December 28, 2024

บมจ.ธนชาตประกันภัย ปลื้ม “พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย” คว้ารางวัล Prime Minister Road Safety 2 ปีซ้อน เดินหน้าปลุกคนในชุมชนตื่นตัวปัญหาอุบัติเหตุทางถนน หลังพบแต่ละปีเคลมอุบัติเหตุรถยนต์กว่า 28,000 เคส/เดือน จ่ายสินไหมรวมกว่า 5,800 ล้านบาท

คุณวิชินี โอรพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ธนชาตประกันภัย เผยว่า จากสถิติยอดเคลมจำนวนอุบัติเหตุรถยนต์ และอัตราการจ่ายสินไหม ที่แต่ละปีมีการเคลมอุบัติเหตุรถยนต์กว่า 28,000 เคส/เดือน หรือเฉลี่ย 900 เคส/วัน โดยในปี พ.ศ. 2566 มีมูลค่าการจ่ายสินไหมรวมกว่า 5,800 ล้านบาท เป็นความสูญเสียด้านตัวเงินที่แม้ว่าลูกค้าจะได้รับการช่วยเหลือชดเชยจากบริษัท แต่ยังมีความสูญเสียอีกไม่น้อยที่ประชาชนรายย่อยยังต้องรับมือกับปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งบางอย่างมีผลทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสภาพจิตใจที่ไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ดังนั้น บมจ. ธนชาตประกันภัย จึงเกิดแนวความคิดในการเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนถนน ด้วยการจัดตั้งโครงการ ‘พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย’ เพื่อมุ่งหวังลดอัตราความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนถนนในทุกเส้นทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนสายรองในท้องถิ่น ชุมชน และหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งจากสถิติในแต่ละปีพบว่าเป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุจากการจราจร สร้างสุขภาพชุมชนที่ดี และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับสังคมอย่างยั่งยืน เป็นโครงการที่สอดคล้องกับแผน ‘ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนของรัฐบาล ที่มีนโยบายให้หน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมรณรงค์ด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนร่วมกันทุกภาคส่วนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งธนชาตประกันภัยหวังเป็นอีกแรงขับเคลื่อนหนึ่งที่มีส่วนสร้างความปลอดภัยทางถนน
สำหรับโครงการ ‘พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย’ ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) และภาคีเครือข่าย ในการสร้างกลไกบริหารด้านความปลอดภัยทางถนนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 จนถึงปัจจุบัน มีการปรับปรุงจุดเสี่ยงอุบัติเหตุให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยแล้ว 30 พื้นที่ทั่วประเทศ ใช้งบประมาณรวม 6 ล้านบาท และในปี พ.ศ.2567 อยู่ระหว่างการดำเนินงานโครงการฯ ปีที่ 4 ซึ่งจะทำให้เรามีชุมชนที่จะร่วมสร้างถนนปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีก 10 ชุมชน
ทั้งนี้ โครงการ ‘พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย’ มีเป้าหมายลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนถนน ลดความสูญเสียทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน โดยวางกลยุทธ์ไว้ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การสร้างการมีส่วนร่วมจากคนในชุมชนเอง สร้างการตระหนักรู้และความตื่นตัวของชุมชนในการริเริ่มดำเนินการลดอุบัติเหตุ (collaboration) 2. การสร้างองค์ความรู้ ในการวิเคราะห์จัดการเพื่อการลดอุบัติเหตุถนนในชุมชน 3. การสร้างให้เกิดกระบวนการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องเป็นรูปธรรม และ 4. การสร้างกระบวนการการคิดแก้ปัญหาให้เกิดความยั่งยืน (Sustainable of Road Safety) กำหนดเป้าหมายดำเนินงาน ปีละ 10 ชุมชนทั่วประเทศ โดยมีงบประมาณสนับสนุนชุมชนละไม่เกิน 200,000 บาท

ทั้งนี้ โครงการ ‘พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย’ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับการตอบรับจากผู้เข้าร่วมทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ยังได้รับรางวัล Prime Minister Road Safety ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่อง ความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 16 อีกทั้ง โครงการฯ ได้ถูกบันทึกลงในหนังสือศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนฯ เพื่อเป็นองค์ความรู้ให้กับหน่วยงาน ชุมชนต่างๆ ได้ศึกษาเป็นแนวทางการสร้างความปลอดภัยทางถนนต่อไป
คุณวิชินี กล่าวต่อว่า สำหรับการตอบรับโครงการพลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัยนั้น เริ่มดำเนินโครงการฯ 3 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งการสำรวจความคิดเห็นของคณะทำงาน/บุคลากรในพื้นที่ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนโครงการฯ พบว่าพฤติกรรมการใช้ความเร็วรถของคนในชุมชน มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เช่นเดียวกับคนในชุมชนส่วนใหญ่ร้อยละ 91.6 รู้จักหรือได้ยินโครงการฯ โดยมีทัศนคติและความพึงพอใจต่อโครงการฯ ในระดับ ‘มาก’ โดยเฉพาะการตระหนักรู้ความความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน การมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขปัญหาและการจัดการปัญหาพื้นที่เสี่ยงในชุมชน และช่วยกระตุ้นให้คนในชุมชนตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ที่สำคัญคนในชุมชนพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนให้ดีขึ้น
“ธนชาตประกันภัย มีความตั้งใจในการสนับสนุนให้เกิดการช่วยกระตุ้นให้คนในชุมชนตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ที่สำคัญคนในชุมชนพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนให้ดีขึ้น นำไปสู่การลดจำนวนอุบัติเหตุ ลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน และส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ และสังคมไทย”คุณวิชินี กล่าว

เอสซีจี เปิดต้อนรับครอบครัวพลังชุมชนจากทั่วประเทศ กับงาน พลังชุมชน สร้างคนด้วยปัญญา” ในโครงการ “พลังชุมชน”

เอสซีจี มุ่งแก้จน ลดความเหลื่อมล้ำสังคม ตามแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเชื่อมั่น โปร่งใส) ผ่านโครงการพลังชุมชน อบรมให้ความรู้คู่คุณธรรม น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต มุ่งให้ชุมชนเห็นคุณค่าและพัฒนาศักยภาพตนเอง  สร้างอาชีพด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้โดนใจลูกค้า ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้น่าซื้อ ดึงดูดใจผู้บริโภค นำหลักการตลาดไปใช้ในการจัดจำหน่ายทั้งออนไลน์ (Online) และออฟไลน์ (Offline) ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ขณะเดียวกันต้องบริหารจัดการความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง หากทำผิดพลาด ต้องไม่ย่อท้อ ล้มแล้วต้องรีบลุก  นำจุดบกพร่องมาเป็นบทเรียนพัฒนาตนเอง

ตั้งแต่ปี 2561 มีผู้ร่วมอบรมในโครงการ​พลังชุมชน 650 คน จาก 14  จังหวัด ได้แก่ ลำปาง สระบุรี กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช เชียงราย แพร่ อุดรธานี อุบลราชธานีลำพูน อุตรดิตถ์ บุรีรัมย์ พิษณุโลก ตาก และระยอง มีสินค้าแปรรูป​กว่า 1,150 รายการ ชุมชนมีรายได้เพิ่ม 5 เท่า เกิดการจ้างงาน 3,410 คน ส่งต่อความรู้ 26,130 คน ช่วยปลดหนี้ มีอาชีพมั่นคง ต่อยอดความรู้ พัฒนาเป็นการตลาดรอดจนซึ่งมีรูปแบบเฉพาะตัว ขณะเดียวกันยังแบ่งปันความรู้และเป็นต้นแบบส่งต่อแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่นๆ เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง

เอสซีจีได้จัดงาน “พลังชุมชน สร้างคนด้วยปัญญา โดยเชิญ 6 ตัวแทนบุคคลต้นแบบมาร่วมแบ่งปันความรู้ แนวคิดการพัฒนาอาชีพ หัวข้อ “เปลี่ยนอย่างไรให้ปัง” และเปิดเวทีให้น้อง ๆ โรงเรียนน้ำโสมพิทยาคม จ.อุดรธานี มาแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการสร้างมูลค่าจากวัตถุดิบรอบตัวและนำไปทำโครงการวิชาการประกวด ได้รับรางวัลชนะเลิศ ระดับประเทศ นอกจากนั้น ยังเปิด “ตลาดพลังชุมชนชวนช้อป” นำสินค้ากว่า 200 รายการมาจำหน่าย เช่น ผงกล้วยหอมทองพร้อมชง จ.แพร่  ก๋วยจั๋บรสต้นตำรับเส้นญวน จ.อุบลราชธานี กระบกเคลือบคาราเมล จ.อุบลราชธานี  เกล็ดปลานิลอินทรีย์ทอดกรุบกรอบ จ.เชียงราย  ขนมกุ๊กไก่ไส้สับปะรด จ.ลำปาง ผ้าย้อมดินถิ่นครูบา จ.ลำพูน แผ่นแปะสมุนไพรแก้ปวด จ.เชียงราย  น้ำพริกปลาส้ม 4 ภาค จ.อุดรธานี และกระเป๋าทำจากผ้าขาวม้า จ.สระบุรี   

ผู้สนใจสามารถสนับสนุนชุมชน โดยเลือกซื้อสินค้าขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด และแหล่งท่องเที่ยวทั่วไทย ได้ที่ E-CATALOG https://my.eboox.cc/shop9/1/2566/   

เอสซีจี โดย นางจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน นางวีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงาน Enterprise Brand Management

สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ ซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้ครัวเรือน นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำในสังคมที่นับวันมีแนวโน้มสูงขึ้น “เอสซีจี” จึงเดินหน้าลดปัญหานี้อย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero 2050 – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเชื่อมั่น โปร่งใส) เพื่อสร้างโอกาสให้ชุมชนมีอาชีพและรายได้ด้วยการอบรมให้ความรู้ ผ่านโครงการ “พลังชุมชน” หลักสูตร Mini MBA สำหรับชุมชน ปัจจุบันมีผู้คนที่สามารถสร้างอาชีพแล้วกว่า 450 คน 850 ผลิตภัณฑ์ เกิดการจ้างงานกว่า 1,800 คน และส่งต่อความรู้มากกว่า 10,200 คน เป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง ล่าสุดจัดงาน “พลังชุมชน คนบันดาลใจ” ชวน 4 ชุมชนต้นแบบ มาร่วมกันส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ นำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต

ปาฐกถาพิเศษฝากข้อคิดและคาถาแก้จน

ภายในงานได้จัดปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “อยู่รอด เติบโต ด้วยคุณธรรม” โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานคณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี ที่ให้ข้อคิดว่า ทุกปัญหา อุปสรรคเอาชนะได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อยู่อย่างแบ่งปัน และมีน้ำใจต่อกัน ซึ่งโครงการพลังชุมชนประสบความสำเร็จในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจแล้ว จึงอยากเพิ่มอีกมิติ คือ มิติจิตวิญญาณของความเป็นไทย นั่นคือ เราเป็นพี่น้องกัน ต้องมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน

“ขอชื่นชมโครงการพลังชุมชน อยากให้เดินหน้าต่อไป เพราะประเทศไทยมีคนจนและคนเปราะบางอีกมากที่ต้องการให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ สิ่งที่ช่วยแก้จนมีสองเรื่องคือ หนึ่ง ต้องรู้จริง ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ก็ต้องเอาเทคโนโลยีและความรู้เกี่ยวกับอาชีพนั้นที่ทันสมัยที่สุดไปให้กับผู้ประกอบการ สอง เรื่องการบริหารจัดการ การสร้างเครือข่าย การประสบความสำเร็จต้องพัฒนาตลอดเวลา เราจะนำหน้าคู่แข่งเสมอ และผลิตภัณฑ์ต้องไม่ทำเหมือนเดิม ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เรื่อย ๆ และเมื่อผลิตได้แล้ว ต้องถามตัวเองว่าเอาไปขายใคร ตลาดอยู่ที่ไหน” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าว

“แรงบันดาลใจ” สร้างจากสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว

เปิดเวทีส่งต่อแรงบันดาลใจ โดย “เกศรินทร์ กลิ่นฟุ้ง” หรือ หนิง คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ค้าขนมภายใต้แบรนด์ แม่หนิงภูดอย จาก จ.ลำปาง ที่เริ่มต้นจากความตั้งใจทำขนมให้ลูกชายกิน เล่าว่า โครงการพลังชุมชน เป็น

อีกจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต โดยนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มาปรับปรุง พัฒนาต่อยอดแปรรูปขนมคุกกี้ไส้สับปะรดให้มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างเป็นรูปไก่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของลำปาง ทั้งยังปรับมาตรฐานสินค้าให้ได้รับ อย. และเลือกเป็นเมนูในเวทีประชุม APEC Thailand ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

“พลังชุมชนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงและงดงาม หนิงมุ่งมั่นและพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน พร้อมเปิดรับทุกโอกาสดี ๆ ที่เข้ามา เป้าหมายหรือแรงบันดาลของเราอาจเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ แล้วตั้งใจ พัฒนาฝึกฝน และทำสม่ำเสมอในทุกวัน อาจลำบากหรือเจออุปสรรคบ้าง แต่การทำในสิ่งที่รัก เราจะมีความสุข พร้อมพุ่งชนและแก้ไขปัญหา หนิงเชื่อว่าดอกผลของพยายามสวยงามเสมอ”

“ความรู้” คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

ตามมาด้วย “ยศวัจน์ ผาติพนมรัตน์” สมาชิกโครงการพลังชุมชน จ.อุดรธานี ข้าราชการบำนาญ ที่แบกหนี้หลักล้านกลับบ้านเกิด นำปลามาแปรรูปเป็นปลาส้ม จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เล่าว่า แม้จะลำบาก แต่ไม่เคยท้อ เพราะในความมืดย่อมมีแสงสว่าง ที่สำคัญมีความรู้เป็นกุญแจสำคัญ โครงการพลังชุมชนสอนให้ตัวเองทำในสิ่งที่ถนัด เมื่อลงมือทำโดยใช้เวลาเพียง 1 ปี ก็กลับมามีรายได้อย่างมั่นคง จากแปรูปปลาเป็นปลาส้ม ซึ่งขายได้ 28,800 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 180 บาท จากต้นทุนกิโลกรัมละ 50 บาท อีกทั้งยังขยายเครือข่าย สร้างระบบ สร้างงาน สร้างคน ส่งต่อไปความรู้ ความเชี่ยวชาญไปอีกหลายตำบล

“เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เปิดใจ ยอมรับ พร้อมปรับเปลี่ยน ค้นหาคุณค่าของสิ่งรอบข้างมาสร้างมูลค่า และเป้าหมายต้องชัด ทำตามลำดับขั้นตอน ซึ่งสำคัญที่สุดคือ การลงมือทำ ผมเรียนรู้รายละเอียดของปลาจนนำมาแปรรูปได้ 9 หมวด 50 ผลิตภัณฑ์ มีพันธมิตรอย่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 4 มาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย จนตกผลึก จากเดิมที่มี 1 ไลน์การผลิต ตอนนี้เพิ่มเป็น 3 ไลน์ พร้อมเป็นสถานที่พัฒนา ระดับอำเภอ และส่งต่อแบ่งปันความรู้ไปให้กับเอสเอ็มอี และธุรกิจขนาดกลางในหลายตำบล”

นำสิ่งรอบตัวมาทดลองคิดค้นเพิ่มมูลค่า

มัจฉา สุดเต้” จาก จ. อุบลราชธานี ผู้พัฒนาก๋วยจั๊บอุบล ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นให้มี 20 รสชาติ เล่าว่า ในช่วงที่ชีวิตเหมือนจะไปต่อไม่ได้ แต่ต้องฮึดสู้เพื่อครอบครัว โครงการพลังชุมชนแนะให้นำสิ่งรอบตัวมาเพิ่มมูลค่า รักในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่รัก สุดท้ายปิ๊งไอเดียทำก๋วยจั๊บสำเร็จรูป เนื่องจากลูกชายชอบทาน แม้ว่าในอุบล

ฯ จะมีสินค้าอยู่แล้วนับพันแบรนด์ แต่ก็ยังคงทดลองคิดค้นสูตรเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์และมีความแตกต่าง ซึ่งลูกชายการันตีว่าอร่อยมาก จึงเป็นที่มาของก๋วยจั๊บอุบล สูตรมาดามโซ่ รสต้นตำรับ เปิดตลาดในอำเภอน้ำยืน ก่อนบุกทำตลาดออนไลน์ จ้างทำเพจ ยิงโฆษณา จนประสบความสำเร็จ

“เราคิดค้นรสชาติแปลกใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า พร้อมปรับปรุงโรงเรือนตามมาตรฐาน อย. พัฒนาเป็นผู้รับจ้างผลิต มีการเชื่อมโยงเครือข่ายและกระจายรายได้ไปพร้อมกัน จนเกิดผลิตภัณฑ์มาดามโซ่ 20 รสชาติ ได้จับเงินหลักล้านภายใน 6 เดือน ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชน แบ่งปันองค์ความรู้ให้ผู้สนใจที่มาเยี่ยมชมโรงงาน อยากให้เอสซีจีสานต่อโครงการพลังชุมชนต่อไป เพราะยังมีหลายชีวิตรอแสงตรงนี้ส่องไปยังพวกเขา”

ค้นหาคุณค่าของตัวเองและความชอบให้เจอ

“อำพร วงค์ษา” หรือ ครูอ้อ ประธานศูนย์หัตถกรรมบ้านงานฝีมือผาหนาม จ. ลำพูน และเจ้าของก๋วยเตี๋ยวลำไยแปรรูป แบรนด์ ไร่วงค์ษา” ที่ลาออกจากการเป็นครูพี่เลี้ยงในโรงเรียนอนุบาลมาดูแลแม่ที่เจ็บป่วย ทำให้ขาดรายได้ประจำและมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งยังแบกภาระหนักเมื่อสามีล้มป่วย และยังรับหน้าที่ดูแลลูก ตนจึงฝึกฝนพัฒนางานฝีมือหัตถกรรมสร้างรายได้เสริม ได้กำลังใจจากพ่อและครอบครัวทำให้ครูอ้อเข้มแข็ง ลุกขึ้นมาค้นหาคุณค่าของตัวเองจนพบว่าชอบอาชีพหัตถกรรม จึงสร้างงานฝีมือและพัฒนาเป็นกลุ่มหัตถกรรมงานฝีมือ เป็นฐานการผลิตส่งต่อออเดอร์ของลูกค้า

“โครงการพลังชุมชนสอนให้พึ่งตนเอง เรานำความรู้มาพัฒนาต่อยอดในหลายเรื่อง เมื่อลำไยราคาตกก็แปรรูปเป็นก๋วยเตี๋ยวลำไย ฝึกฝนทำงานหัตถกรรมไปพร้อมกับดูแลครอบครัว นำความรู้เรื่องการจัดการ มาบริหารงานภายในกลุ่ม เชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างเพื่อขยายฐานการผลิต ทั้งยังเปิดศูนย์เรียนรู้ ให้ชุมชนมีอาชีพ มีงานทำ รู้สึกภูมิใจมากที่ได้มายืนในจุดนี้”

เหล่านี้คือเสียงสะท้อนจาก “คนบันดาลใจ” ที่เป็นเพชรเม็ดงามจากโครงการ “พลังชุมชน” หลักสูตร Mini MBA สนับสนุนโดยเอสซีจี ซึ่งเป็นหลักสูตรอบรมวิสาหกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมพัฒนาศักยภาพให้ชุมชน ด้วยการให้ความรู้คู่คุณธรรม เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิด ให้พึ่งพาตนเอง เช่น สอนหลักการตลาดให้รู้จักลูกค้า แปรรูปผลิตภัณฑ์ให้โดนใจผู้บริโภค สร้างแบรนด์สินค้า และขยายช่องทางจำหน่ายให้หลากหลายอย่างออนไลน์ ช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click