December 05, 2025

นับเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์แนวใหม่ที่ถ่ายทอดความรู้จาก รพ.รัฐ สู่เอกชน มุ่งหาทางรอดรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีโอกาสหายได้ ถึง 70% เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ เครือโรงพยาบาลสมิติเวช ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการรักษาด้วยนวัตกรรม Cell Therapy & Gene Therapy เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาของไทยสู่ระดับสากล เป็นการรักษาแบบเซลล์และยีนบำบัด โดยนำเลือดมาสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันดัดแปลงให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้โดยตรง เป็นครั้งแรกของอาเซียน

สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งนี้ถูกถ่ายทอดในงาน ประชุมวิชาการระดับนานาชาติ “The Cell Therapy & Gene Therapy Symposium 2025” ถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 7 กันยายน 2568  ณ  รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ และ รร. เมอเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพฯ  ที่ผ่านมา โดยรวมผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย, นวัตกรรม CAR T- cell รักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ดื้อยา, ความก้าวหน้าของการรักษาด้วยยีนบำบัด, รวมถึงการดูแลภาวะแทรกซ้อนและผลวิจัยทางคลินิกมาตรฐานโลก ตอกย้ำบทบาทไทยในการก้าวสู่ผู้นำด้านการรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย

ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง รองคณบดีกิจการพิเศษ และหัวหน้า Center of Excellence for Cell Therapy and Gene Therapy คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และกุมารแพทย์โรคมะเร็งและโรคเลือด โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายว่า โรคธาลัสซีเมีย และ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้นำไปสู่แนวทางการรักษาใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้แก่ผู้ป่วยได้

ปัจจุบัน นอกจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด (คีโม) ยังมีทางเลือกสำคัญอย่างเช่น การปลูกถ่ายไขกระดูก สำหรับผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย มะเร็งบางชนิด และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ โดยเฉพาะเทคนิค Haploidentical Stem Cell Transplantation ซึ่งใช้สเต็มเซลล์จากพ่อหรือแม่หรือสมาชิกในครอบครัว ผลลัพธ์ของเทคนิคนี้พบว่า เด็กที่ได้รับการปลูกถ่ายมีอัตราการรอดชีวิตใน 1 ปีสูงถึง 100% และการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ด้วยนวัตกรรม CAR T-cell ซึ่งเป็นการรักษาแบบเซลล์และยีนบำบัด  ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาที่มีอยู่ราว 30% โดยนำเซลล์เม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยมาปรับแต่งพันธุกรรมในห้องปฏิบัติการแล้วฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย ให้โจมตีเซลล์มะเร็งโดยตรง เพิ่มโอกาสหายขาดให้แก่ผู้ป่วยที่หมดความหวังได้ถึง 70% แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้มากกว่า 5 เท่า

ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า งานประชุมนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือโรงพยาบาลสมิติเวช มุ่งยกระดับการรักษาด้วย Cell Therapy & Gene Therapy สู่มาตรฐานสากล  และยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากภาครัฐสู่ภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีและการดูแลที่มีมาตรฐานสูง ลดข้อจำกัดเรื่องสถานที่และคิวการรักษา และสามารถต่อยอดไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยในภูมิภาคเข้าถึงนวัตกรรมทันสมัย การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ไม่เพียงช่วยเพิ่มศักยภาพบุคลากรไทย แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่ทันสมัยและมีความหวังใหม่ในการต่อสู้กับโรคร้าย

ทางด้านพญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช และผู้อำนวยการ รพ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ยาวนาน ของโรงพยาบาลสมิติเวช ที่ได้เปิดศูนย์ดูแลเด็กป่วยมะเร็งและบริการปลูกถ่ายไขกระดูกมาเป็นเวลากว่า 20 ปี  และได้ร่วมมือกับ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในการศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยี CAR T-cell  เป็นการผสมผสานระหว่างเซลล์และยีนบำบัด มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา แต่ยังเปิดทางให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ในโรงพยาบาลเอกชนโดยไม่ต้องรอนาน ภายใต้กระบวนการรักษาและห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานสากล (GMP) ในประเทศไทย  นี่คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) ของเอเชีย”

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ได้แก่

Professor Philippe Leboulch แพทย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Paris-Saclay ประเทศฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำการศึกษาพัฒนา lentivirus เพื่อเป็นพาหะสำหรับการปรับแต่งยีนของโรคพันธุกรรมต่างๆ และเป็นหนึ่งในทีมการศึกษาวิจัยการรักษาด้วยยีนบำบัดในผู้ป่วยโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย (Beta-Thalassemia) ได้สำเร็จ โดยจะมาร่วมบรรยายในหัวข้อ “All About the Future of Gene Therapy”

Prof. Hideki Marumatsu, M.D., Ph.D. กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านโรคเลือดและโรคไขกระดูก จาก มหาวิทยาลัยนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น ผู้มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาโรค Aplastic Anemia และกลุ่มโรค Bone Marrow Failure ชนิดต่างๆ และมีการศึกษาติดตามผู้ป่วย Japan Childhood Aplastic Anemia Cohort Study จะมาร่วมบรรยายในหัวข้อ “Hematopoietic Stem Cell Transplantation in Aplastic Anemia and Inherited Bone Marrow Failure”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างยั่งยืน และเปิดเวทีให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อเตรียมบุคลากรไทยและนานาชาติสู่การรักษาแห่งอนาคต

เด็กไทยเผชิญกับปัญหาผิวและภูมิแพ้ที่เพิ่มขึ้น จากปัจจัยต่าง ๆ เช่น PM2.5 มลภาวะในชีวิตประจำวัน รวมถึงสารเคมีตกค้าง จากผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเด็กโดยตรง ในยุคที่พ่อแม่รุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกน้อยแบบองค์รวม โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จึงเปิดตัว “bear & bloom” แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเด็กระดับพรีเมียม-เมดิคัล พัฒนาโดยกุมารแพทย์ด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ด้วยความเข้าใจในความบอบบางและความต้องการพิเศษของผิวเด็ก ที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย ผลิตภัณฑ์ได้รับการออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพผิว ความสบายทางอารมณ์ และช่วยสนับสนุนพัฒนาการของเด็ก โดยผสานองค์ความรู้ทางการแพทย์กับส่วนผสมจากธรรมชาติที่อ่อนโยนและปลอดภัยต่อผิวบอบบาง พร้อมมุ่งหวังสร้าง “Ecosystem การดูแลสุขภาพเด็ก” ที่เชื่อมโยงการดูแลจากโรงพยาบาลสู่บ้านอย่างไร้รอยต่อ

 

พญ.สุรางคณา เตชะไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และบีเอ็นเอช และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “แนวคิด #โตไปไม่ป่วย จากโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล มุ่งดูแลเด็กอย่างรอบด้านทั้งร่างกายและจิตใจ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการเติบโต ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ยุคใหม่ เช่น มลภาวะ ฝุ่น PM2.5 สารเคมี และอาหารกระตุ้นภูมิแพ้ อาจส่งผลต่ออารมณ์ พฤติกรรม และพัฒนาการในระยะยาวของลูกน้อย จึงมุ่งเน้นการสร้าง Ecosystem เพื่อสนับสนุนให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุข ในทุกช่วงชีวิต จากโรงพยาบาลถึงที่บ้าน เพื่อให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแรงและมีความสุขในทุกช่วงวัย”

 รศ.พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี อาจารย์ประจำสาขาวิชาโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแพทย์ที่ปรึกษา ศูนย์ภูมิแพ้เด็ก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “จากประสบการณ์ดูแลเด็กที่มีปัญหาผิวบอบบางและภูมิแพ้ผิวหนังมากว่า 30 ปี พบว่า เด็กจำนวนมาก มีอาการผิวแห้ง แดง คัน และบางครั้งอาจเกาจนเกิดแผล เมื่อรักษาหายแล้วกลับมาเป็นอีกซ้ำๆ เพราะการดูแลผิวเด็กควรเริ่มตั้งแต่แรกเกิดและปรับเปลี่ยนตามช่วงวัย โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอ่อนโยน ปลอดภัย และมีข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์รองรับ เช่น Jojoba Oil เติมความชุ่มชื้น และ Defensil-Plus ลดอาการระคายเคือง และสารสกัดจาก Guava Leaf, Green Tea และ Rose Flower มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ เป็นต้น การดูแลผิวลูก ควรเริ่มตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่แค่รอให้เกิดปัญหา เพราะผิวที่แข็งแรงตั้งแต่ต้น จะช่วยลดความเสี่ยงของผื่นและปัญหาผิวระยะยาวได้ค่ะ”

“เพราะผิวลูก คือผิวแรกแห่งชีวิต” คือแนวคิดและคุณค่าของผลิตภัณฑ์ bear & bloom คิดค้นและพัฒนาสูตรโดยกุมารแพทย์ โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันเด็กจากโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ด้วยความเข้าใจลึกซึ้งถึงทั้งผิวและจิตใจ ของเด็กไทยผสมผสานวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์กับสูตร 3 Active Ingredients ธรรมชาติ เพื่อปกป้องผิวบอบบาง ดูแลผิว ลูกน้อยตั้งแต่วันแรก มีส่วนผสมของ Jojoba Oil เติมไขมันดีให้กับผิว เสริม "เกราะป้องกันผิว" ให้แข็งแรง ลดการระคายเคือง

Defensil-Plus ปลอบโยนผิวแพ้ง่าย เสริมความชุ่มชื้น และสารสกัดจาก Guava Leaf, Green Tea และ Rose Flower ต้านการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ จดสิทธิบัตรในประเทศเกาหลี และคว้ารางวัล Excellence in the Health Industry

Technologies Exhibition in Korea พัฒนาสูตรเฉพาะตามช่วงวัย เพื่อการดูแลที่ตรงจุดและปลอดภัยในทุกวัยของผิว เหมาะสำหรับผิวเด็กไทยโดยเฉพาะ ได้รับมาตรฐานผ่านการทดสอบ การระคายเคือง (Dermatologically Tested - Non irritating) และผ่านการใช้จริงในโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล

สัมผัสประสบการณ์ใหม่จาก 3 ผลิตภัณฑ์จาก bear & bloom

1. bear & bloom Baby head to toe bath อ่อนโยนต่อผมและผิว (เหมาะสำหรับทารกแรกเกิด – 6 เดือน)

• Extra-mild Surfactants ช่วยผิวสะอาดจากธรรมชาติ ไม่ระคายเคืองตา

• Decyl Glucoside สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าว อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย

• pH 5.5 ปรับสมดุลผิวตามธรรมชาติ ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหลังอาบ

• Paraben-free and Sulfate-free ไม่มีสารก่อการระคายเคือง

• Lovely Wishes Scent หอมละมุน สบายตัว ตลอดวัน

2. bear & bloom Kids bath สะอาด อ่อนโยน ผิวนุ่มชุ่มชื้น (เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป)

• Decyl Glucoside สารสกัดจากน้ำมันมะพร้าว อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย

• pH 5.5 ปรับสมดุลผิวตามธรรมชาติ ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหลังอาบน้ำ

• Paraben-free and Sulfate-free ไม่มีสารก่อการระคายเคือง

• Lovely Wishes scent หอมละมุน สบายตัว ตลอดวัน

3. bear & bloom Gentle baby lotion บางเบา ซึมไว สบายตัว (เหมาะสำหรับทารกแรกเกิดเป็นต้นไป)

• Dermatologically tested ผ่านการทดสอบทางคลินิกว่าช่วยลดการอักเสบ รอยแดงในผื่นภูมิแพ้ และผื่นยุงกัด

• pH 5.5 ช่วยรักษาสมดุลผิวตามธรรมชาติ

• Lovely Wishes scent หอมละมุน สบายตัว ตลอดวัน

ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook Fanpage: Bear&BloomOfficial ผลิตภัณฑ์ bear & bloom มีจำหน่ายที่ แผนกเด็ก โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ทุกสาขา, ร้าน Health Choice ในเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน SkinX และ Shopee: bear & bloom Official https://smtvj.com/bear-bloom

“สมาร์ตทุกมิติของการป้องกันและรักษาโรคยาก ดูแลผู้ป่วยเด็กด้วยมาตรฐานระดับสากล” เราอยากเห็นเด็กโตไปสุขภาพดี #โตไปไม่ป่วย

ยกระดับความเป็นเลิศทางการแพทย์ผิวหนังและความงาม

กรุงเทพฯ – นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร (ที่ 3จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวชและโรงพยาบาลบีเอ็นเอช พร้อมคณะผู้บริหาร ทีมงานดูแลผู้ป่วยนานาชาติ และทีมงานดูแลผู้ป่วยชาวญี่ปุ่น ให้การต้อนรับ พณฯ ศาสตราจารย์ ทาเกมิ เคโซ ที่ จากซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น ให้เกียรติเยี่ยมชมโรงพยาบาล หอผู้ป่วยในและบริเวณผู้ป่วยนอก เพื่อดูการปฏิบัติงานการดูแลผู้ป่วยชาวญี่ปุ่น ณ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท หนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย และโรงพยาบาลชั้นนำในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ ซึ่งเป็นที่นิยมของคนไข้ชาวต่างชาติ รวมถึงชาวญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click