารจัดการโรงแรมแบบครบวงจร โดยบริหารภายใต้แบรนด์ของเจ้าของโรงแรมและแขกผู้เข้าพักยังสามารถเข้าร่วมลอยัลตี้โปรแกรม ‘โคโค รีวอร์ด (Koko Rewards)’ ที่กำลังพัฒนาอยู่ได้ด้วย
● บริการบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ของเจ้าของโรงแรมเอง
“แนวทางการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา คือการยกระดับธุรกิจไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมในอุตสาหกรรมโรงแรม เราสร้างพันธกิจของตัวเองขึ้นมาตามแนวคิด ‘F+O+W -> GL’ โดยเริ่มจากการบริหารโรงแรมแบบเป็นเพื่อน เป็นคนในครอบครัว บริหารจัดการงานด้วยความจริงใจและจริงจังอย่างมืออาชีพ และในฝั่งเจ้าของโรงแรมก็จะได้ว้าวกับผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งในท้ายที่สุดบริษัทจะเติบโตอย่างมั่นคงไปสู่ระดับโลกและได้รับการยอมรับในฐานะ ‘Professional Operating Firm’ ของธุรกิจโรงแรม”
เรย์ เสริมว่า เพื่อให้บริษัทมีมาตรฐานการบริหารโรงแรมและให้คำปรึกษาได้อย่างมืออาชีพ เราจึงได้ออกแบบโมเดลธุรกิจที่เรียกว่าการบริหารโรงแรมแบบจัดการจากส่วนกลาง หรือ Centralized and Property Operation Management ซึ่งจะรวมการจัดการไว้ที่สำนักงานใหญ่ (Headquarter) ไม่ว่าจะเป็นแผนกการขาย แผนกสำรองห้องพัก แผนกการตลาด แผนกจัดการรายได้ แผนกจัดซื้อ แผนกบัญชี และแผนกไอที เพื่อบริหารโรงแรมในเครือทั้งหมด
ทำให้พนักงานที่อยู่ประจำที่โรงแรมจึงเป็นพนักงานที่เกี่ยวข้องกับงานส่วนปฏิบัติการเท่านั้น อาทิ แม่บ้าน เชฟ ช่างซ่อมบำรุง พนักงานต้อนรับ โดยจะมี Resident Master ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างสำนักงานใหญ่ (Headquarter) จึงเรียกได้ว่าโมเดลธุรกิจ Centralized and Property Operation Management สามารถช่วยลดต้นทุนจากการว่าจ้างพนักงานและสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับเจ้าของโรงแรม ตอบโจทย์โรงแรมขนาดกลาง ที่มีจำนวนห้องพักอยู่ระหว่าง 50-200 ห้อง ซึ่งแตกต่างจากการบริหารโดยแบรนด์โรงแรมขนาดใหญ่ที่มีค่าบริการส่วนบริหารงานและมีค่าต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) จากการว่าจ้างพนักงานประจำในโรงแรมสูง
ทั้งนี้ การรวมแบรนด์โรงแรมทั้ง 3 มาไว้ในบริษัทเดียวกัน ทำให้บริษัทสามารถสร้างอีกความว้าวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแขกผู้มาใช้บริการ ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘โคโค รีวอร์ด’ (Koko Rewards) ลอยัลตี้โปรแกรมที่ให้ทุกแบรนด์ภายใต้การบริหารของโคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ สามารถเข้าร่วมได้ทั้งหมด โดยแขกผู้เข้าพักจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการเข้าพักโรงแรมในเครือกว่า 2,000 ห้อง ในขณะที่เจ้าของโรงแรมจะได้รับกลุ่มลูกค้า Repetition Guest เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่าแพลตฟอร์มนี้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเพิ่มรายได้ให้กับเจ้าของโรงแรม อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการทำตลาดได้อย่างมหาศาลอีกด้วย โดยโคโค รีวอร์ด จะมีแผนจะเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้นี้
ด้านของ โยชิคัตสึ ทามุระ ผู้อำนวยการ บริษัท Relo Group, Inc. หนึ่งในนักลงทุนของ โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และด้วยการยกระดับนโยบายเดินหน้าเปิดประเทศของภาครัฐได้ช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยเติบโตทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง สร้างผลดีต่อธุรกิจโรงแรม อีกทั้งโรงแรมขนาดกลาง จำนวนห้องพัก 50-200 ห้อง ยังเป็นตลาดที่ไม่มีกลุ่มทุนโรงแรมขนาดใหญ่เข้ามาแข่งขัน ซึ่งโมเดลธุรกิจ Centralized and Property Operation Management เป็นโมเดลที่สามารถแก้ไขอุปสรรคด้าน
ค่าใช้จ่ายและช่วยสนับสนุนเจ้าของโรงแรมกลุ่มนี้ได้ ทำให้มีช่องว่างในการเติบโตค่อนข้างมาก Relo Group จึงตัดสินใจร่วมลงทุนในบริษัทและเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะเติบโตเป็นบริษัทรับบริหารโรงแรมในระดับโลกต่อไป
เรย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือบริษัทมองว่าความสำเร็จของเจ้าของโรงแรมคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุด บริษัท จึงได้ตั้งแนวคิดให้บุคลากรทุกคนรู้คุณค่าของตัวเอง และนำคุณค่านั้นมาปฏิบัติต่อลูกค้าในทุก ๆ ด้าน อาทิ การชี้ถึงจุดที่ต้องพัฒนาร่วมกัน การเชื่อในความสามารถของอีกฝ่าย ทำงานร่วมกันด้วยความจริงใจและเคารพกัน รวมถึงความตั้งใจทำทุกหน้าที่ให้สำเร็จและติดตามผลอยู่เสมอ
“ความจริงใจเหล่านี้ เป็นสิ่งที่บริษัทมีให้เจ้าของทุกโรงแรมที่เข้าไปบริหารเพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงจากการไม่มีความรู้ในการบริหารสู่การบริหารที่ชำนาญ ให้โรงแรมโตเองได้แม้ไม่มีเวลาบริหาร และได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ”
นายสรรเพชร นิลรัตน์ (ซ้ายสุด) กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ถ่ายภาพร่วมกับ มร.ทากาชิ ฮาเซกาว่า (ที่ 3 จากขวา) ผู้บริจาคทุนการศึกษาภายใต้กองทุน "ฮาเซกาว่า เรียว” (HASEGAWA Ryo Fund) แก่นักเรียนไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยากจนภายใต้การดูแลของมูลนิธิตั้งแต่ปีการศึกษา 2565-2571 จำนวน 231 คน ในโอกาสเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมาร่วมประชุมและดูการดำเนินงานของมูลนิธิ
โอกาสนี้นายธัญญากร รัตนประสิทธิ์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ทุนการศึกษา และนายอนุชาติ คงมา (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายกิจการฝ่ายต่างประเทศมูลนิธิ EDF ร่วมถ่ายภาพด้วย
อนึ่งมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลจดทะเบียนลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนที่ด้อยโอกาสด้วยการมอบทุนการศึกษาและจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ โดยได้รับการยอมรับจากหน่วยงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศและได้รับรางวัล เช่น ประกาศนียบัตรรับรอง CAF International Vetted Organization จาก CAF International ที่มอบให้องค์กรสาธารณกุศลทั่วโลกที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการดำเนินงานครอบคลุมหลักธรรมาภิบาล เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่จดทะเบียนถูกต้อง รายงานการเงินประจำปีมีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ เงินบริจาคและเงินสนับสนุนที่ส่งมอบให้มูลนิธินำไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริง รางวัลยอดเยี่ยมองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งประเทศไทยประเภทองค์กรขนาดใหญ่จากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ สถาบัน คีนันแห่งเอเชีย และ เดอะ รีซอร์ส อัลลิอันซ์ รางวัลประกาศนียบัตรองค์กรสาธารณกุศลระดับ 5 ดาว จากการดำเนินงานและบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล มีประสิทธิภาพทางการเงิน และมีความโปร่งใสจากสมาคมกิฟวิ่ง แบค รางวัลคนดีต้นแบบคุณธรรมไทยจากสมาคมสหพันธ์คนพิการในประเทศไทย และรางวัลกัลปพฤกษ์ทองคำในฐานะหน่วยงานที่ทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ผู้สนใจร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาหรือจัดกิจกรรมซีเอสอาร์ร่วมกับมูลนิธิ EDF สามารถติดต่อสำนักงานมูลนิธิได้ที่โทรศัพท์ (02) 579 9209-11 (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น.) อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ทาง Line: @edfthai เฟสบุ๊กแฟนเพจ https://www.facebook.com/edfthai หรือเว็บไซต์ www.edfthai.org ทั้งนี้การบริจาคหรือทำกิจกรรมร่วมกับมูลนิธิสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีตามกฎหมาย