

ในยุคที่หลายคนมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการสร้างรายได้และความมั่นคง การเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น เพราะนอกจากจะให้ความอิสระในการบริหารเวลาและแนวทางการทำงานแล้ว ยังเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ตามความถนัดและความสนใจของตัวเอง ซึ่งการเป็นเจ้าของธุรกิจไม่ได้มีแค่ความน่าตื่นเต้นและโอกาสเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับความท้าทายมากมาย เคอีเอ็กซ์ ขอเป็นเพื่อนคู่คิดที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ พร้อมแนะนำ 5 เคล็ดลับสำคัญที่เจ้าของธุรกิจมือใหม่ต้องรู้
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ จะทำธุรกิจอย่างไรให้ปัง มาฟังคำตอบไปด้วยกัน
1. สร้างแบรนด์ให้โดนใจ
การสร้างแบรนด์เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง เนื่องจากทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันและจดจำแบรนด์ได้ รวมถึงยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างความสำเร็จระยะยาว แบรนด์ที่ดีไม่ใช่แค่โลโก้หรือสีสันสวยงาม แต่คือการบอกเล่าตัวตนและเรื่องราวของธุรกิจ และอย่าลืมสร้างเอกลักษณ์ให้สินค้าหรือบริการที่ไม่เหมือนใคร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
2. เลือกทำเลให้ที่ใช่ มีชัยไปกว่าครึ่ง
ไม่ว่าจะเปิดร้านแบบมีหน้าร้านหรือทำธุรกิจออนไลน์ ทำเลที่ตั้งถือเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ หากเป็นร้านค้าที่มีหน้าร้าน อาจต้องมองหาทำเลที่คนพลุกพล่าน หรือมีโอกาสทางการตลาดสูง เช่น ในเขตชุมชนที่มีคนต้องการใช้บริการ หรือ สถานที่ที่ยังไม่มีคู่แข่ง ส่วนถ้าทำธุรกิจออนไลน์ การมีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย สะดวก และมีระบบการจัดส่งที่ดีก็มีความสำคัญเช่นกัน ดังนั้นคำว่า “ทำเลดี” คือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเข้าถึงร้านเราได้ง่ายขึ้น
3. รู้ใจลูกค้า รู้ทันตลาดยุคดิจิทัล
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจหน้าใหม่หรือหน้าเก่า ต้องหมั่นติดตามเทรนด์ สำรวจความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ ซึ่งการทำความเข้าใจให้รอบด้านจะช่วยให้เรามองเห็นโอกาสทางการตลาดและช่องทางสร้างรายได้ ช่วยให้วางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปัจจุบันธุรกิจค้าขายออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซทั้งเจ้าเล็กเจ้าใหญ่กำลังมาแรง เราอาจไม่จำเป็นต้องไปเปิดร้านขายของออนไลน์แข่งเสมอไป แต่อาจเลือกทำธุรกิจขนส่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากร้านค้าออนไลน์ที่มาแรง นอกจากนี้ การใช้โซเชียลมีเดียส่งเสริมการทำการตลาด โปรโมทสินค้า กับลูกค้าผ่านทางออนไลน์เพื่อสร้างฐานลูกค้าและช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
4. สร้างประสบการณ์ที่ดี มัดใจลูกค้า
ลูกค้าคือหัวใจสำคัญของธุรกิจ ดังนั้น การมัดใจลูกค้ารวมไปถึงการใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การดูแลทีมงาน การต้อนรับ การให้บริการที่ยืดหยุ่นหลากหลาย ไปจนถึงการแก้ไขปัญหา จะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างความประทับใจให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการซ้ำ
5. บริหารเงินเป็น เห็นกำไร
การจัดการด้านการเงินอย่างมีระบบ เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ โดยให้เริ่มต้นจากการประเมินต้นทุนและทำการประมาณรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้รู้ว่าธุรกิจของเราต้องการเงินทุนเท่าไรในช่วงแรก และเมื่อไรเราจะเริ่มเห็นผลตอบแทน รวมทั้งการทำบัญชีที่ดียังช่วยควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยป้องกันปัญหาการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในยุคนี้ที่หลายคนมักมองหาวิธีการลงทุนที่ใช้งบน้อย แต่ได้ผลตอบแทนดี
เปิดโมเดลธุรกิจยุคใหม่ที่น่าจับตา หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรดี การเลือกลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะแฟรนไชส์มักจะมีเซ็ตระบบไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยลดความเสี่ยงในการทดลองตลาดใหม่ ซึ่งหนึ่งในแฟรนไชส์ที่น่าสนใจของยุคนี้คือ เคอีเอ็กซ์ ที่มีรูปแบบการลงทุนที่ยืดหยุ่น มีให้เลือกหลายแพ็กเกจตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจขนาดสบายๆ ถึงแพคเกจแบบจัดเต็ม
· เริ่มต้นเบา ๆ เพียง 3,900 บาท (รูปแบบ SHOP IN SHOP) เหมาะสำหรับคนที่มีเงินทุนจำกัดและไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยง
· เปิดร้านเล็กลงทุนเบาในราคา 8,900 บาท (รูปแบบ STARTER LITE) เหมาะกับคนที่มีอุปกรณ์รับ-ส่งพัสดุอยู่แล้ว โดยทำเลที่แนะนำคือในเขตชุมชน สำนักงาน หรือตลาด
· ชุดพื้นฐานพร้อมเปิดร้าน ราคา 39,900 บาท (รูปแบบ LITE) เหมาะกับผู้ที่ต้องการรูปแบบร้านมาตรฐาน และมีทักษะในการบริหารร้าน ทำเลที่แนะนำคือในเขตชุมชน สำนักงาน ตลาด ใช้พื้นที่ร้านขนาด 10-35 ตร.ม.
· ร้านใหญ่รองรับลูกค้าแบบจัดเต็ม ราคา 79,900 บาท (รูปแบบ STANDARD) เหมาะกับคนที่ต้องการรูปแบบร้านขนาดใหญ่ และมีพื้นฐานการบริหารธุรกิจอยู่แล้ว แนะนำให้เปิดในทำเลที่โดดเด่นอย่างใจกลางเมือง โดยแพ็กเกจนี้ใช้พื้นที่ร้านขนาด 25-50 ตร.ม.
ECOM Thailand แถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดงาน ECOM Thailand Convergence ภายใต้แนวคิด Scale Up To Global งานมหกรรมอีคอมเมิร์ซแห่งปีที่จัดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและยกระดับผู้ประกอบการไทย ให้สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดออนไลน์ระดับสากลได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ งานเดียวที่จะทำให้ผู้ประกอบการทุกคนก้าวไปอีกขั้น เสริมสร้างความรู้รอบด้านในการทำธุรกิจ เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสำหรับ SMEs ไทย พร้อมเปิดโอกาสในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยงาน ECOM Thailand Convergence จะจัดขึ้นในวันที่ 29 กันยายน 2567 เวลา 08.00 - 19.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3

เนตรประวีณ์ ศักดิ์ศรี CEO - 2T Multimedia and Marketing กล่าวว่า "งาน ECOM Thailand Convergence จะเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในวงการ E-commerce เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาธุรกิจของตนเองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างครบวงจร เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันในตลาดโลก"
อรรณพ สลิดบัว CEO - GDK GROUP เสริมว่า "เรามุ่งหวังให้งานนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับ SMEs ไทย เป็นอีกหนึ่งแรงเสริมที่ช่วยในการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการขายในรูปแบบตัวแทน ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
งาน ECOM Thailand Convergence 2024 ตั้งเป้าผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการ SMEs, ครีเอเตอร์, นักศึกษา, ประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งในกลุ่ม Lifestyle & Bank Financial, Manufacturing & Shipping & Software และ Brand & Celebrity" ภายในงานอัดแน่นด้วยความรู้และแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทุกธุรกิจ อัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ พร้อมด้วยการบรรยายจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ อาทิ E-commerce, Live Commerce, Creator's World, Branding และ Business & Financial อีกทั้งมีบูธแสดงสินค้าจากแบรนด์เซเลปและแบรนด์ชั้นนำกว่า 100 บูธ พิเศษด้วยการรวมตัวของครีเอเตอร์กว่า 2,000 คน ที่พร้อมมาส่งต่อและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เทคนิค เพื่อต่อยอดธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไฮไลท์สำคัญของงานมหกรรม ECOM Thailand Convergence ที่จะช่วยผลักดันและแก้เกมส์ธุรกิจให้กับผู้เข้าร่วมงาน ประกอบด้วย
Conference Stage อัพเดทความรู้สู่เทรนด์การทำธุรกิจสมัยใหม่ ที่จะผสานรวม E-Commerce และ Creator Economy เข้าด้วยกันและต่อยอดสู่การขยายไปตลาดโลก
Business Solutions and Future Direction พบทางออกของทุกปัญหาการทำธุรกิจและทิศทางที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตต่อแบบก้าวกระโดด
New Opportunities ขยายโอกาสทางธุรกิจ พบปะกับผู้ประกอบการ ลูกค้า พาร์ทเนอร์ ครีเอเตอร์ ที่พร้อมทำ business matching กับธุรกิจคุณ
Lessons Learned with Workshop Sessions เรียนรู้และลงมือทำจริงผ่านการเวิร์คชอปแบบเข้มข้นและเน้นผลลัพธ์จริง

นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก อุ้ม ลักขณา วัธนวงส์ศิริ ผู้จัดร่วม งาน ECOM Thailand Convergence 2024 ที่มองเห็นโอกาสและทิศทางการเจริญเติบโตของวงการ E-commerce ที่มีทิศทางและกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกยุคปัจจุบัน และไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงก็ล้วนเข้าสู่วงการออนไลน์กันถ้วนหน้า พร้อมด้วยอดีตนางงามจากหลากหลายเวที อาทิ ชนากานต์ ชัยศรี, อิสริยะ อภิชัย, เมลิสา มหาพล, สิริรัตน เรืองศรี,รินทร์ณฐา อัจฉริยวัฒนกุล, ภัทลดา กุลภัคธนภัทร์ และ กฤชภร หอมบุญญาศักดิ์
ชาวอีคอมเมิร์ซและSME ห้ามพลาด! เตรียมพบกับ 16 Workshop ที่หลากหลาย พร้อมยกทัพวิทยากรแนวหน้าของประเทศไทย การันตีสาระดีทุก sessions ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าให้ธุรกิจ Scale up to Global ภายในงานมหกรรม ECOM Thailand Convergence ในวันที่ 29 กันยายน 2567 เวลา 08.00 - 19.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3
ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานผ่านทาง https://forms.gle/vBWK45HjZ3Uh1nuq9 เข้าร่วมได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน Ecom Thailand Convergence ได้ที่ FB: Ecom Thailand Convergence (https://www.facebook.com/ecomthailandconvergence) หรือ Line: @ecomconvergence (https://lin.ee/KonI8Rh)
บริการ Data center ไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในทิศทางเดียวกับเทรนด์โลก ทั้งจากการให้บริการ Public cloud และบริการ Colocation
ความต้องการบริการ Data center เติบโตตามปริมาณการใช้งานข้อมูลที่เติบโตด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคดิจิทัล โดยมูลค่าตลาดให้บริการ Data center ของโลกมีแนวโน้มขยายตัวราว 22%YOY ซึ่งเป็นการขยายตัวของบริการ Public cloud เป็นหลัก เช่นเดียวกับตลาด Data center ของไทย โดย SCB EIC คาดว่า มูลค่าตลาด Data center ของไทยมีแนวโน้มเติบโตราว 24%YOY ในปี 2024 โดยบริการ Public cloud ขยายตัวที่ราว 29%YOY จากปริมาณการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภคที่ยังสูงขึ้นและการใช้เทคโนโลยีที่มากขึ้นขององค์กรขนาดใหญ่ SMEs และ Startups ขณะที่การให้บริการ Colocation ซึ่งเป็นบริการรับฝาก Server ที่ผู้ให้บริการจะจัดเตรียมพื้นที่สำหรับจัดวางอุปกรณ์พร้อมโครงข่ายการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยผู้เช่าจะจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ เองนั้น คาดว่าจะเติบโตราว 14%YOY จากการปรับแผนการจัดเก็บข้อมูลขององค์กรหลายแห่งที่หันมาใช้ระบบ Private cloud มากขึ้น และการขยาย Cloud region ของผู้ให้บริการต่างประเทศในไทย แม้ปัจจุบันการลงทุน Data center ในไทยจะเพิ่มขึ้นมาก แต่การพิจารณานโยบายสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาครัฐ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของอาเซียน
ปัจจุบันสิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลาง Data center ของอาเซียน แต่ด้วยนโยบายจำกัดการก่อสร้างศูนย์ Data center แห่งใหม่ของภาครัฐทำให้การขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลไม่ทันต่อความต้องการใช้งาน ผู้ให้บริการ Data center ในสิงคโปร์จึงเริ่มมองหาประเทศใกล้เคียง ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เพื่อลงทุน Data center แห่งใหม่ ทั้งนี้แม้ไทยเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่น่าสนใจในการลงทุน ทำให้มีการลงทุน Data center ของผู้ให้บริการต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่การพิจารณาสิทธิประโยชน์และนโยบายเพิ่มเติมของภาครัฐ อาทิ การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับ Data center ที่ตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากล และการพัฒนาทักษะบุคลากร จะช่วยเพิ่มโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ไทยก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของอาเซียนได้
Build-to-Suit data center เป็นอีกเทรนด์ของบริการ Colocation ที่ได้รับความสนใจจากองค์กรขนาดใหญ่ที่มีปริมาณข้อมูลเติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้ให้บริการ Cloud service ที่ต้องการตั้ง Cloud region
Build-to-Suit data center เป็นอีกหนึ่งรูปแบบบริการ Colocation ที่ผู้เช่าสามารถกำหนดและออกแบบพื้นที่ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะได้ แต่ใช้เม็ดเงินลงทุนที่น้อยกว่าและยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายภายใต้สัญญาเช่า บริการรูปแบบนี้มีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการ Data center ที่ได้มาตรฐานเทียบเท่ากับการตั้ง Data center ภายในองค์กร รวมถึงผู้ให้บริการ Cloud service ที่ต้องการขยาย Cloud region ในหลายประเทศ เพื่อให้ทันต่อการรองรับความต้องการใช้งาน Cloud และให้การขยายตลาดทำได้รวดเร็ว อีกทั้ง บริการรูปแบบ Buit-to-Suit data center จะสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มั่นคงให้แก่ผู้ให้บริการ Data center จากการทำสัญญาเช่าระยะยาวราว 5-10 ปี ซึ่ง ผู้ให้บริการต้องมีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะทักษะและความเชี่ยวชาญของบุคลากรที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการ
การเติบโตของ Data center ยังส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น จึงทำให้ Sustainability เป็นประเด็นที่ผู้ให้บริการต้องให้ความสำคัญ
Data center เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ทำให้การบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าพร้อมกับการรักษาเสถียรภาพไฟฟ้าเพื่อรองรับช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงสุด (Peak traffic) เป็นความท้าทายสำคัญของผู้ให้บริการ Data center ควบคู่กับการมุ่งสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า การลดการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศ และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด อย่างไรก็ดี การผลักดันผู้ให้บริการ Data center ใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น จำเป็นต้องอาศัยการกำหนดนโยบายรัฐควบคู่ด้วย อาทิ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การสร้างความร่วมมือจากผู้ให้บริการ Data center และการกำหนดมาตรฐานการใช้พลังงาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ Data center ของไทยเข้าใกล้ความยั่งยืนได้มากขึ้น
![]()
ทิศทางการเติบโตของ Data center จากเทรนด์โลกสู่ไทย
ในช่วงที่ผ่านมา มูลค่าตลาดให้บริการ Data center ของโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มขยายตัวราว 22%YOY ในปี 2024 ทั้งจากการให้บริการ Public cloud และบริการ Colocation ตามปริมาณการใช้งานข้อมูลที่เติบโตทั้งจากผู้บริโภค องค์กรต่าง ๆ และภาคธุรกิจ ด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคดิจิทัล จึงทำให้เกิดข้อมูลจำนวนมหาศาลและส่วนใหญ่ล้วนถูกจัดเก็บและประมวลผลบน Data center ที่มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่พร้อมทั้งมีระบบการเชื่อมต่อที่สามารถดึงข้อมูลออกมาใช้งานได้ตลอดเวลา โดย International Data Corporation (IDC) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยข้อมูลการตลาดด้านโทรคมนาคมชั้นนำระดับโลกได้คาดการณ์ปริมาณพื้นที่จัดเก็บข้อมูลทั่วโลกทั้งภายในอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอย่างโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และภายในศูนย์ Data center จะเพิ่มขึ้นจาก 10.1 เซตตะไบต์ (ZB) ในปี 2023 เป็น 21.0 ZB ในปี 2027 หรือราว 18.5% CAGR อีกทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในระยะข้างหน้า
มูลค่าตลาดการให้บริการ Public cloud ของโลกคาดว่าจะเติบโตที่ราว 23%YOY จากการใช้งานข้อมูลที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระแสการใช้งานด้าน AI ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภค ทั้งการเก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างรูปภาพและเอกสารต่าง ๆ และการใช้งาน Social Media, Video/Music Streaming และแอปพลิเคชัน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตราว 21%CAGR ในช่วงปี 2024-2029 ตามรายงานปริมาณการใช้งานข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคทั่วโลกของ Ericsson รวมถึงการใช้งานในภาคธุรกิจและองค์กรที่ปรับใช้เทคโนโลยีมากขึ้น อย่างเช่น Internet of Things (IoT), Robotic, Smart devices และการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) โดยเฉพาะ Generative AI ซึ่งเป็นกระแสที่พูดถึงอย่างมากในปี 2023 และมีแนวโน้มใช้งานเพิ่มขึ้นอีกในระยะข้างหน้าสะท้อนจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,360 รายในช่วง 22 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม 2024 เกี่ยวกับการใช้งาน AI ในองค์กรของ McKinsey พบว่า บริษัทที่มีการใช้งาน AI มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 72% จากการสำรวจในปีก่อนที่ 55% โดยการใช้งาน Generative AI เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 33% เป็น 65% อีกทั้ง นักพัฒนาซอฟต์แวร์ยังหันมาพัฒนาแอปพลิเคชันบน Cloud platform มากขึ้น เนื่องจากผู้ให้บริการ Cloud ได้พัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ช่วยในการตรวจเช็กโค้ดและทดสอบการใช้งานบน Platform ออกมาอย่างสม่ำเสมอ
ในส่วนของการให้บริการ Colocation จะเติบโตราว 14%YOY จากการปรับกลยุทธ์ขององค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งที่หันมาเช่าพื้นที่ฝาก Server ใน Data center ผ่านระบบ Private cloud แทนการเก็บข้อมูลในระบบ Server ภายในองค์กร (On-premise) เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงานทั้งค่าไฟฟ้า ค่าอินเทอร์เน็ต และลดค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ชำนาญการคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงลดความเสี่ยงจากระบบเชื่อมต่อที่ไม่เสถียรและอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้ง ยังสามารถปรับขนาดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลตามการใช้งานได้ง่าย
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัททั่วโลกนิยมจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ Hybrid cloud ที่แบ่งการเก็บข้อมูลทั้งในระบบ Public cloud และ Private cloud ในรูปแบบ Colocation และ On-premise มากขึ้นสะท้อนจากรายงาน The Flexera 2024 State of the Cloud ของบริษัทซอฟต์แวร์ Flexera ในสหรัฐอเมริกาที่ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 750 ราย ในช่วงปลายปี 2023 พบว่า 65% ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจจัดเก็บข้อมูลขององค์กรในรูปแบบ Hybrid cloud โดยใช้ Private cloud สำหรับจัดเก็บข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ต้องการความปลอดภัยสูง และมีการใช้งานในความหน่วงที่ต่ำ เช่น ธุรกรรมทางการเงิน ข้อมูลการติดต่อและใช้บริการของลูกค้า และจะเลือกใช้ Public cloud สำหรับจัดเก็บข้อมูลทั่วไป
Data center ไทยกับการก้าวสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน
ปัจจุบันสิงคโปร์ถือเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของอาเซียน ซึ่งรวมถึงการเป็นศูนย์กลางด้าน Data center ด้วย แต่การเติบโตมีข้อจำกัดจากนโยบายภาครัฐ โดยในช่วงปี 2016-2019 มูลค่าตลาด Data center ของสิงคโปร์เติบโตสูงต่อเนื่องราว 29%CAGR จากการขยายพื้นที่ของผู้ให้บริการในสิงคโปร์และการเข้ามา
ของผู้ให้บริการระดับโลกอย่าง Microsoft, AWS และ Apple อย่างไรก็ดี ด้วยพื้นที่ของสิงคโปร์ที่มีจำกัดยากต่อการตั้ง Data center ขนาดใหญ่, ปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าใน Data center ที่สูง ซึ่งมีโอกาสกระทบต่อเสถียรภาพด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศในอนาคต และอัตราการปล่อย CO2 ต่อตารางเมตรของประเทศที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศใช้นโยบายจำกัดการก่อสร้างศูนย์ Data center แห่งใหม่บนเกาะสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2019 และผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวในช่วงปลายปี 2022 โดยอนุญาตให้ก่อสร้างเฉพาะ Data center ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและได้รับการรับรองด้านการประหยัดพลังงานจากหน่วยงานภาครัฐ ทำให้การขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราพื้นที่ว่างของ Data center ในสิงคโปร์ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือต่ำกว่า 1% ในปี 2024 ตามรายงานของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีสาขามากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
ผู้ให้บริการ Data center ในสิงคโปร์เริ่มมองหาประเทศใกล้เคียง เพื่อขยายศูนย์ Data center รองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ขยายตัวในสิงคโปร์ ซึ่งการเลือกพื้นที่ตั้งศูนย์ Data center นอกจาก
จะพิจารณาด้านต้นทุนและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจแล้ว ความสะดวกในการเดินทาง ความปลอดภัย ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐก็ถือเป็นปัจจัยที่ผู้ให้บริการให้ความสำคัญ โดยพื้นที่ที่ผู้ให้บริการสนใจพิจารณา ได้แก่
เอเอซีเอสบี อินเตอร์เนชันแนล (AACSB International) เครือข่ายการศึกษาด้านธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศยกย่องโรงเรียนธุรกิจ 25 แห่งภายใต้โครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ (Innovations That Inspire) หรือ นวัตกรรมสร้างแรงบันดาลใจ
โครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อยกย่องโรงเรียนธุรกิจจากทั่วโลกที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การศึกษาด้านธุรกิจ สำหรับปี 2566 นี้ ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนธุรกิจในรูปแบบที่เพิ่มมูลค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้เรียน ธุรกิจ และสังคม โดยโรงเรียนธุรกิจเหล่านี้กำหนดนิยามใหม่ให้กับอนาคตของการเรียนรู้ การเป็นผู้นำ และการเชื่อมโยง ซึ่งปูทางไปสู่การนำเสนอคุณค่าเพื่อส่งเสริมการศึกษาด้านธุรกิจ
นวัตกรรมเด่นของโรงเรียนธุรกิจเหล่านี้ช่วยบุกเบิกความร่วมมือในอุตสาหกรรมและชุมชน กำหนดนิยามใหม่ของอิทธิพลด้านการวิจัย และยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้ตลอดชีวิต ยกตัวอย่างเช่น
· อนาคตของธุรกิจคือดิจิทัล (The Future of Business Is Digital) โดยโรงเรียนธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย (UniSA Business): ทางสถาบันได้ผนึกกำลังกับเอคเซนเชอร์ (Accenture) บริษัทที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อพัฒนาหลักสูตรปริญญาตรีสาขาธุรกิจดิจิทัลแบบเรียนออนไลน์ ซึ่งมอบทักษะทางธุรกิจและดิจิทัลระดับสูง และมุ่งเน้นประสบการณ์จริงในอุตสาหกรรม
· ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ (Act for Climate) โดยโรงเรียนธุรกิจแอมลียง (EMLYON Business School): นำเสนอหลักสูตรที่ผสมผสานความเข้าใจพื้นฐานด้านสภาพภูมิอากาศ คำอธิบายสถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม และการออกแบบแผนปฏิบัติการที่เหมาะสม เพื่อสอนให้ผู้เรียนพัฒนาทฤษฎีสำหรับรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สามารถแก้ปัญหาได้จริง
· ศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรมและผู้ประกอบการ (Center for Innovation and Entrepreneurship หรือ iCenter) โดยวิทยาลัยธุรกิจลูวิสแห่งมหาวิทยาลัยมาร์แชลล์ (Marshall University: The Lewis College of Business): จัดตั้งศูนย์ iCenter ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดนวัตกรรมทั่วทั้งวิทยาลัย วิทยาเขต และชุมชน ด้วยการเผยแพร่แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านการให้ความรู้และการฝึกอบรม
· การพัฒนากลุ่มวิจัยในโรงเรียนธุรกิจ (Developing Research Groups in Business School) โดยโรงเรียนเศรษฐศาสตร์และธุรกิจเคทียูแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีคอนาส (Kaunas University of Technology: KTU School of Economics and Business): พัฒนากลุ่มวิจัยแบบสหวิทยาการ 4 กลุ่ม เพื่อขจัดอุปสรรคทางวิชาการ เพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยของคณาจารย์ ส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียน ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการสร้างความร่วมมือและการได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
"ความต้องการใหม่ ๆ ของบรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้น ได้ผลักดันให้ต้องมีการคิดใหม่ทำใหม่ในส่วนของการศึกษาด้านธุรกิจ และนวัตกรรมจากโรงเรียนธุรกิจในโครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ ประจำปี 2566 นี้ แสดงให้เห็นถึงแนวทางใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนธุรกิจในอนาคต" คุณแคริน เบค-ดัดลีย์ (Caryn Beck-Dudley) ประธานและซีอีโอของเอเอซีเอสบี กล่าว "การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเพื่อร่วมกันสร้างองค์ความรู้ วิธีการเรียนรู้ใหม่ ๆ และขยายการเข้าถึงการศึกษา ส่งผลให้โรงเรียนธุรกิจสามารถตอบสนองความคาดหวังของตลาด ตลอดจนเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ ผู้เรียน และสังคม"
โครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ เข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว และได้ยกย่องโรงเรียนธุรกิจรวม 214 แห่งซึ่งเป็นแบบอย่างของแนวทางที่ก้าวหน้าด้านการศึกษา การวิจัย การมีส่วนร่วมกับชุมชน ความเป็นผู้ประกอบการ ความเป็นผู้นำ รวมถึงความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง ทั้งนี้ โครงการอินโนเวชันส์ แดท อินสไปร์ ประจำปี 2566 ได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียนธุรกิจสจ๊วตแห่งสถาบันเทคโนโลยีอิลลินอยส์ (Illinois Institute of Technology's Stuart School of Business) สามารถดูข้อมูลและตัวอย่างเพิ่มเติมได้ที่ aacsb.edu/innovations-that-inspire
ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงบทบาทและความสำคัญของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และประสาทวิทยาศาสตรที่มีต่อโลกธุรกิจ โดยจะขอเน้นตัวอย่างไปที่การประยุกต์ใช้ทางด้านการเงิน