

เคทีซีผนึกออโรร่า ผู้ค้าทองคำและเครื่องประดับชั้นนำ ปลุกกระแสการออม–ลงทุนทองคำในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เปิดให้ใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับสิทธิ ผ่อน 0% และรับส่วนลดค่ากำเหน็จเมื่อซื้อทองรูปพรรณที่ร้านทอง AURORA ที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2568 – 30 กันยายน 2568
นายวิชชุ รุ่งแสง ผู้อำนวยการสายงานการตลาดทองคำ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ออโรร่ามุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์ซื้อทองยุคใหม่ให้ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยความร่วมมือกับเคทีซีครั้งนี้ จะช่วยให้คนรุ่นใหม่สามารถเริ่มต้นลงทุนในทองคำได้อย่างสะดวก แม้มีงบประมาณจำกัด พร้อมรับสิทธิ์ประโยชน์สุดคุ้มถึง 3 ต่อ เชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขาย และขยายฐานนักลงทุนทองคำรุ่นใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ราคาทองคำที่ผันผวนจะกดดันการซื้อเครื่องประดับในบางช่วง แต่ออโรร่ายังคงแสดงศักยภาพของผู้นำธุรกิจค้าปลีกทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2568 บริษัทมีรายได้รวม 8,876 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 398 ล้านบาท เติบโต 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติ All Time High จากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ พร้อมเชื่อมั่นว่ากระแสราคาทองคำจะยังคงผันผวนสูงในปี 2568 จากแรงหนุนของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค และการที่นักลงทุนหันมาให้ความสนใจทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย”
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับเทรนด์ในปัจจุบัน ผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนต่อยอดสินทรัพย์ต่างๆ ให้งอกเงย มุ่งหวังจะได้รับผลตอบแทนที่ดีและคุ้มค่า จึงแบ่งเงินไปลงทุนในหลากหลายด้าน ซึ่งทองคำก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางเลือกที่ได้รับความสนใจสูง โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวน นอกจากนั้นยังสามารถซื้อสะสมและใช้เป็นเครื่องประดับได้ ทางเคทีซีจึงได้จับมือกับออโรร่า เพื่อคัดสรรสิทธิพิเศษดีๆ สำหรับทองคำรูปพรรณให้กับสมาชิกบัตร ด้วยการใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับสิทธิ์ในการผ่อน 0% ได้นานสูงสุดถึง 10 เดือน หรือหากชำระเต็มจำนวน จะได้รับส่วนลดค่ากำเหน็จสูงสุดถึง 50% ในทุกวันเสาร์ และยังสามารถใช้คะแนนแลกรับส่วนลดเพิ่มถึง 13% ซึ่งสิทธิพิเศษที่เคทีซีได้คัดสรรมาเหล่านี้ หวังว่าจะช่วยให้การถือครองทองคำรูปพรรณเป็นเรื่องง่ายขึ้น คุ้มค่า ในการเข้าถึงสินทรัพย์ประเภททองคำ”
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/gold/aurora หรือติดต่อ KTC PHONE 02 123 5000
สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี คลิกลิงค์ https://ktc.today/apply-card
หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
คุณอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 1 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เข้าเยี่ยมชมธุรกิจ บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) (SMO) โดยมีคุณกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คณะผู้บริหาร SMO พร้อมกับคุณสุริยา ธรรมธีระ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ร่วมให้การต้อนรับ
การลงทุนใน ETF ทองคำพุ่งสูง ผลักดันความต้องการทั่วโลกในไตรมาส 1 ให้เพิ่มมากขึ้น
สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) เปิดเผยรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 โดยระบุว่า ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพื่อการลงทุนของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ที่จำนวน 7.4 ตัน และนับเป็นไตรมาสที่ 1 ที่แข็งแกร่งที่สุดของไทยนับตั้งแต่ปี 2562 ทำให้ความต้องการทองคำภาคผู้บริโภคโดยรวมของไทยที่ประกอบด้วยปริมาณการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำกับความต้องการทองคำเครื่องประดับในไตรมาสที่ 1 นั้นรวมเป็นจำนวน 9.1 ตัน เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเป็นปริมาณความต้องการทองคำภาคผู้บริโภครายไตรมาสที่มีการเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้านความต้องการทองคำโดยรวมทั่วโลกจากทุกภาคส่วน (ซึ่งรวมถึงการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์1 หรือ Over-the-counter: OTC) รายไตรมาสนั้นอยู่ที่ 1,206 ตัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาวะที่ราคาทองคำสูงเป็นประวัติการณ์และทะลุระดับ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ การฟื้นตัวของกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำแท่งสำหรับนักลงทุน ได้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลให้ระดับความต้องการลงทุนทองคำโดยรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าอยู่ที่ระดับ 552 ตัน คิดเป็น 170% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าและเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2565 กระแสเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทั่วโลกนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสแรกและมีปริมาณความต้องการ 226 ตัน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทิศทางราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีนำเข้าที่ผลักดันให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ด้านความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพื่อการลงทุนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงอยู่ในระดับสูงที่จำนวน 325 ตันสำหรับไตรมาสที่ 1 โดยได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนค้าปลีกรายย่อยในประเทศจีนที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและนับเป็นไตรมาสที่สูงที่สุดในประวัติการณ์เป็นอันดับสอง ทั้งนี้นักลงทุนจากฝั่งตะวันออกได้ขับเคลื่อนความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกส่วนใหญ่และช่วยชดเชยกับฝั่งตะวันตกที่ดูอ่อนแอ โดยความต้องการในสหรัฐอเมริกาได้ลดลง 22% ขณะที่ฝั่งยุโรปฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยที่จำนวน 12 ตัน แต่ฐานตัวเลขของไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้านั้นอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ธนาคารกลางยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำสุทธิติดต่อกันเข้าสู่ปีที่ 16 และได้เพิ่มปริมาณทุนสำรองทั่วโลก 244 ตันในไตรมาสที่ 1 ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนในระดับโลกที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แม้ว่าความต้องการของธนาคารกลางจะลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่นับว่ายังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและมีปริมาณสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยรายไตรมาสของสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการซื้อทองคำในระดับที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง
ด้านความต้องการทองคำเครื่องประดับนั้นเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ โดยได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาทองคำที่พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 20 ครั้งในไตรมาสที่ 1 ทั้งนี้ประเทศไทยมีความต้องการทองคำเครื่องประดับปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.7 ตัน เนื่องจากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นสูง ซึ่งนับเป็นการลดลงในระดับปานกลางที่ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ปริมาณความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลกได้ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปี 2563 อย่างไรก็ตามตลาดทองคำเครื่องประดับนั้นยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะหากพิจารณาในแง่ของมูลค่าแม้ว่าจะได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรงจากราคาทองคำที่สูงก็ตาม โดยในไตรมาสแรกพบว่าผู้บริโภคได้ซื้อทองคำเครื่องประดับทั่วโลกเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นจำนวน 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเกือบทุกตลาดมีมูลค่าความต้องการทองคำเครื่องประดับสูงขึ้นยกเว้นในประเทศจีน
ด้านอุปทานทองคำโดยรวมของไตรมาสแรกนั้นทรงตัวในระดับเดียวกันกับปีก่อนหน้าที่จำนวน 1,206 ตัน โดยปริมาณการผลิตจากเหมืองแร่ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาสที่ 1 แต่ปริมาณอุปทานโดยรวมนั้นถูกลดทอนลงจากการรีไซเคิลทองคำที่ปรับลดลงเล็กน้อย ขณะที่ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงทรงตัวที่จำนวน 80 ตัน เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2567

คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “โดยรวมแล้วการลงทุนจากผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียนในรายงานฉบับนี้ยังคงมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับประเทศไทยการคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำในเชิงบวกได้เป็นแรงผลักดันการลงทุนในทองคำ ทำให้ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำของไทยเพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่าหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ความต้องการทองคำแท่งและเหรียฐทองคำจะลดลงก็ตาม เนื่องจากราคาทองคำที่สูงขึ้นได้กระตุ้นให้เกิดแรงขายทำกำไร ด้านความต้องการทองคำเครื่องประดับในไตรมาสแรกของไทยนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามตลาดทองคำของไทยยังคงมีความแข็งแกร่งและชะลอตัวลงในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบางประเทศในอาเซียนที่อยู่ในการศึกษาของเราครั้งนี้”
คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ต้นปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่มีความท้าทายสำหรับตลาดโลก เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้า การประกาศนโยบายของสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องและความกังวลเรื่องสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสำหรับนักลงทุน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความต้องการลงทุนในทองคำสำหรับไตรมาสแรกพุ่งสู่ระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559”
“ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนได้กลับมาลงทุนในกองทุน ETF ทองคำอีกครั้ง โดยได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว และในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าจากทางเอเชียก็ได้พุ่งสูงเกินยอดรวมของทั้งไตรมาสที่ 1 ไปแล้ว อย่างไรก็ตามยังคงมีโอกาสที่การลงทุนใน ETF จะเติบโตได้อีก เนื่องจากปริมาณการถือครองทองคำในกองทุน ETF ทั่วโลกนั้นยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดในปี 2563 อยู่ 10%”
“สำหรับอนาคตข้างหน้านี้สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก็ยังคงคาดการณ์ได้ยาก ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น สภาวะความผันผวนที่ยังคงอยู่ต่อไปนี้อาจทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากทั้งภาคสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และภาครัฐ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้”
เมื่อเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอน การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการรักษาและเพิ่มพูนมูลค่าทรัพย์สินของตนเอง หนึ่งในวิธีการออมที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือการลงทุนในทองคำ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง เติบโต และสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทองคำ คือ สินทรัพย์ที่มั่นคงและมีมูลค่าในระยะยาว
การออมเงินผ่านการฝากธนาคารหรือการลงทุนในกองทุนรวม ถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่ำและสามารถเข้าถึงได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการลงทุนในทองคำ ซึ่งแม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวทองคำมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ในการซื้อทองคำ สิ่งที่ควรให้ความสำคัญนอกเหนือจากราคาทองคำในแต่ละวัน คือ “ค่ากำเหน็จ” ซึ่งเป็นค่าบริการในการผลิตทองรูปพรรณ เช่น แหวน กำไล หรือสร้อยคอ โดยปกติค่ากำเหน็จจะเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับขนาด ลวดลาย และความประณีตของชิ้นงาน หากซื้อทองคำในรูปแบบการลงทุน เช่น ทองคำแท่ง ค่ากำเหน็จจะน้อยกว่าทองรูปพรรณหรืออาจไม่มีเลย (ทองคำแท่งไม่มีค่ากำเหน็จ แต่จะมีค่าบล็อค) ดังนั้นผู้ซื้อควรพิจารณาวัตถุประสงค์ของการซื้อทองให้ชัดเจน หากซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือเก็บไว้เป็นทุนในอนาคต ทองคำแท่งอาจตอบโจทย์ได้มากกว่า ในขณะที่ทองรูปพรรณเหมาะกับการซื้อไว้สวมใส่หรือมอบเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษ และเมื่อต้องการขายจะถูกหักค่าธรรมเนียม ค่ากำเหน็จ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่เกิน 5%* ของราคาซื้อคืนที่กำหนดไว้ตามหลักเกณฑ์ของสมาคมค้าทอง (สคบ.) *หลักเกณฑ์ดังกล่าวใช้เฉพาะกรณีซื้อ-ขายร้านเดิมเท่านั้น
เปรียบเทียบการซื้อทองคำด้วยเงินสดกับบัตรเครดิต
การซื้อทองคำสามารถทำได้ทั้งด้วยเงินสดและบัตรเครดิต ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การซื้อด้วยเงินสด ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้ดี ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ต้องมีเงินก้อนพร้อมจ่ายทันที และอาจเสี่ยงต่อการสูญหายหรือโดนขโมยหากพกพาเงินสดจำนวนมาก การซื้อด้วยบัตรเครดิต ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงิน ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ทันที และสามารถใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่นต่างๆ เช่น ผ่อน 0% ได้รับคะแนนสะสม อย่างไรก็ตาม อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม และหากไม่ชำระเงินตรงเวลา อาจเสียดอกเบี้ยสูง
สิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตที่สนใจลงทุนในทองคำ
เคทีซีร่วมสนับสนุนการออมและการลงทุนของสมาชิกบัตรเครดิต โดยร่วมมือกับร้านทองชั้นนำ เช่น ห้างทองแม่ทองสุก ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ ห้างทองหวังโต๊ะกัง และออโรร่า (Aurora) เป็นต้น มอบสิทธิพิเศษที่หลากหลายเมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี ตามเงื่อนไขที่กำหนด
· ผ่อนชำระ 0%
· ใช้คะแนนสะสมแลกรับเครดิตเงินคืนหรือส่วนลด
การซื้อทองด้วยบัตรเครดิตที่มีแผนผ่อนชำระและสิทธิพิเศษดังกล่าว ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสในการออมอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้สมาชิกสามารถวางแผนการเงินระยะยาวได้ง่ายขึ้น โดยไม่กระทบต่อกระแสเงินสดใน แต่ละเดือน โดยมุ่งหวังให้ทุกการใช้จ่ายของสมาชิกไม่ใช่แค่การจับจ่าย แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่มั่นคง และการมีทองคำติดบ้านก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่า หากมีการบริหารจัดการการเงินที่รอบคอบและเหมาะสม
รายงาน Gold Demand Trends ฉบับล่าสุดจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) เผยทองคำได้รับอานิสงส์จากการซื้อของธนาคารกลางในช่วงครึ่งปีแรกและแรงหนุนจากตลาดการลงทุนที่แข็งแกร่งและความต้องการซื้อเครื่องประดับที่ฟื้นตัว
ความต้องการทองคำทั่วโลก (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) ลดลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ 921 ตัน ในช่วงไตรมาสที่ 2 แม้ว่าดีมานด์โดยรวม (รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) จะเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสะท้อนถึงตลาดทองคำที่แข็งแกร่งทั่วโลก
ในประเทศไทย ดีมานด์ทองคำของผู้บริโภคลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ 7.6 ตัน จาก 8.5 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 การตกลงมานี้เป็นผลจากความต้องการเครื่องประดับที่ลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 1.7 ตัน จาก 1.9 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองคำโดยรวมลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 5.9 ตัน จาก 6.6 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565
Mr. Shaokai Fan หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ราคาทองคำที่สูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ผันผวนรวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทยเป็นเหตุที่ส่งผลให้ดีมานด์ในไตรมาสที่ 2 ลดลง 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี รวมทั้งควมต้องการซื้อเครื่องประดับทองคำลดลงเหลือน้อยกว่า 2 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคเลือกขายคืนเครื่องประดับทองคำมากกว่าซื้อใหม่”
เมื่อพิจารณาสถานการณ์ทั่วโลก ความต้องการของธนาคารกลางในไตรมาสที่ 2 ลดลงมาอยู่ที่ 103 ตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนหลักจากยอดขายสุทธิในตุรกีตามดีมานด์ทองคำที่คับคั่งในประเทศ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางได้ซื้อทองคำจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในครึ่งปีแรกที่ 387 ตัน และอุปสงค์รายไตรมาสเป็นไปตามแนวโน้มเชิงบวกในระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ว่าการซื้อในหน่วยงานภาครัฐ ธนาคารกลาง และองค์กรต่างประเทศ (Official sector buying) จะแข็งแกร่งไปตลอดทั้งปี
ในด้านของการลงทุนในทองคำ ดีมานด์ทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็น 277 ตัน ในไตรมาสที่ 2 และจบรวมที่ 582 ตัน ในครึ่งปีแรก จากการเติบโตของตลาดสำคัญ อันรวมไปถึงสหรัฐอเมริกาและตุรกี อีกทั้งการไหลออกของเงินทุนในกองทุน ETF ทองคำ ซึ่งอยู่ที่ 21 ตันในไตรมาสที่ 2 น้อยกว่าในไตรมาสเดียวกันของปี 2565 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอยู่ที่ 47 ตัน ทำให้การไหลออกสุทธิอยู่ที่ 50 ตันในช่วงครึ่งแรกของปี
ด้านการบริโภคเครื่องประดับยังคงฟื้นตัวแม้เผชิญกับราคาที่สูง โดยเพิ่มขึ้น 3% ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมียอดรวมครึ่งปีแรกที่ 951 ตัน การฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศจีน และการซื้อของผู้บริโภคในตุรกีที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งช่วยหนุนการบริโภคในไตรมาสที่ 2
โดยสรุป ดีมานด์ทองคำรวมทั่วโลกสูงขึ้น 7% มาอยู่ที่ 1,255 ตัน ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าการผลิตจากเหมืองแร่จะทุบสถิติสูงสุดสำหรับครึ่งปีแรกที่ 1,781 ตัน
![]()
Ms. Louise Street นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสประจำสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ความต้องการที่สูงเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางมีอิทธิพลต่อตลาดทองคำในช่วงปีที่ผ่านมา แม้จะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 แต่แนวโน้มนี้ขีดเส้นใต้ความสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องทั่วโลก”
“เมื่อพิจารณาช่วงครึ่งหลังของปี 2566 การหดตัวทางเศรษฐกิจอาจทำให้เกิดการดีดตัวของทองคำเพิ่มเติม ถือเป็นการเน้นย้ำบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยขึ้นอีกขั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ทองคำได้รับแรงหนุนจากความต้องการของนักลงทุนและธนาคารกลาง ซึ่งมาช่วยชดเชยความต้องการที่ลดลงสำหรับเครื่องประดับและเทคโนโลยีจากการประหยัดของผู้บริโภค”