นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิดงาน InsurTech Summit 2024 ภายใต้หัวข้อ “พลิกโฉมประกันภัยสู่เครือข่ายสากล : Shaping Insurance, Building Community” จัดโดยศูนย์ CIT สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์ประชุม C ASEAN อาคารซีดับเบิ้ลยู ชั้น 10 กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัย และเป็นเวทีในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่อนาคต ด้วยการผสานองค์ความรู้และนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและยกระดับศักยภาพบุคลากรทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่ม Tech Startup ผ่านกิจกรรมสัมมนาวิชาการเชิงลึก กิจกรรมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และการแสดงนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัย ผ่าน Demo Showcase จาก บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำกว่า 10 บริษัท ที่ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในงานประกันภัย ในขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่เจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างบริษัทประกันภัยและบริษัทเทคโนโลยี เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมมือและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันความร่วมมือและโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในระดับสากล นอกจากนี้ภายในงานยังมี Exhibition จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำกว่า 30 บริษัท ที่มาร่วมจัดแสดงนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้เห็นการใช้งานจริงของเทคโนโลยีในบริบทของอุตสาหกรรมประกันภัยอย่างใกล้ชิด
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ Regulation for the Insurance Ecosystem โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจประกันภัย ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจประกันภัยไม่ได้มีเพียงบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัยอีกต่อไป แต่มีผู้เล่นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจประกันภัยเพิ่มขึ้นมากมาย เช่น บริษัทเทคโนโลยี Insurtech Startups ที่กลายเป็นผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจประกันภัย นอกจากนี้ ยังได้เห็นความร่วมมือ หรือ Collaboration ของบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัยกับธุรกิจใหม่ ๆ เช่น โรงพยาบาล การขนส่ง เพื่อพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความหลากหลาย ตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น จึงคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตธุรกิจประกันภัยจะขยายวงกว้างมากขึ้น และเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันและการดำรงชีวิตของผู้คนและผู้ประกอบการต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกประเด็นที่ต้องกล่าวถึง คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่และมีการพูดถึง เรื่องเทคโนโลยีมาหลายปีแล้ว แต่มุมมอง ผลกระทบ และทิศทางของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปทุกปี เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันภัยได้เกือบทุกกระบวนการของ Supply Chain เริ่มตั้งแต่การเข้าถึงลูกค้าที่มีช่องทางการเสนอขายหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรงและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปัจจุบันมีเครื่องมือในการประมวลผลให้สามารถประเมินความเสี่ยงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และกำหนดอัตราเบี้ยที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงหรือรายบุคคลได้มากขึ้น รวมถึงในอนาคตอาจได้เห็น Dynamic Pricing การปรับเบี้ยประกันภัยตามสภาพความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ด้วยหรือในส่วนของการดูแลลูกค้าและการให้บริการหลังการขายที่สามารถนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยให้บริการได้อย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น ระบบ OCR (Optical Character Recognition) หรือ RPA (Robotic Process Automation) มาช่วยดำเนินการด้านเอกสารให้รวดเร็วขึ้น การพัฒนา Chatbot เพื่อเป็นอีกช่องทาง ในการติดต่อและให้บริการลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการฝังGen AI เพื่อให้ Chatbot ประมวลผลได้ซับซ้อนและดียิ่งขึ้น
อีกส่วนที่เห็นได้ชัด คือ การจัดการค่าสินไหมทดแทนที่เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยทั้ง Front Office และ Back Office เช่น การสำรวจข้อมูลความเสียหายด้วยโดรนและการวิเคราะห์ความเสียหายและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยการใช้ VDO หรือ รูปภาพ ซึ่งจะถูกนำไปประมวลผลต่อเพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในธุรกิจประกันภัยที่กว้างขวางและหลากหลาย โดยบริษัทประกันภัยเกือบทุกแห่งได้ให้บริการลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้วทั้งสิ้น หรือการซื้อประกันภัยออนไลน์กลายเป็นช่องทางสำคัญของธุรกิจไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาเรื่องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจประกันภัยไทย พบว่า ในภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยไทยมีความพร้อมทางดิจิทัลสูงถึงร้อยละ 78.5 และในอนาคตอันใกล้บริษัทประกันภัยไทยมากกว่าร้อยละ 90 จะมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างแพร่หลายและเห็นเป็นรูปธรรม “การจัดงานเสวนาในครั้งนี้จึงคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ทุกหน่วยงานที่เข้าร่วมงานได้รับประโยชน์ ข้อคิด และมุมมองที่น่าสนใจ สามารถนำไปประยุกต์หรือต่อยอดการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของสำนักงาน คปภ. ในการสร้าง Insurance Community ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านประกันภัย รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านประกันภัยของภูมิภาคอาเซียน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
เผยโรงเรียนราชวินิตมัธยมมีประกันภัยพร้อมเยียวยาค่าสินไหมทดแทนนักเรียนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บทันที
(จากซ้ายไปขวา): ครีสเตียน มึลเลอร์ กรรมการบริหาร HDI International AG; นิโคลัส ฟาเกต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง รู้ใจกรุ๊ป; เลแวน ชาแลมเบอริดซ์ หัวหน้าสายงานการเงินและอินชัวร์เทค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 28 มีนาคม 2566: รู้ใจ ประกันออนไลน์ ผู้นำด้านเทคโนโลยีอินชัวร์เทคสำหรับธุรกิจ B2C สัญชาติไทย ได้รับทุนจากการระดมทุนรอบ Series B มูลค่า 42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้ลงทุนรายใหม่ HDI International บริษัทในเครือ Talanx Group จากเยอรมนีซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านประกันภัยทั่วโลก โดยยังได้รับการระดุมทุนเพิ่มเติมจากผู้ลงทุนรายเก่า ในเครือธนาคารโลกอย่าง International Finance Corporation (IFC) เพื่อช่วยขยับขยายธุรกิจ
ในรอบการระดมทุนนี้ รู้ใจ ได้รับเงินทุนจำนวน 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินทุนจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของธุรกรรมซื้อขายหุ้นรอง
รู้ใจ ได้เปิดตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 และขยายธุรกิจไปยังอินโดนีเซียเมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา หลังโมเดลธุรกิจประกันภัยแบบไร้รอยต่อประสบความสําเร็จในประเทศไทย โดยในปี 2565 รู้ใจ มีรายได้เบี้ยประกันภัยในประเทศเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นมูลค่า 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เป็น 150,000 ราย อีกทั้งยังขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์จากเดิมที่มีเพียงประกันรถยนต์ไปสู่ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ
การลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งขับเคลื่อนการเติบโตของรู้ใจในประเทศไทย โดยมุ่งเป้าเพิ่มความสําเร็จให้กับผลิตภัณฑ์ประกันภัยประเภทอื่น ๆ นอกจากนี้การลงทุนยังสนับสนุนการขยายฐานของบริษัทในประเทศอินโดนีเซีย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่รู้ใจตั้งเป้าขยายกิจการแบบ Organic Growth ควบคู่ไปกับการเติบโตในด้านของการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ
การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและพฤติกรรมการซื้อขาย การช็อปปิง ผ่านสมาร์ตโฟนกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้1 ประกอบกับผู้บริโภคยังคงมีความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันภัย และรู้ใจมีความมุ่งมั่นที่จะนําเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เรียบง่าย ราคาดี และเชื่อถือได้ด้วยวิธีการแบบ mobile-first ส่งผลให้มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอทุกปีแม้ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ซึ่ง รู้ใจ กำลังยกระดับเข้าสู่ตลาดเอเชียด้วยการใช้นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
นิโคลัส ฟาเกต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง รู้ใจกรุ๊ป กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ต้อนรับ HDI ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเรา ที่จะเข้ามาช่วยยกระชับความสัมพันธ์ของเรากับ Talanx Group ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น หลังจาก 4 ปีของความร่วมมือกับ Hannover Re นับเป็นข้อพิสูจน์ว่าการให้ความสําคัญกับปัจจัยพื้นฐานด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาของรู้ใจ เป็นกุญแจสําคัญในการดึงดูดนักลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยให้เราขยายฐานธุรกิจไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มากขึ้น โดยการพัฒนาและเติบโตของเรายังคงยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเช่นเดิม”
ทางด้าน HDI ผู้ลงทุนรายใหม่ กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในการระดมทุนรอบ Series B ใครั้งนี้ โดย รู้ใจ ถือเป็นอินชัวร์เทครุ่นใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีความเชี่ยวชาญในด้านดิจิทัลโซลูชัน เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมในเส้นทางการเติบโตของ รู้ใจ ทั้งในประเทศไทยและการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
https://www.insiderintelligence.com/content/upside-internet-user-growth-remains-high-southeast-asia
เลแวน ชาแลมเบอริดซ์ หัวหน้าสายงานการเงินและอินชัวร์เทค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ กล่าวว่า “รู้ใจ เป็นบริษัทในพอร์ตฯ ของเราที่แสดงให้เห็นว่าเป็นบริษัทฯ ที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการทำธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยได้ผ่านโมเดลธุรกิจแบบ ‘Digital first’ เรายินดีที่ได้ร่วมงานกับ HDI เพื่อสนับสนุน รู้ใจ ให้พัฒนาบริการที่ดีเลิศ เป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้ ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”