

4 เสาหลักองค์กรธุรกิจ “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า - สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย – มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ร่วมกันสร้างพลังผนึก (Synergy) ต่อยอดความสำเร็จ ภายใต้โครงการ Family Business Thailand ให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยเป้าหมายสู่การสร้าง “ธรรมนูญครอบครัวแห่งชาติ” ให้กับธุรกิจครอบครัวไทย และการจัดอบรมให้ความรู้ รุ่นที่ 4 ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ที่จ. สุราษฎร์ธานี
Family Business Thailand สร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้ง โดยในปีนี้ โครงการฯ ได้รับเกียรติจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าร่วมสนับสนุน ในฐานะหนึ่งในสี่พันธมิตรหลักที่สำคัญ เพื่อร่วมสนับสนุนด้านองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเชื่อมโยงโอกาสสู่ตลาดทุน
ทั้งนี้ นับจากการเริ่มต้นโครงการฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 โครงการฯ ได้จัดอบรมให้กับผู้ประกอบการ SMEs มาแล้ว 3 รุ่นที่ กรุงเทพฯ, ชลบุรี และเชียงใหม่ โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในปีนี้ได้จัดการอบรมรุ่นที่ 4 ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่โรงแรมแก้วสมุยรีสอร์ท จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อให้ผู้ประกอบการในภาคใต้ได้เข้าร่วมและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ธุรกิจครอบครัวเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยและเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เราจึงได้ริเริ่มโครงการ Family Business Thailand โดยความร่วมมือกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจครอบครัวไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนในหลายมิติ อาทิ การอบรมสัมมนา การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ และกรณีศึกษาธุรกิจต้นแบบ การจัดทำธรรมนูญครอบครัวเพื่อลดความขัดแย้ง และการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ต้องการพัฒนาการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแนวทางขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน สถาบันการศึกษาและวิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรการบริหารธุรกิจครอบครัว รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนอื่น ๆ ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจครอบครัว ซึ่งความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวไทยสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน”
ขณะที่ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และ สภาหอการค้าแห่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ธุรกิจครอบครัวมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) คิดเป็น 71.23% ทว่า ในทางปฏิบัติ ธุรกิจครอบครัว ส่วนใหญ่มักมีปัญหาการส่งต่อธุรกิจ โดยมีสาเหตุที่สำคัญจากความไม่เข้าใจของสมาชิกในครอบครัวที่มีช่องว่างระหว่างรุ่น (Generation Gap) กันอยู่มาก ฉะนั้น การมีกลไกหรือวิธีการจัดการ นั่นก็คือการสร้าง “ธรรมนูญครอบครัว” เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งการจัดตั้ง “สภาครอบครัว” เพื่อเป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาก็จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น โครงการ Family Business Thailand จึงนับ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจเรื่องการสร้างธรรมนูญครอบครัว อีกทั้งยังสามารถแบ่งปันประสบการณ์จากธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวอื่น ๆ ใช้เป็นกรณีศึกษาได้ อีกทั้งยังจะสามารถต่อยอดสู่เป้าหมายของการพัฒนา “ธรรมนูญแห่งชาติ” ในอนาคตสำหรับธุรกิจครอบครัวในระดับมหภาคอีกด้วย
ในทางปฏิบัติ “คนรุ่นใหญ่” ในธุรกิจครอบครัวเองก็ต้องรับฟัง “คนรุ่นใหม่” ด้วยความเข้าใจ อีกทั้งทำหน้าที่ต้องให้แง่คิด มุมมองต่าง ๆ ที่ดี มิใช่การสั่งเพียงอย่างเดียว เพื่อช่วยประคับประคองและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น และจะส่งผลให้การสืบทอดหรือการส่งต่อธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้น องค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักเหล่านี้จึงย่อมจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัว และทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้กับทุกครอบครัวได้ดำเนินธุรกิจให้เติบโตยิ่ง ๆ ขึ้นไป”
นอกจากนี้ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย องค์กรพันธมิตรใหม่ล่าสุดของปีนี้ได้กล่าวเสริมว่า
“การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจครอบครัวจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ Family Business Thailand ซึ่งมีแนวทางการสนับสนุนในหลายมิติ เช่น การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารและการวางแผนสืบทอดกิจการ การให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลและโครงสร้างธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ การสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัวและเศรษฐกิจไทยนั้น
ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ เราได้พัฒนา LiVE Platform ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถเข้าถึงหลักสูตรเฉพาะด้าน อาทิ การบริหารจัดการภายใน การปรับโครงสร้างธุรกิจ การวางแผนมรดก และการสร้างกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และในวาระครบรอบ 50 ปีของตลาดหลักทรัพย์ฯ เราได้ขยายความร่วมมือด้านงานวิจัยเพื่อสนับสนุนให้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจัดทำงานวิจัยที่เชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวกับตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่า ในกลางปี 2568 จะมีผลงานวิจัยที่ช่วยเสริมสร้างแนวทางการพัฒนาให้ธุรกิจครอบครัวไทยเติบโตอย่างมั่นคง ภายใต้ปณิธานของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งมั่นร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ธุรกิจครอบครัวไทยก้าวสู่ความมั่นคงและยั่งยืน”
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงโครงการฯ นี้ในฐานะของสถาบันการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจครอบครัวมานับทศวรรษว่า
“การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในทุกยุคทุกสมัย ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยการกำหนดนโยบาย ของภาครัฐ หากแต่ยังต้องอาศัยพลังขับเคลื่อนจากภาคธุรกิจ ซึ่งในบริบทของประเทศไทยก็เช่นเดียวกับ นานาประเทศ ธุรกิจครอบครัวถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการวางรากฐานอย่างมั่นคงและดำเนินกิจการสืบทอดต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน”
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยตระหนักถึงบทบาทของตนในการช่วยขับเคลื่อน ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้มีศักยภาพมากขึ้น ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการผลิตองค์ความรู้ งานวิจัย และกรณีศึกษาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ
ในโอกาสนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ผสานความร่วมมือกับ สภาหอการค้าไทย ซึ่งมีเครือข่ายสมาชิกกว่า 200,000 ราย กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดนโยบายและส่งเสริมภาคธุรกิจ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีธุรกิจครอบครัวจดทะเบียนอยู่เป็นจำนวนมาก ความร่วมมือระหว่างทั้งสี่หน่วยงานนี้จึงย่อมจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจครอบครัวไทยในทุกระดับ ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ อีกทั้งจะสามารถนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนและสามารถเดินหน้าสู่เป้าหมายของการสร้าง “ธรรมนูญครอบครัวแห่งชาติ” ให้กับธุรกิจครอบครัวไทยในอนาคตอีกด้วย”
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ทางเว็บไซต์ www.dbd.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 02 5475985 หรือสายด่วน 1570
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการยกย่องให้เป็น Thailand’s Top Corporate Brands 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการออนไลน์ โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดในหมวดธุรกิจการแพทย์ ประจำปี 2567 ด้วยมูลค่าแบรนด์ 123,342 ล้านบาท และมีมูลค่าแบรนด์สูงสุดเป็นอันดับ 3 จาก 15 องค์กรชั้นนำที่ได้รับรางวัลในหมวด Thailand’s Top Corporate Brands 2024
ภายในงาน ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้มอบรางวัลเกียรติยศภายในงาน “ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024” โดยทีมผู้บริหารของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นำโดย ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เข้ารับรางวัล และร่วมเสวนาพิเศษในหัวข้อ “What Actions Can Leaders Take to Achieve the Corporate Brand Sustainability?” พร้อมด้วย ศ. (กิตติคุณ) ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ และ ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หลักสูตรปริญญาโทด้านการจัดการแบรนด์และการตลาด ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ร่วมแสดงความยินดี

สำหรับ ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2024 คืองานประกาศผลมูลค่าแบรนด์องค์กรแห่งปี ซึ่งจัดโดยหลักสูตรปริญญาโทด้านการจัดการแบรนด์และการตลาด ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการออนไลน์ เพื่อมอบรางวัลให้แก่องค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของประเทศไทยและในอาเซียน ประจำปี 2567 ซึ่งนับเป็นปีที่ 15 ของการเผยแพร่ผลงานวิจัยการประเมินมูลค่าแบรนด์องค์กร ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือ CBS Valuation เพื่อวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรในปี 2567 ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของไทยและของประเทศใน ASEAN 6 ประเทศ โดยนำตัวเลขจากงบการเงินของบริษัทที่ผ่านเกณฑ์มาคำนวณมูลค่าโดยสูตร CBS Valuation ที่พัฒนาขึ้นจากการบูรณาการด้านการตลาด การเงิน และการบัญชี

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ กล่าวว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มุ่งหวังที่จะเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด โดยการส่งมอบประสบการณ์การรักษาที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล ก้าวถึงความเป็นเลิศในการปฏิบัติการ ด้วยการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถของทีมงานสหสาขาวิชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงสร้างรากฐานองค์กรอันแข็งแกร่ง นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
นายสุรพงษ์ สาเรชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีพีเอส เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ BPS พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ คุณภัทรมน พิธุพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสรรหาและพัฒนาบริษัทจดทะเบียน เอ็ม เอ ไอ พร้อมทีมงานฝ่ายผู้ออกหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในโอกาสมาแนะนำข้อปฏิบัติต่างๆและกิจกรรมใหม่ๆ เพิ่มเติมของตลาด mai พร้อมเยี่ยมชมกิจการของบริษัท เมื่อเร็วๆนี้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงาน กำหนดแนวคิด Make it “Work” for Every Future - ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน มุ่งเน้นเดินหน้าสู่เป้าหมายอนาคต ในการยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค โดยขยายโอกาสระดมทุนสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ บริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในไทย SMEs Startups โดยเน้นสร้างศักยภาพในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ (New Economy) ต่อยอดจากจุดแข็งเดิมของประเทศ พร้อมพัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน นอกจากนี้ จะเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนความยั่งยืนทุกมิติ นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมและอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มเปิดให้มีการซื้อขายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 และก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงานในปีนี้ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นตลาดทุนแห่งอนาคตที่สนับสนุนผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม โดยกำหนดแนวคิดสำหรับการก้าวสู่ปีที่ 50 ว่า Make it “Work” for Every Future - ร่วมสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน ทั้งการสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์เป้าหมายอนาคตของผู้ออมและผู้ลงทุน เป็นกลไกให้ภาคธุรกิจเข้าถึงโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม และอนาคตของสังคมไทยอย่างยั่งยืน

“มองไปในอนาคต ตลาดทุนจะยังพบความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องทั้งจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ ความต้องการของภาคธุรกิจและผู้ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันที่เข้มข้น ตลอดจนเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสร้างอนาคต เพื่อโอกาสของทุกคน โดยมองบทบาทที่จะเปลี่ยนไปและมุ่งสู่เป้าหมายอนาคต ใน 5 ด้าน 1) ยกระดับสู่ตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค ทั้งในด้านการเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการเพิ่มเติมทางเลือกการลงทุนต่างประเทศผ่านกลไกตลาดทุนไทย 2) ขยายโอกาสการระดมทุน ให้บริษัททุกขนาดในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ (Mega Family Business) บริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (New Economy) และ SMEs Startups พร้อมส่งเสริมการพัฒนา Data Platform สำหรับบริษัทจดทะเบียน เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ (Data Pools) นำมาต่อยอดเป็นข้อมูลเชิงวิเคราะห์ (Data Analytics) อาทิ Industry Highlights สำหรับเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร 3) พัฒนาตลาดทุนแบบดิจิทัลเข้ามาเสริมตลาดทุนดั้งเดิมที่มีความเข้มแข็งในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนยุคใหม่ 4) เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานและการกำกับดูแล และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนที่แข็งแกร่ง โดยพิจารณาในการนำเทคโนโลยี AI และ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนางานในหลายด้านเพิ่มขึ้น เช่น ระบบกำกับดูแลการซื้อขายและบริษัทจดทะเบียน ระบบช่วยนักวิเคราะห์ในการจัดทำบทวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก ระบบแปลเนื้อหาข้อมูลบริษัทจดทะเบียน หรือความรู้ด้านการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติ รวมทั้งแนะนำบริการด้านต่าง ๆ ตามโจทย์พฤติกรรมผู้ลงทุน (Personalization) เป็นต้น และ 5) ขับเคลื่อนความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมบริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุน และบุคลากรตลาดทุน ให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสจากประเด็นความยั่งยืน และพัฒนาการของกฎเกณฑ์กำกับใหม่ ๆ อาทิ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และสิทธิมนุษยชน (Human Rights)” นายภากรกล่าว

ตลอด 5 ทศวรรษ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาธุรกิจและตลาดทุนต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการระดมทุนสำหรับธุรกิจทุกขนาดทั้งในภาวะปกติและวิกฤต ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 850 บริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 17.4 ล้านล้านบาท จำนวนผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุดที่กว่า 5.8 ล้านบัญชี และพัฒนาสินค้าบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงต่างประเทศในหลากหลายรูปแบบ อาทิ DR DRx ETF DW ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด และสนับสนุนการทำงานของอุตสาหกรรมตลาดทุน ซึ่งรวมถึงการมีแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล ควบคู่การนำ ESG เป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ และขับเคลื่อนตลาดทุนในมิติต่างๆ การให้ความรู้การเงินการลงทุน ดูแลสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมภาคสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน โดยปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียนไทยเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับสากล
ทั้งนี้ ระหว่างปี 2567-2568 ภายใต้วาระตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 จะมีการจัดกิจกรรมถ่ายทอดพัฒนาการตลาดหลักทรัพย์ฯ อาทิ นิทรรศการ 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ห้องสมุดมารวย หนังสือ 50 ปี “5 Decades of SET” และจัดทำซีรีส์สื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริม ESG ทั้งด้านการขับเคลื่อนภาคเอกชนสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้านสังคมที่มีการดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยสนับสนุนรถพยาบาลแก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เด็กและเยาวชนด้วย Financial Literacy และส่งเสริมสุขภาวะประชาชนผ่านกีฬาเทเบิลเทนนิส และด้านการส่งเสริม CG ภาคธุรกิจ การประกวดงานวิจัยด้าน ESG ที่จะมีขึ้นในปีนี้ รวมทั้งการจัดทำหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ดีลอยท์ ประเทศไทย ผนึก SME D BANK และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านบริการจาก LiVE Platform จัดโครงการ ‘Incubation Program – Road to LiVE’ หลักสูตรเสริมแกร่งสำหรับ SMEs และ Startups เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่ตลาดทุนและสร้างโอกาสในการเติบโต พร้อมโอกาสรับเงินทุนสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) สูงสุด 50,000 บาท
นายวัลลภ วิไลวรวิทย์ Audit & Assurance Partner ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับเกียรติร่วมเป็นที่ปรึกษาโครงการ Incubation Program - Road to LiVE หรือเส้นทางเตรียมความพร้อมสู่ตลาดทุน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D BANK) จัดขึ้นเพื่อเสริมความพร้อมที่สำคัญให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ตอัพไทย (Startups) ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแผนจะเข้าระดมทุนผ่านตลาดทุน ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจ
ความร่วมมือครั้งนี้ ดีลอยท์ ได้ส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญร่วมให้คำปรึกษา แนะนำแนวทางให้ SMEs และ Startups ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถพัฒนาเรียนรู้การสร้างเส้นทางธุรกิจ และสามารถเตรียมความพร้อมในการระดมทุนผ่านกลไกตลาดทุนได้ตามวัตถุประสงค์ หลักสูตรดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่ 26 - 27 มีนาคม 2567 "ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ “Incubation Program - Road to LiVE” ได้เรียนรู้ 4 เรื่องสำคัญคือ การบ่มเพาะเส้นทางธุรกิจ (Incubation) เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง (Driving Change), การสำรวจและวางแผนระบบงาน (Explore) และการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อต่อยอดธุรกิจ (Aspiration) จากผู้เชี่ยวชาญ หลักสูตรการอบรมครอบคลุมตั้งแต่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจสู่ธุรกิจมหาชน การทำแผนธุรกิจ การกำหนดการควบคุมภายใน รวมถึงการดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนอีกด้วย” นายวัลลภ กล่าว
นายโมกุล โปษยะพิสิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D BANK) กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า SME D Bank ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างดีลอยท์ มาอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ให้เตรียมความพร้อมในการเพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดทุน ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าเป็นสมาชิก DX by SME D Bank สามารถเข้าถึงห้องเรียนผู้ประกอบการออนไลน์ ซึ่งจะให้ความรู้โดย Exclusive Coach และได้รับสิทธิเข้าร่วมกิจกรรม “โอกาสธุรกิจสู่ Global Market” พร้อมสิทธิประโยชน์อื่นอีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับเงินทุนสนับสนุนการดำเนินโครงการ จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทอีกด้วย นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ Startups เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ผ่านบริการจาก LiVE Platform แพลตฟอร์มที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจ พัฒนาธุรกิจให้เติบโต เตรียมความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุน และโครงการ Incubation Program – Road to LiVE เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ (LiVE Academy) โดยหวังว่าบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้เรียนรู้กลไกการระดมทุน และการเตรียมพร้อมระบบงานที่สำคัญเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้ธุรกิจ และเข้าร่วมเป็นสมาชิกในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพในตลาดหลักทรัพย์ LiVEx – mai - SET ได้ต่อไป