

นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ (คนกลาง) พร้อมด้วยนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) (คนแรกซ้ายมือ) และ ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) (คนแรกขวามือ) ประกาศความร่วมมือในการก่อตั้ง Sustainable Business Desk ในงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนและผลักดันสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน เมื่อเร็วๆ นี้
นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ กล่าวถึง การจัดตั้ง Sustainable Business Desk ในการเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนและผลักดันไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality - CN) ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมส่งผลกระทบต่อโลกอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร ฯลฯ ทำให้หลายประเทศร่วมมือกันประกาศเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) โดยหลายหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมโลกได้กำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตาม ส่วนผู้บริโภคและคู่ค้านั้นก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจหรือสินค้าที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) มากขึ้น

ดังนั้นเจโทร กรุงเทพฯ จึงจัดตั้ง Sustainable Business Desk ขึ้น ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น โดยบทบาทสำคัญของศูนย์ฯ มีหน้าที่ช่วยเหลือภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งไทยและญี่ปุ่นในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลของความร่วมมือสะท้อนผ่านการจัดงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เวทีความร่วมมือของภาครัฐไทยและญี่ปุ่น ทั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) รวมถึงความร่วมมือจากภาคเอกชนไทยและญี่ปุ่น ที่ได้ร่วมกันทำงานจนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ที่ร่วมกับ บริษัท Thermalytica ในด้านการดำเนินงาน พร้อมนำเสนอแนวทางความยั่งยืนในโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีการลดอุณหภูมิในโรงเรือนเพื่อทดสอบแนวคิด กระบวนการ และขั้นตอน (Proof of Concept (PoC)) การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และ บริษัท CBT/Toray ที่ร่วมกันพัฒนาเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น น้ำตาลชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช้เป็นอาหารไปสู่การผลิตเรซินชีวภาพและเส้นใยชีวภาพเพื่อการพาณิชย์ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รวมถึงยังมีการเซ็นต์สัญญาความร่วมมือระหว่างโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP Power Limited) และ บริษัท Algal Bio ในโครงการนำร่องการส่งเสริมเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) โดยอาศัยจุลสาหร่ายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Microalgae CCUS)

ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในการผลักดันอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน โดยศูนย์แห่งนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการลงทุน การพัฒนานวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดล BCG (Bio Circular and Green Economy) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลและ BOI
ที่ผ่านมา BOI มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนที่ยั่งยืน ผ่านมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยในปี 2567 BOI ได้อนุมัติโครงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวมวล ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือผลิตภัณฑ์จากการรีไซเคิล เป็นต้น รวม 939 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 230,000 ล้านบาท หากนับตั้งแต่ปี 2561-2567 BOI ได้ให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG รวม 5,380 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสะสมกว่า 1.15 ล้านล้านบาท ซึ่งแสดงถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และความมุ่งมั่นของไทยในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีเขียวของภูมิภาค
BOI ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การขยายการส่งเสริมกิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก การพัฒนา Bio Hub ในภาคต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของไทย และการปรับปรุงมาตรการ Smart & Sustainable Industry เพื่อช่วยให้กิจการต่างๆ สามารถลงทุนเพื่อยกระดับการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงส่งเสริมให้ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับสากล ทั้งนี้ BOI จะยังคงทำงานร่วมกับเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทยสามารถรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างยั่งยืน
สำหรับบทบาทของนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในพื้นที่ EEC นั้น ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI ระหว่างปี 2561-2567 ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,823,805 ล้านบาท หรือประมาณ 52.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สัดส่วนเฉลี่ยการลงทุนในพื้นที่ EEC คิดเป็นร้อยละ 52 เทียบกับทั้งประเทศ

ในปี 2567 มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI สูงถึง 374,407 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ EEC เมื่อปี 2561 โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 2,425 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ 110,681 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ 75,302 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG 27,609 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการ 41,686 ล้านบาท และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง 116,704 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายสำคัญในพื้นที่ EEC ด้วยสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 12 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในพื้นที่ EEC ระหว่างปี 2561-2567 โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
สำนักงาน EEC ตั้งเป้าหมายการลงทุนปี 2568 ไว้ที่ 150,000 ล้านบาท โดยในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566 - ปี 2570) ตั้งเป้าการลงทุนรวมไว้ที่ 500,000 ล้านบาท
ในปัจจุบัน สำนักงานมีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนของญี่ปุ่นในการขับเคลื่อนการลงทุนในพื้นที่ EEC หลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG การจัดตั้ง Sustainable Business Desk นั้น สกพอ. ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง โดยทางญี่ปุ่นเองถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระดับภูมิภาคในกลุ่มอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและประหยัดพลังงาน การผลิตพลังงานสะอาด เทคโนโลยีการติดตามและบริหารจัดการคาร์บอนในองค์กร ฯลฯ ซึ่งอุตสาหกรรมไทยอยู่ระหว่างการปรับตัวจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและยังมีช่องว่างในการเติบโตที่สูง จึงเหมาะกับการจับคู่ทางธุรกิจให้เกิดการลงทุนใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีของบริษัทญี่ปุ่น และในอนาคตจะไม่จำกัดเฉพาะการซื้อและใช้งานเทคโนโลยีเท่านั้น แต่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในรูปแบบการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาคมากขึ้น สอดคล้องกับการส่งเสริมด้านการลงทุนที่เน้น Co-creation ของรัฐบาลญี่ปุ่นอีกด้วย
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และนายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก สู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยจะเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงนักลงทุนซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงในระดับภูมิภาค แต่ยังรวมถึงนักลงทุนระดับโลกในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านเครือข่ายระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซีใน 58 ประเทศและเขตดินแดน สร้างโอกาสการลงทุนจากตลาดสำคัญ อาทิ จีน ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น โดยจะมุ่งพัฒนากลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซี พร้อมให้การสนับสนุนด้านโซลูชันทางการเงิน และคำปรึกษาครบวงจร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนจากทั่วโลก
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายที่จะสนับสนุน สกพอ.ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก
![]()
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”
ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ และอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซี เพื่อปลดล็อคโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ โดยในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น
“สกพอ. มุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนและดำเนินธุรกิจ ผ่านการสนับสนุนตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเจรจาสิทธิประโยชน์จนถึงการเริ่มต้นประกอบกิจการ ความร่วมมือกับธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าระดับโลกของธนาคารฯ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังเข้ามาสนับสนุนด้านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมในประเทศให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาดโลก เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก และตอกย้ำบทบาทของอีอีซีในฐานะจุดหมายของการลงทุนชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในระดับภูมิภาค” ดร.จุฬา กล่าวเสริม
![]()
นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนเป้าหมายของการลงทุนในประเทศไทยว่า “ในขณะที่ธุรกิจระหว่างประเทศยังคงปรับแผนด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)”
ธนาคารเอชเอสบีซี เล็งเห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่ แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น
“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” นายกัมบา กล่าว
ภายหลังพิธีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ยังมีการสัมมนาเกี่ยวกับศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอกาสที่ธุรกิจระดับนานาชาติจะได้รับจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทย และการสนับสนุนในเชิงนโยบายจาก สกพอ.
โดยในงานแถลงข่าวและการสัมมนา มีบุคคลสำคัญและผู้แทนกว่า 50 ราย จากบริษัทระดับโลกชั้นนำ ตลอดจนสถานทูตและหอการค้าระหว่างประเทศเข้าร่วมงาน เช่น สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา สถานเอกอัครราชทูตเวียดนาม สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และหอการค้าอังกฤษ-ไทย เป็นต้น
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และนายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก สู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยจะเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงนักลงทุนซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงในระดับภูมิภาค แต่ยังรวมถึงนักลงทุนระดับโลกในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านเครือข่ายระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซีใน 58 ประเทศและเขตดินแดน สร้างโอกาสการลงทุนจากตลาดสำคัญ อาทิ จีน ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น โดยจะมุ่งพัฒนากลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซี พร้อมให้การสนับสนุนด้านโซลูชันทางการเงิน และคำปรึกษาครบวงจร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนจากทั่วโลก
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายที่จะสนับสนุน สกพอ.ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”
ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ และอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซี เพื่อปลดล็อคโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ โดยในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น
“สกพอ. มุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนและดำเนินธุรกิจ ผ่านการสนับสนุนตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเจรจาสิทธิประโยชน์จนถึงการเริ่มต้นประกอบกิจการ ความร่วมมือกับธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าระดับโลกของธนาคารฯ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังเข้ามาสนับสนุนด้านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมในประเทศให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาดโลก เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก และตอกย้ำบทบาทของอีอีซีในฐานะจุดหมายของการลงทุนชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูงในระดับภูมิภาค” ดร.จุฬา กล่าวเสริม

นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนเป้าหมายของการลงทุนในประเทศไทยว่า “ในขณะที่ธุรกิจระหว่างประเทศยังคงปรับแผนด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)”
ธนาคารเอชเอสบีซี เล็งเห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น
“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” นายกัมบา กล่าว
ภายหลังพิธีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ยังมีการสัมมนาเกี่ยวกับศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอกาสที่ธุรกิจระดับนานาชาติจะได้รับจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทย และการสนับสนุนในเชิงนโยบายจาก สกพอ.
โดยในงานแถลงข่าวและการสัมมนา มีบุคคลสำคัญและผู้แทนกว่า 50 ราย จากบริษัทระดับโลกชั้นนำ ตลอดจนสถานทูตและหอการค้าระหว่างประเทศเข้าร่วมงาน เช่น สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี สถานเอกอัครราชทูตแคนาดา สถานเอกอัครราชทูตเวียดนาม สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และหอการค้าอังกฤษ-ไทย เป็นต้น
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และเสริมสถานะให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ ผ่านเครือข่ายธนาคารยูโอบี ที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ธนาคารยูโอบี และ สกพอ. จะนำความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่มีมาร่วมนำเสนอโซลูชันทางการเงินและบริการให้คำปรึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการลงทุนให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมอุตสาหกรรมหลักตามกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย อันได้แก่ ยานยนต์ยุคใหม่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัลและนวัตกรรม รวมถึงเศรษฐกิจสีเขียวและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “การร่วมมือระหว่างธนาคารยูโอบี และ สกพอ. แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการมีส่วนร่วมในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเราจะให้การสนับสนุนแบบครบวงจรแก่นักลงทุนทั้งในประเทศ ภูมิภาค และระดับนานาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางชั้นนำด้านนวัตกรรมและการพัฒนาในภูมิภาคนี้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของ สกพอ.”
ความร่วมมือครั้งนี้จะครอบคลุมโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการร่วมกัน อาทิ แคมเปญส่งเสริมการลงทุน การจัดโรดโชว์สำหรับนักลงทุน และการสนับสนุนผ่านหน่วยงานที่ปรึกษาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDIA) ของธนาคาร ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2563 หน่วยงาน FDIA ของยูโอบีได้สนับสนุนให้บริษัทกว่า 450 แห่งขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศไทย โดยคาดว่าสร้างมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศกว่า 45,000 ล้านบาท และสร้างโอกาสการจ้างงานให้กับคนไทยมากกว่า 31,000 ตำแหน่ง
![]()
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า “การร่วมมือกับธนาคารยูโอบี สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนเป้าหมายทางเศรษฐกิจของไทย การดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธนาคารยูโอบีในประเทศไทย และเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับนักลงทุนที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมความสามารถของ สกพอ. ในการเสนอโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจร ไม่เพียงแต่สำหรับโครงการในประเทศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับฐานลูกค้าที่หลากหลายและขยายตัวเพิ่มขึ้นของธนาคารยูโอบี โดยทั้งสององค์กรมุ่งมั่นดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างโอกาสให้กับชุมชนในประเทศไทย”
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก และนโยบายที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างปัจจัยบวกให้ประเทศไทย โดยนักลงทุนจะได้รับบริการธนาคารที่ราบรื่นไร้รอยต่อ คำแนะนำด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติ และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ เป็นต้น