แกร็บ ประเทศไทย ประกาศปรับพอร์ตฯ สินเชื่อเงินสดเพื่อพาร์ทเนอร์ร้านค้า นำเสนอ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการร้านค้าและร้านอาหารให้ครอบคลุมทุกขนาดธุรกิจ พร้อมขยายวงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 10 ล้านบาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อเดือนสำหรับร้านขนาดใหญ่ หวังช่วยเพิ่มทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องและให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย โดยยังชูจุดเด่น ขั้นตอนที่สะดวกไม่ต้องยื่นเอกสาร อนุมัติไวภายใน 1 วัน และผ่อนจ่ายสบายแบบรายวัน
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ด้วยสภาพเศรฐกิจในปัจจุบันที่ชะลอตัว จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประกอบกับอัตราหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับที่สูงส่งผลต่อการเบิกใช้สินเชื่อใหม่ อีกทั้งในช่วงไตรมาสที่สองยังคงมีแรงกดดันจากการทยอยชำระคืนสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อภาครัฐและภาคธุรกิจ ทำให้ภาพรวมตลาดสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวชะลอลงราว 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว1 โดยเป็นที่คาดการณ์ว่าตลาดสินเชื่อในปี 2567 จะมีอัตราการเติบโตเพียง 1.5% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 3%2 แม้ภาพรวมตลาดสินเชื่อของประเทศจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ธุรกิจสินเชื่อของแกร็บยังคงมีผลประกอบการที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้สินเชื่อกับกลุ่มพาร์ทเนอร์ร้านค้า ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อเงินสดจากแกร็บเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีอัตราหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 2.35% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราหนี้เสียของประเทศ3 สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของกลุ่มผู้ขอสินเชื่อเงินสดจากแกร็บ”
แกร็บได้นำเทคโนโลยี AI และ Big Data เข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง โดยพิจารณาจากพฤติกรรมและข้อมูลการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันของพาร์ทเนอร์ร้านค้า (Behavioural Scorecard) เพื่อการอนุมัติสินเชื่อและลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ขอสินเชื่อจากแกร็บมีความต้องการสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ เช่น การซื้อวัตถุดิบและบริหารสต็อกสินค้า การบริหารลูกจ้างและพนักงาน การจัดการกระแสเงินสด การปรับปรุงหน้าร้าน รวมไปถึงการอัพเกรดเทคโนโลยีและการขยายธุรกิจ เป็นต้น
“เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร ทั้งรายย่อยและ SME อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด แกร็บได้ปรับพอร์ตฯ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้าเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายตามขนาดและรูปแบบธุรกิจ พร้อมขยายวงเงินสูงสุดถึง 10 ล้านบาท โดยยังคงจุดเด่นในเรื่องของขั้นตอนการขอรับสินเชื่อที่ไม่ยุ่งยาก (ไม่ต้องยื่นเอกสาร) อนุมัติไวภายใน 1 วัน และสามารถผ่อนชำระคืนแบบรายวัน” นางสาวจันต์สุดา กล่าวเสริม
สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดเพื่อพาร์ทเนอร์ร้านค้าของแกร็บถูกออกแบบมาเพื่อเป็นตัวช่วยในการประกอบอาชีพและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยมีการกำหนดวงเงินสินเชื่อเพื่อให้สอดคล้องไปกับขนาดและรูปแบบของธุรกิจที่ต่างกันไป ซึ่งประกอบไปด้วย
· สินเชื่อเงินสดทันใจ: เจาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา) ซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้า ร้านอาหารขนาดเล็กหรือสตรีทฟู้ด โดยให้วงเงินสูงสุด 1 แสนบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2.75% ต่อเดือน4 และมีระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 9 เดือน
· สินเชื่อเงินสดทันใจ พลัส: เจาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา) ซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้า ร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีหลายสาขา โดยให้วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2.08% ต่อเดือน5 และมีระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน
· สินเชื่อเงินสดทันใจ เอ็กซ์ตร้า: เจาะกลุ่มเจ้าของธุรกิจ SME หรือแฟรนไชส์ ดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล โดยให้วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อเดือน และมีระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน
“นอกจากบริการสินเชื่อแล้ว ล่าสุด แกร็บยังได้ร่วมกับ บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) พัฒนาบริการประกันภัยสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้าแกร็บในชื่อ ‘ประกันค้าขายหายห่วง’ เพื่อให้ความคุ้มครองผู้ประกอบการธุรกิจจากเหตุไม่คาดฝันอย่างอุบัติภัยหรือภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้หรือน้ำท่วม ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท โดยมีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงวันละ 14 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ แกร็บจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ สินเชื่อ รวมถึงประกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสทางการเงินให้กับทุกคนในอีโคซิสเต็ม ทั้งผู้ใช้บริการ พาร์ทเนอร์ร้านค้าและคนขับ เพื่ออำนวยความสะดวกและเสริมศักยภาพในการสร้างรายได้และเติบโตทางธุรกิจได้อย่างมั่นคง” นางสาวจันต์สุดา กล่าวทิ้งท้าย
ตั้งเป้าดันรายได้แตะ 2,500 ล้านบาทในปี 2570 พร้อมร่วมงานแฟร์ใหญ่ THAIFEX-HOREC Asia เดือนมีนาคม
กลุ่มดุสิตธานี เดินหน้าขยายธุรกิจอาหารอย่างต่อเนื่อง หลังจาก “ดุสิต ฟู้ดส์” ที่กลุ่มดุสิตธานีถือหุ้น 75% ประสบความสำเร็จกับการลงทุนในธุรกิจอาหารที่หลากหลาย และสร้างการเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ เผยแผนปี 2567 เร่งเพิ่มฐานลูกค้าและช่องทางการจำหน่าย ด้วยการผลักดัน “ดุสิต กาสโทร” บริษัทย่อยที่ดุสิต ฟู้ดส์ ถือหุ้น 100% เป็นศูนย์กลางจัดหาวัตถุดิบให้กับลูกค้า ทั้งที่เป็นบริษัทในเครือและลูกค้าทั่วไป มั่นใจตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และแคเทอริ่ง (Hotel Restaurant Café and Catering : HoReCa) พร้อมนำทัพสินค้าและบริการร่วมงานแฟร์ใหญ่ THAIFEX-HOREC Asia ระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคมนี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี หวังดันรายได้แตะ 2,500 ล้านภายในปี 2570
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานีขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีถือหุ้นใน “ดุสิต ฟู้ดส์” ในสัดส่วน 75% ขณะที่บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ถือหุ้นในสัดส่วน 25% จนถึงขณะนี้ธุรกิจอาหารภายใต้การบริหารของ “ดุสิต ฟู้ดส์” สามารถเติบโตได้อย่างน่าพอใจ โดยในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารมีรายได้ในสัดส่วน 19.5% ของรายได้รวมของกลุ่มดุสิตธานี สูงกว่าเป้าหมายที่กลุ่มดุสิตธานีวางไว้ว่า จะกระจายรายได้ไปในธุรกิจอื่นๆ นอกจากธุรกิจโรงแรมและการศึกษาในสัดส่วน 10%
“ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่เติบโตดีและมีศักยภาพ ขณะที่กลยุทธ์ที่เราวางไว้เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอาหารก็เป็นไปตามแผน จากจุดเริ่มต้นที่เราเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรับจัดเลี้ยงหรือแคเทอริ่ง ด้วยการถือหุ้น 70% ในเอ็บเพอคิวร์ กรุ๊ป ที่ปัจจุบันให้การบริการรับจัดอาหารให้กับโรงเรียนนานาชาติ ทั้งในไทย เวียดนาม และกัมพูชา การลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่ ด้วยการถือหุ้นในบองชู กรุ๊ป ในสัดส่วน 55% ทำให้เรามีโรงงานผลิตเบเกอรี่ คือ พอร์ต รอยัล เข้ามาในพอร์ตลงทุนของเรา รวมถึงการถือหุ้นใน Savor Eats ในสัดส่วน 51% ที่จะเห็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ และในปีนี้เช่นเดียวกันที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ จะสร้างการเติบโตจากภายในผ่านบริษัท ดุสิต กาสโทร จำกัด ที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยทั้งหมดนี้ เป็นพัฒนาการของธุรกิจอาหารที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มดุสิตธานีในอนาคตอย่างแน่นอน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว
ด้าน นางสาวมณิศา มิตรไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจไว้ที่เฉลี่ยปีละ 15-18% โดยวางเป้าหมายว่าจะสามารถสร้างรายได้แตะระดับ 2,500 ล้านบาทภายในปี 2570 ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมา (9 เดือน) บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ถึง 878 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 19.5% ของรายได้โดยรวมของกลุ่มดุสิตธานีที่ 4,512 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ที่สำคัญมาจาก 2 ธุรกิจที่เข้าไปลงทุนไว้ก่อนหน้า คือ เอ็บเพอคิวร์ กรุ๊ป และบองชู กรุ๊ป โดยในปีนี้ทั้งเอ็บเพอคิวร์ ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจรับจัดอาหาร (แคเทอริ่ง) ให้กับโรงเรียนนานาชาติ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา มีแผนจะขยายลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก พร้อมๆ กับขยายการให้บริการที่นอกเหนือไปจากกลุ่มโรงเรียนนานาชาติ เช่นเดียวกับบองชู กรุ๊ป ที่มีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังจีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งจะตอบโจทย์พันธกิจหลักของ “ดุสิต ฟู้ดส์” ที่จะนำอาหารเอเชียออกไปสู่ตลาดโลก
“พัฒนาการที่สำคัญของ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ในปีนี้ คือ การทำให้ภาพการเป็นบริษัทที่ลงทุนด้านอาหารในรูปโฮลดิ้งส์ชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาเรามองหาโอกาสลงทุนในพันธมิตรจากภายนอกที่แข็งแกร่ง ทำให้เราเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในปีนี้เราจะรุกการเป็น Food Solutions ที่จะขับเคลื่อนจากภายใน ผ่านบริษัท ดุสิต กาสโทร จำกัด ที่ ‘ดุสิต ฟู้ดส์’ ถือหุ้น 100% โดย “ดุสิต กาสโทร” จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดหาวัตถุดิบคุณภาพ (Food Sourcing Hub) ตั้งแต่ข้าวออร์แกนิค ที่กลุ่มดุสิตธานีทำสัญญากับเกษตรกรโดยตรง รวมถึงเครื่องปรุงชนิดต่างๆ เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าทั้งในเครือและนอกเครือ ตลอดจนสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร (Innovation) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ “ดุสิต กาสโทร” ที่สามารถรับคำสั่งในการรังสรรค์เมนูอาหาร รวมถึงขนมอบต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง ตั้งแต่วัตถุดิบ ขนาด รสชาติ และงบประมาณ ซึ่งจะทำให้ “ดุสิต กาสโทร” เป็นจุดเชื่อมทุกธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีไปสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะการให้บริการในกลุ่มเท่านั้น โดยขณะนี้ ‘ดุสิต กาสโทร’ ได้เริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าในธุรกิจค้าปลีก โรงแรม ร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมัน ที่มีสาขาทั่วประเทศ รวมถึงศูนย์แสดงสินค้าขนาดใหญ่” กรรมการผู้จัดการ ดุสิต ฟู้ดส์ กล่าว
ล่าสุด “ดุสิต ฟู้ดส์” ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่และแคทอริ่ง (HoReCa : Hotel Restaurant Café and Catering) ด้วยการนำ “ดุสิต กาสโทร” ร่วมเปิดตัวในงาน “ไทยเฟ็กซ์-โฮเรค เอเชีย” (THAIFEX-HOREC Asia) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่เน้นธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและการจัดเลี้ยง (HoReCa) และนับเป็นงานแสดงสินค้าครั้งสำคัญโดยความร่วมมือของพันธมิตร ที่ล้วนเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมอาหารทั้งในประเทศและภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี (Hall 10 - K14)
“เรามั่นใจว่า ‘ดุสิต กาสโทร’ จะตอบโจทย์ที่เป็น pain point หรือปัญหาสำคัญของผู้ประกอบการกิจการอาหาร ที่ต้องเผชิญภาวะการขาดแรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น มาตรฐานของวัตถุดิบและการผลิตที่ไม่สามารถควบคุมให้สม่ำเสมอได้ ปัญหาขยะอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรับมือได้ยาก ดังนั้น บริการของ “ดุสิต กาสโทร” ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการรับคำสั่งจากลูกค้า เชื่อมต่อระหว่างลูกค้ากับธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่ม “ดุสิต ฟู้ดส์” และพันธมิตรด้านอาหารของเรา จะตอบโจทย์และลดปัญหาที่ลูกค้าในกลุ่ม HoReCa ต้องเผชิญมาโดยตลอด” นางสาวมณิศากล่าว
ธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยว-บริการ ยังยกการ์ดสูง พร้อมเข้มด้านมาตรฐานความสะอาด ปลอดเชื้อ สร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการ ส่งผลอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับทำความสะอาดเป็นที่ต้องการสูง ด้าน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ร่วมจับมือชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย และกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เปิดโซนใหม่ Cleaning & Hygiene Thailand (CHT) เตรียมขนนวัตกรรมล่าสุดด้านการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ พร้อมกิจกรรมสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ในการทำความสะอาด
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 กล่าวถึงการเติบโตและความต้องการอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมด้านความสะอาด ปลอดเชื้อ ปลอดภัยของกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการว่า จากยุคโควิดเป็นต้นมา การจัดการด้านความสะอาดและการดูแลเรื่องการปลอดเชื้อของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและธุรกิจบริการ ได้ถูกยกระดับให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น จากมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยสำหรับสถานประกอบการ SHA และ SHA Plus ที่ภาครัฐกำหนดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการ จนวันนี้มาตรการดังกล่าวกลายเป็นมาตรฐานที่ผู้ประกอบการธุรกิจยังคงเข้มปฏิบัติตามและให้ความสำคัญอย่างเข้มแข็ง ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของการท่องเที่ยวไทยที่ได้รับการถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ในเรื่องการดูแลสุขอนามัยของนักท่องเที่ยว จากการที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อมาตรฐานด้านสุขอนามัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลต่อธุรกิจอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งได้รับอานิสงค์ร่วมไปกับการเติบโตของการท่องเที่ยวด้วย
การจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ในครั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย และกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ได้เปิดโซน Cleaning & Hygiene Thailand (CHT) ซึ่งเป็นโซนใหม่ขึ้น เพื่อให้เป็นงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยี ด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ เครื่องใช้ในโรงแรม ภัตตาคาร การจัดเลี้ยงและการบริการนานาชาติที่ครบวงจรที่สุดอย่างแท้จริง โดยในโซน CHT นี้จะเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการธุรกิจอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์รายใหญ่ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่พร้อมนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อใหม่ล่าสุด ที่มีประสิทธิภาพสูงมาร่วมจัดแสดง อาทิ เครื่องขัดพื้นอัตโนมัติแบบนั่งขับ น้ำยาทำความสะอาด เทคโนโลยีชีวภาพ (Ecologo) สำหรับธุรกิจอาหาร เครื่องซักผ้ามาตรฐานระดับโลก เครื่องฟอกอากาศระบบไฟฟ้าสถิตสำหรับห้องครัว ระบบฟอกอากาศภายในอาคาร, ฆ่าเชื้อพื้นผิว เครื่องกรองน้ำระดับพรีเมียมสำหรับธุรกิจ
ร้านอาหารและคาเฟ่ รวมถึงกิจกรรมให้ความรู้ต่างๆ อาทิ นวัตกรรมอากาศสะอาดด้วยเซลาฟิวชั่นเทคโนโลยี ความรู้เบื้องต้นและวิธีการทำความสะอาดพรม
นางจรีวรรณ หอมบุบผา ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของการรักษามาตฐานด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการว่า ในฐานะองค์กรตัวแทนของผู้ปฏิบัติงานแม่บ้านยังยึดมั่นในข้อปฏิบัติและกฎระเบียบด้านความสะอาด ปลอดเชื้อ ปลอดภัยไว้อย่างเข้มแข็ง วันนี้โควิดยังไม่หมดไปและอาจมีโรคใหม่เกิดขึ้นอีก การป้องจึงเป็นทางที่ดีที่สุดทางหนึ่ง ซึ่งบทบาทของชมรมฯนอกจากจะสนับสนุน ให้ความรู้ พัฒนาการทำงานของพนักงานแม่บ้านแล้ว ยังรวมถึงการจัดหา ฝึกอบรม พัฒนาบุคลากร เพื่อป้อนสู่สถานประกอบการโรงแรมด้วย ส่วนความร่วมมือกับงาน Food & Hospitality Thailand นั้น ทางชมรมฯ ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ซึ่งกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ มีทั้งการสัมมนาเกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ในการทำความสะอาด การปรับใช้อุปกรณ์และน้ำยาทำความสะอาดให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด กิจกรรมแฟชั่นโชว์จากวัสดุเหลือใช้ เป็นการแสดงความคิดสร้างสรรค์ สร้างความตระหนักถึงคุณค่าของการนำกลับมาใช้ใหม่
นายสุกานต์ อินทรสูต ผู้จัดการอาวุโส (ช่องทางจัดจำหน่าย) บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อและทำความสะอาดหลังการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวว่า เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติมากขึ้น มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรม การใช้บริการร้านอาหาร และบริการอื่นๆ รวมถึงยังได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ อาทิ สปา ฟิตเนส โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศูนย์ราชการ ทำให้ไตรมาส 1 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 30% ใกล้เคียงกับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อ ลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มโรงแรม 60% ร้านอาหาร 20% และอื่นๆ อีก 20% ซึ่งการเข้าร่วมงาน Food & Hospitality Thailand ถือเป็นการสร้างความรู้จักและตอกย้ำในความเป็นผู้นำเทคโนโลยีทำความสะอาด Cleaning Hygiene Solutions แก่ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอื่นๆ โดยไฮไลท์การจัดแสดงงานในปีนี้นอกจากจะมี Solutions ที่ครบวงจรแล้ว ยังมีการจัดแสดงหุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เครื่องล้างจานที่เป็นดิจิตอลทั้งหมด และเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นางสาวพนิดา มหชวโรจน์ กรรมการ บริษัท เค.เอช.ที.เซ็นทรัลซัพพลาย จำกัด กล่าวว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวส่งผลดีต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเราเป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับอุปกรณ์ซัก อบ รีด สำหรับโรงแรม รีสอร์ท โรงพยาบาล โรงซักผ้า และร้านสะดวกซักต่างๆ ซึ่งสัญญาณการฟื้นตัวเริ่มเห็นชัดว่าตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา (2565) จากการที่ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก ได้ติดต่อเรียกทีมบริการของบริษัทฯ ให้เข้าไปตรวจเช็คระบบและอุปกรณ์ของเครื่องซัก อบ รีด เพื่อเตรียมรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเครื่องซักผ้านั้น ลูกค้ามีความต้องการเครื่องที่สามารถซักน้ำร้อนและอบผ้ามากขึ้น เพื่อใช้ความร้อนมาเป็นตัวฆ่าเชื้อ ซึ่งทางบริษัทฯ คาดว่าในปีนี้จะเติบโตได้ถึง
7-10% ส่วนการร่วมจัดแสดงงานกับทาง Food & Hospitality Thailand นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ทำให้เราได้พบกับผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว โรงพยาบาล และธุรกิจบริการทั้งในประเทศและกลุ่ม CLMV ที่ล้วนแต่เป็นกลุ่มลูกค้าของเราโดยตรง โดยไฮไลท์ในปีนี้ที่ทาง เค เอช ที เซ็นทรัลซัพพลาย ได้นำเครื่องซัก อบ รีด รุ่นยอดนิยม ที่มีดีไซน์ใหม่ พร้อมฟังชั่นที่น่าสนใจจากประเทศอเมริกามาร่วมออกงานในครั้งนี้ด้วย
นายปวัน เอี่ยมเจริญยิ่ง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ บริษัท แมททีเรียล เวิลด์ จำกัด ได้กล่าวเสริมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อธุรกิจอุปกรณ์ทำความสะอาดว่า การกลับมาของนักท่องเที่ยวทำให้ธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจบริการไปต่อได้ ส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ทำความสะอาด ตั้งแต่ถังขยะไปจนถึงอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่ง แมททีเรียลเวิลด์ มีแผนกที่ดำเนินธุรกิจผู้นำเข้าสินค้ากลุ่มธุรกิจบริการ (Hospitality) เป็นอุปกรณ์ Premium จากหลายประเทศ โดยเฉพาะ Rubbermaid ที่ถือว่าเป็นแบรนด์ผู้นำตลาด การร่วมจัดแสดงงานกับ Food & Hospitality Thailand ถือเป็นงานสำคัญที่เราจะได้สื่อสารกับลูกค้าที่ตรงกลุ่ม เพราะผู้เยี่ยมชมงานส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการและผู้อยู่ในธุรกิจตัวจริง ส่วนการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ในปีนี้จะมีความหลากหลายและครอบคลุมในทุกกลุ่มมากขึ้น ตั้งแต่ประเภทลูกค้าโรงงาน โรงแรม ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน
ไทยพาณิชย์ หนุนร้านอาหารแก้เกมส์ธุรกิจพลิกฟื้นรายได้ด้วยกลยุทธ์การตลาด
ถอดเคล็ดลับ ZEN Group - Phoenix Lava ต่อยอดจุดแข็งสร้างโอกาสใหม่อย่างทรงพลัง
กิจการร้านอาหารเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และถึงแม้ประเทศไทยจะผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ให้ผู้บริโภคสามารถนั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้แล้ว แต่การพลิกฟื้นยอดขายและรายได้คงไม่สามารถกลับมาเป็นเช่นเดิมตราบใดที่สถานการณ์โควิดยังคงมีต่อเนื่อง การปรับแผนธุรกิจและทบทวนกลยุทธ์การตลาดให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันและเทรนด์ในอนาคตอาจจะเป็นหนทางพลิกวิกฤตสู่โอกาสให้กับธุรกิจอย่างที่คาดไม่ถึง
นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่ซบเซาลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ประกอบการร้านอาหารมียอดขายและรายได้ที่ลดลงอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันมีธุรกิจร้านอาหารอีกส่วนหนึ่งที่กลับมียอดขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจเติบโตจนต้องขยายสาขาเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของธุรกิจไม่อยู่นิ่งเฉย แต่พยายามปรับแผนธุรกิจให้เท่าทันกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก กลาง และขนาดใหญ่ ล้วนต่างต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดในวันนี้และพร้อมที่จะก้าวต่อไปในวันข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง ธนาคารไทยพาณิชย์มีตัวอย่างร้านอาหารที่สามารถดึงจุดแข็งของตัวเองมาใช้เพื่อการปรับแผนธุรกิจและพัฒนากลยุทธ์การตลาดจนประสบความสำเร็จ จากประสบการณ์จริงของ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของเชนร้านอาหารแบรนด์ชั้นนำของไทย และร้าน Phoenix Lava ซึ่งปัจจุบันมีสาขามากกว่า 10 แห่ง โดยร่วมถอดประสบการณ์ในเวทีสัมมนา “เปิดสูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอด” ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
นายศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจแบรนด์ไทย บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ธุรกิจของเซ็นกรุ๊ปได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากถึง 80% เนื่องจากร้านอาหารส่วนใหญ่อยู่ในห้างและยอดขายจากบริการเดลิเวอรี่ทำได้เพียง 20 - 30% จากที่เคยขายได้ ในวิกฤตครั้งนี้แบรนด์ “เขียง” เป็นเหมือนฮีโร่ของกลุ่มเพราะยังสามารถทำยอดขายได้ดีสวนกระแส มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายสาขาแล้วมากกว่า 100 สาขา และตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาให้ได้ 5 - 6 สาขาต่อเดือน มีร้านอาหารหลากหลายแบรนด์ที่อยู่ภายใต้เซ็นกรุ๊ป ซึ่งเราประเมินแล้วว่าการแก้เกมส์ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้คงไม่สามารถใช้ยาตัวเดียวแก้ปัญหาให้กับทุกแบรนด์ได้ เพราะแต่ละแบรนด์มีลักษณะตัวตนและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำอย่างแรกคือ 1) ทำความเข้าใจลูกค้าของตัวเองให้ชัดเจน แล้วจึงปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้อง เช่น ร้านตำมั่วได้ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นปลาร้า และแจ่วบองบรรจุขวด เพื่อให้ลูกค้าทำส้มตำเองที่บ้านได้รสชาติอร่อยเหมือนที่ร้าน ส่วนร้านเขียง
ซึ่งเป็นร้านข้าวแกงยุคใหม่ใช้กลยุทธ์การเร่งเปิดสาขาเพราะสาขายิ่งใกล้บ้านลูกค้ามากเท่าใด ค่าส่งอาหารอาจจะฟรีหรือเสียน้อยมาก แต่ถ้าเขียงยังมีสาขาน้อยค่าส่งอาจแพงกว่าค่าอาหาร ซึ่งอาจเป็นผลให้ลูกค้าเลือกที่จะไม่สั่งสินค้าของเรา 2) วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและมองภาพอนาคตหลังวิกฤต การแก้เกมส์ในช่วงโควิดเจ้าของร้านอาหารต้องใจเย็นและไม่ทำตามกระแส เราควรศึกษาข้อมูลเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ว่าโควิดจะอยู่อีกนานเพียงใด ธุรกิจของเราควรอยู่นิ่งๆ หรือลุกขึ้นมาออกผลิตภัณฑ์และสร้างแบรนด์ใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหากโควิดจบลงก่อนก็จะเป็นการใช้พละกำลังอย่างสูญเปล่า หรือหากคาดว่าโควิดจะอยู่อีกยาวก็จะต้องคิดวางแผนอย่างรอบคอบ กรณีของเซ็นกรุ๊ปเราวิเคราะห์แล้วว่า เขียงเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพจึงวางกลยุทธ์ให้เขียงมีสาขาที่กระจายให้ลูกค้าเข้าถึงได้มากที่สุดและต้องทำให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างรายรับมาหล่อเลี้ยงบริษัทอย่างเพียงพอในสถานการณ์เช่นนี้
สิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายให้ร้านอาหารได้อย่างดีคือการจัดโปรโมชั่น โดยเซ็นกรุ๊ปยึดแนวทางว่า 3) ทุกแคมเปญต้องตั้งต้นที่ลูกค้า ด้วยหลักคิดแบบ Outside-In เราเชื่อว่าการจัดโปรโมชั่นหรือให้ของแถมในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ผลลัพธ์มักออกมาดีเสมอ ในทางตรงข้ามหากนำอาหารที่ขายไม่ดีมาจัดโปรโมชั่นเพียงเพราะต้องการจะระบายสินค้าผลลัพธ์ก็จะออกมาไม่ดีและไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การให้ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการจะสร้างผลลัพธ์แบบ Win Win แต่ทั้งนี้ร้านจะต้องคำนวณปริมาณการขายที่คุ้มทั้งคนซื้อและคนขาย หากแบรนด์ต้องการเป็นที่รักของสังคมจังหวะนี้จึงควรหยิบยื่นโอกาสถ้าพอแบ่งปันได้ เมื่อสถานการณ์กลับมาปกติลูกค้าจะกลับมาหาเราอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจร้านขนมที่สามารถรักษาการเติบโตของยอดขายได้อย่างดีตลอดช่วง โควิด-19 นายปริญญ์ สุขสมิทธิ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Phoenix Lava เล่าว่า ยอดขายที่ดีในวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลลัพธ์จากการปรับตัวเมื่อครั้งธุรกิจต้องเผชิญกับวิกฤตตั้งแต่ช่วง 3 - 4 ปีที่แล้ว เดิม Phoenix Lava มีสินค้าเป็นซาลาเปาเพียงอย่างเดียวและได้รับความนิยมอย่างมาก แต่วันหนึ่งเมื่อกระแสหมดไปยอดขายก็ตกลงอย่างหนัก เราจึงเริ่มปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจใหม่และวางโมเดลธุรกิจให้สอดรับกับตลาดกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย และเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มเดลิเวอรี่มากขึ้น ดังนั้นเมื่อเกิดโควิด-19 ธุรกิจของเราจึงยังไปต่อได้ แต่เรายังคงปรับตัวต่อเนื่องและทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วยหลักดังต่อไปนี้ 1) เพิ่มรายได้จากทรัพยากรที่มีอยู่เดิม กล่าวคือลองสร้างสรรค์เมนูใหม่จากวัตถุดิบประเภทเดียวกัน ทางร้านจึงออกเมนูใหม่มาเป็น ข้าวแกงกระหรี่ ซึ่งมีการใช้เนยเป็นวัตถุดิบหลักเช่นเดียวกับซาลาเปา จึงสามารถใช้เครื่องจักรร่วมกันได้ และใช้สาขา Phoenix Lava ทำเป็นครัวเล็กๆ ด้านหลังและเป็นช่องทางกระจายสินค้าให้กับไรเดอร์และจำหน่ายหน้าร้านได้ด้วย 2) ขยายพันธมิตรสร้างโอกาสให้ธุรกิจ การทำธุรกิจเพียงลำพังให้อยู่รอดในภาวะแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เราลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีการขยายความร่วมมือทั้งการทำ Cloud Kitchen ในร้านอาหารและโรงแรมต่างๆ ทำให้เราอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้ลูกค้ามากขึ้น และปัจจุบันยังได้ต่อยอดสู่การขายแฟรนไชส์สำหรับจัดหาวัตถุดิบโดยเฉพาะ รวมถึงการนำแกงกะหรี่ไปให้กับโรงแรมและร้านอาหารพันธมิตรช่วยเป็นช่องทางการขาย ซึ่งส่งผลให้มียอดขายเติบโตค่อนข้างดี 3) จัดสรรพื้นที่หน้าร้านให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ปัจจุบัน ด้วยเทรนด์รักษาระยะห่างอย่างในปัจจุบัน พื้นที่ Full Service หน้าร้านอาจไม่จำเป็นเสมอไป เราจึงลองปรับขนาดพื้นที่หน้าร้านให้เล็กลงเน้นการบริการสำหรับการขายแบบ Grab and Go และ Delivery
อย่างละ 50% โดยการขยายสาขาแฟรนไชส์ที่ตั้งเป้าหมายไว้เดือนละ 1 สาขาก็จะเดินไปในแนวทางนี้ ซึ่งมีประโยชน์ในการลดต้นทุนเปิดร้านและค่าเช่าพื้นที่ได้ด้วย รวมถึงการทดลองโมเดลใหม่ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจที่มีต้นทุนในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยทำให้ได้ เพื่อความสำเร็จในการต่อสู้กับเกมส์ที่ยังไม่รู้จุดสิ้นสุด
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถติดตามข้อมูลเคล็ดลับธุรกิจ และกิจกรรมงานสัมมนาที่จะเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจจากธนาคารไทยพาณิชย์และพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ตลอดทั้งปี ผ่านช่องทางเว็บไซต์www.scbsme.scb.co.th Facebook: www.facebook.com/groups/scbsme/ หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลธุรกิจได้ทาง SCB SME Business Call Center โทร.02 7222222
###