

บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 พิจารณาอนุมัติจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2567 แก่ผู้ถือหุ้น 0.20 บาท/หุ้น รวมเป็นเงิน 100 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินปันผล 16 พฤษภาคม 2568 เผยภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไตรมาสแรกของปีขยับตัวขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1.5% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงแตะที่ 88% ต่อ GDP ด้าน TK เผยสถานะทางการเงิน ณ สิ้นปี 2567 เงินสดและเงินฝากมีมูลค่ารวม 3,191 ล้านบาทสูงกว่าพอร์ตสินเชื่อเป็นครั้งแรก ย้ำบริหารเงินในมือได้ผลตอบแทนและปลอดภัยสูงสุด พร้อมเปิดทุกทางเลือกเพื่อการลงทุนที่มีศักยภาพ รวมทั้งขยายพอร์ตเช่าซื้อในต่างประเทศ เน้นเติบโตอย่างมั่นคง
![]()
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยว่า จากการดำเนินธุรกิจของ TK ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้ 1,295.7 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อรวม 1,994.5 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากบริการสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 53.8% บริการเช่ารถจักรยานยนต์ TK ME 7.2% บริการสินเชื่อรถยนต์ 1.1% และรายได้อื่น ๆ 37.9% อาทิ บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ ฯลฯ
จากภาพรวมของตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการหดตัวของตลาด รวมทั้งผลจากการบังคับใช้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของ ธปท. นอกเหนือจากการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่ 23% ต่อปี จากประกาศของ สคบ. ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ ลดลงจากปีก่อน และขาดทุน 15.9 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทยังคงมีกำไรสะสม จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท จำนวน 500 ล้านหุ้น รวมเป็นเงิน 100 ล้านบาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นี้
ในด้านของสถานะทางการเงิน มูลค่าสินทรัพย์รวมเทียบมูลค่าลูกหนี้สุทธิ ณ สิ้นปี 2567 TK มีเงินสดและเงินฝากมูลค่ารวม 3,191 ล้านบาท ขณะพอร์ตลูกหนี้รถจักรยานยนต์ในประเทศมีมูลค่า 765 ล้านบาท และมีพอร์ตลูกหนี้ในต่างประเทศที่ สปป. ลาว และกัมพูชามีมูลค่า 945 ล้านบาท โดยสัดส่วนพอร์ตลูกหนี้ต่างประเทศ 55.3% สูงกว่าสัดส่วนลูกหนี้ในประเทศที่ 44.7% ทั้งนี้ บริษัทฯ ใช้นโยบายบริหารเงินสดและเงินฝากโดยคำนึงถึงผลตอบแทนและความปลอดภัยของเงินต้น และพร้อมนำเงินในมือไปขยายตลาดเช่าซื้อ อาทิ การเพิ่มพอร์ตในกัมพูชา รวมทั้งเปิดทางเลือกในการนำเงินไปซื้อบริษัทที่มีศักยภาพในธุรกิจที่ TK มีความเชี่ยวชาญ
![]()
นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK กล่าวเกี่ยวกับภาพรวมอุตสาหกรรมว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศ 3 เดือนแรกของปี 2568 มียอดขายรวม 461,632 คัน 74% เป็นยอดขายในต่างจังหวัด และ 26% เป็นยอดขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากในช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมาที่มียอดขาย 454,796 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5% โดย เป็นรถจักรยานยนต์ประเภท Family 41% Scooter 55% Sport 3% และเป็น EV เพียง 1% ทั้งนี้ คาดว่าตลาดรถจักรยนต์ในปีนี้จะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านคัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ยอดขาย 1,708,215 คัน
สำหรับตลาดเช่าซื้อภาพรวมในปี 2568 คาดยังหดตัวลดลง ทั้งจากมาตรการเพดานดอกเบี้ยจาก สคบ. และมาตรการจากกฎหมายควบคุมธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งที่ทาง ธปท. กำลังจะประกาศออกมาเร็ว ๆ นี้ อีกทั้งสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศซึ่งยังอยู่ในระดับสูงที่ 88% ของ GDP ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปี 2567 ส่งผลต่อกำลังการซื้อและการผ่อนชำระค่างวดของลูกค้าที่มีรายได้น้อย อย่างไรก็ดี TK มีนโยบายดำเนินธุรกิจสำคัญคือ ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศโดยเน้นคุณภาพลูกหนี้ ขยายตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดที่มีการเติบโต สร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ อาทิ ธุรกิจเช่ารถจักรยานยนต์ หรือ TK ME สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ควรคู่กับการมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่มีศักยภาพที่บริษัทฯ สามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญที่มีอยู่เดิม
นายวิโรจน์ ธนาลงกรณ์ ประธานกรรมการ นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคณะกรรมการ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 3,586.9 ล้านบาท โดยยังคงเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นรายได้สูงสุดใหม่อีกครั้งจากที่เคยทำไว้ในปี 2566 ที่ระดับ 3,450.4 ล้านบาท พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 1.34 บาท คิดเป็น 100% ของกำไรสุทธิ โดยก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.69 บาท คงเหลือการจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 0.65 บาท กำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568
นายสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน ประธานกรรมการ นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะกรรมการ บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL ผู้นำในอุตสาหกรรมฟอกหนังในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการจัดการประชุมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานปี 2566 รวมถึงพัฒนาการต่างๆ ของบริษัทฯ ที่ได้ขยายไปสู่ธุรกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโต ภายใต้การลงทุนของบริษัท ซีพีแอล เวนเจอร์ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CPL ถือหุ้นในสัดส่วน 99.97%
นายวิโรจน์ ธนาลงกรณ์ ประธานกรรมการ นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานคณะกรรมการบริหาร นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคณะกรรมการ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2567 โดยที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 3,450.4 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 462.5 ล้านบาท พร้อมทั้ง มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 1.33 บาท คิดเป็น 100% ของกำไรสุทธิ โดยมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.66 บาทต่อหุ้น คงเหลือการจ่ายปันผลอีก 0.67 บาทต่อหุ้น ที่มีกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567
บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นผ่านการอนุมัติทุกวาระตามมติที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมทั้งอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คงเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวดวันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิและกำไรสะสม กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้
พร้อมทั้ง อนุมัติการแต่งตั้งกรรมการอิสระท่านใหม่ แทนกรรมการอิสระที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระจำนวน 2 ท่าน คือ นายสรกล อดุลยานนท์ และนางสาวเพชรชมพู เทพพิพิธ ซึ่งเป็นบุคคลผู้ที่มีความเหมาะสม มีประสบการณ์ความรู้ความสามารถในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นอย่างดี สอดคล้องตามหลักกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนไทย
ด้าน ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ กล่าวว่า “ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นจากท่านผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจตลอดมา สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2567 อิชิตันวางเป้าหมายรายได้แตะ 9,000 ล้านบาท คาดบันทึกสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยเริ่มเดินหน้าบุกตลาดตั้งแต่ไตรมาส 1 มีแนวโน้มทำได้ดีมาก รับอากาศร้อนช่วงซัมเมอร์ รวมทั้งส่งเครื่องดื่มใหม่ในกลุ่ม Non-Tea เพื่อขยายตลาดให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยในเดือนมีนาคมได้เปิดตัว “ตัน พาวเวอร์ (TAN POWER)” เครื่องดื่ม Energy Drink เสริมพอร์ต ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากพันธมิตรคู่ค้าทั่วประเทศ ช่วยกันผลักดันสินค้าที่มีจุดแข็งด้านราคา 10 บาทสบายกระเป๋า ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนได้ส่งแคมเปญสนุกและสร้างสรรค์รับหน้าร้อนบนโลกโซเชียล ทั้งจากแบรนด์อิชิตัน กรีนที, เย็นเย็น น้ำจับเลี้ยงสมุนไพรฤทธิ์เย็น และตันซันซู น้ำอัดลมสไตล์เกาหลี เพื่อเดินหน้าสร้างไดนามิคกระตุ้นยอดขายสร้างกำไรให้เข้าตามเป้าที่ได้วางไว้
นอกจากนี้ อิชิตันยังมุ่งมั่นนำเสนอเครื่องดื่มคุณภาพและนวัตกรรม พร้อมเติบโตไปกับสังคมที่ดี โดยความสำเร็จล่าสุดจาก อิชิตัน น้ำด่าง (pH PLUS) แบรนด์สินค้ามีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจนสามารถคว้ารางวัล BUSINESS+ PRODUCT OF THE YEAR 2023 ไปครองได้สำเร็จ ปัจจุบันน้ำด่างบรรจุขวดพร้อมดื่ม (Ready to drink) เกิดขึ้นด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ช่วยทำให้ชีวิตง่ายขึ้น มีมาตรฐานปลอดภัย สะดวกสบายพกพาง่าย และดีต่อสุขภาพ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงที่ประเทศไต้หวัน ญี่ปุ่น และอิชิตันนำเทรนด์นี้เข้าสู่ประเทศไทย เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้รักสุขภาพ จนสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
พร้อมทั้งมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืน ส่งเสริมให้คู่ค้าและพันธมิตรทางการค้าในระดับ SMEs เติบโตไปด้วยกัน ล่าสุดได้จัดกิจกรรมสัมมนาเชิญชวนคู่ค้ากลุ่ม SME เข้าร่วมประกาศเจตนารมณ์ตามโครงการแนวร่วมการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทยภายใต้โครงการ CAC Change Agent เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการกำหนดแผนการมุ่งไปสู่องค์กรที่มีการผลิตแบบความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 โดยปัจจุบันสินค้าทุกขวดของอิชิตัน สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกลงได้ถึง 28.5% จากเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและดีต่อโลกของอิชิตัน กรีน แฟคทอรี ที่เปิดให้นักเรียนนักศึกษา เข้าชมฟรี ภายใต้พื้นที่ “ศูนย์การเรียนรู้ตันแลนด์” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจถึงผลกระทบต่อการเลือกดื่มผลิตภัณฑ์อย่างรับผิดชอบที่จะมีต่อธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด Produce Responsibly, Drink Sustainably อีกด้วย