November 08, 2024

เอาแล้วไง!

Waymo ยื่นขอให้กรมขนส่งทางบกสหรัฐฯ ยกเลิกกฎเกณฑ์เก่าที่ว่า “รถยนต์ต้องมีพวงมาลัยและคันเบรกที่เท้า”

ก่อนอื่น เราขออธิบายนิดนึงว่า Waymo คือกิจการของ Google ที่ทำทางด้าน “Self-Driving Vehicles” อย่างเดียวเลย

เอางี้ เราขอสถาปนาคำๆ นี้ในภาษาไทยว่า “อัตยาน” ก็แล้วกัน

มันมาจากคำว่า “อัตตา” แปลว่าตัวตน ตัวเอง ด้วยตัวเอง สมาสกับคำว่า “ยาน” แปลว่าพาหนะ หรือดำเนินไป

อัตยาน จึงอนุโลมแปลได้ว่า ยานพาหนะที่มันดำเนินไปเองได้โดยไม่ต้องมีใครบังคับ (หรือเป็นแบบ “อัตโนมัติ” นั่นเอง)

ก็คือรถยนต์หรือพาหนะชนิดอื่น (เช่น เรือ เรือบิน โดรน เป็นต้น) ที่ขับไปได้ด้วยตัวเอง

Google เอาจริงเอาจังทางด้านนี้มาหลายปีแล้ว เพราะเขามองว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต สำคัญอยู่ที่ข้อมูล รถยนต์จะขับเองได้ต้องสามารถเก็บข้อมูลรอบตัวขณะวิ่งบนถนนเพื่อนำมาวิเคราะห์และตัดสินใจขับขี่เองแบบ Real Time เลียนแบบการตัดสินใจของคนขับ ซึ่งปัจจุบันนี้ ความสามารถของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ AI ทำได้แล้ว

อัตยาน จึงต้องประกอบด้วยสองส่วนคือ ส่วนรถยนต์แบบเดิมคือมีตัวถังมีล้อมีเครื่องยนต์ ฯลฯ แบบที่เรารู้จักกัน และส่วนที่สองคือส่วนข้อมูล ที่ต้องติดตั้งเซนเซอร์ กล้อง (ให้เป็นหูเป็นตา) LIDAR และ Remote Sensing ต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลทั้งภายในภายนอกรถ แล้วส่งผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (เช่น 5G) ไปที่แพลทฟอร์มกลาง ซึ่งติดตั้ง AI Algorithm เพื่อวิเคราะห์แล้วตัดสินใจสั่งการมายังตัวรถแบบ Real Time (การตัดสินใจสำคัญๆ เช่นการเปลี่ยนเลน การเร่งหรือเบาเครื่อง การจอดติดไฟแดง การเบรก การเปิดไฟหรือปัดกระจกเมื่อทัศนวิสัยแย่ ฯลฯ สามารถทำได้เลยในตัวรถ)

ผู้เล่นสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต จะมิใช่บริษัทผลิตรถยนต์เหมือนเมื่อก่อน แต่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้านข้อมูล ซึ่งตัวเองก็เล่นทางนี้อยู่แล้ว จึงหันมาลงทุนอย่างจริงจัง จนได้แยกแผนกออกมาตั้งเป็นบริษัทต่างหากคือ Waymo

ปัจจุบัน Waymo นำรถยนต์ของตัวออกทดลองวิ่งบนหลายเส้นทางในสหรัฐฯ มาอย่างน้อย 2 ปีแล้ว

บางครั้ง พวกเราคงเคยได้ยินคนในวงการรถยนต์ออกมาวิเคราะห์ว่า “อีกสิบหรือยี่สิบปีถึงจะมีรถขับเองได้จริง”

เราบอกเลยว่า นั่นมันเข้าใจผิดถนัด หรือพวกไม่รู้จริง

ขนาดเมื่อเกือบ 4 ปีก่อน ตอนที่เราไปเยือนไซต์งานโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ Google แถบ San Jose นั้น ก็มีคนบอกว่าถ้าโชคดีก็จะได้เห็นรถบัสขนส่งพนักงานของกูเกิ้ลที่ขับเองได้ วิ่งรับส่งพนักงานในแคมปัสและนอกแคมปัส

Google ทดลองวิ่งมานานแล้ว

และไม่ใช่ Google เจ้าเดียวที่กำลังทดลอง เพราะมีหลายค่ายที่ทดลองนำรถของตัวเองออกมาวิ่งแถบนั้นแล้วเป็นว่าเล่น

ชาวบ้านแถวนั้นเห็นกันจนชินแล้วอ่ะ

Tesla เอง ก็ไปไกลมากแล้วในเรื่องนี้ เพราะได้เปรียบที่มีรถของตัววิ่งอยู่บนถนนแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งรถเหล่านี้ทำการเก็บข้อมูลให้กับแพลทฟอร์มของเทสล่าทุกๆ วินาทีอยู่แล้ว

ซอฟต์แวร์ของเทสล่าจึงเก่งขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดสามารถสั่งการให้แบตเตอรี่ใช้งานเพิ่มขึ้นได้อีกโดยไม่ต้องชาร์จไฟเพิ่ม (เทสล่าประกาศเมื่อเกิดเฮอร์ริเคนถล่มทางใต้ของสหรัฐฯ เมื่อปีก่อน ว่ารถยนต์ทุกคันของตัวในเขตภัยพิบัติจะวิ่งได้นานขึ้นไปอีกโดยไม่ต้องชาร์จไฟเพิ่ม)

ฟันธงได้เลยว่าอีกไม่เกินห้าปีนี้แล่ะ ที่เราจะได้เห็นอัตยานออกสู่ตลาด

การที่ Waymo ยื่นขอให้กรมขนส่งฯ ยกเลิกพวงมาลัยกับเบรกเท้า ย่อมแสดงให้เห็นว่าเส้นชัยใกล้เข้ามาทุกที

GM หรือ General Motor กิจการรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก ก็เพิ่งประกาศว่าจะติดตั้งซอฟต์แวร์ OS ของกูเกิ้ลที่เรียกว่า “Android Automotive Operating System” ในรถยี่ห้อที่ตัวเองผลิตและออกจำหน่ายทุกคันในโมเดลปี 2022 นั่นหมายความว่าใครที่ซื้อ Cadillac, Chevrolet, Buick, หรือ GMC ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 จะได้รับการติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวนี้ทุกคัน

 

หน้าตาของ Android Automotive คล้ายกับ iPad (ตามรูปประกอบ) ที่ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงข้อมูลหลายอย่างซึ่งเคยโชว์อยู่บนหน้าปัด เช่น น้ำมัน แบตเตอรี่ ไฟ ความเร็ว ความร้อน อุณหภูมิในห้องโดยสาร ฯลฯ บวกกับแผนที่ จีพีเอส อินเทอร์เน็ต เพลง คลิป และภาพยนตร์

ในทางธุรกิจแล้ว เขาเรียกว่า “Infotainment” นั่นเอง

คนขับสามารถสั่งมันด้วยวาจาผ่าน Google Assistant บนจอ ให้มันต่อโทรศัพท์ ส่งข้อความ ส่งเมล โหลดคลิป ปรับแอร์ ปรับกระจก เปิดเพลง ฯลฯ

นับแต่นี้ เราคงได้เห็นบริษัทรถยนต์ค่ายต่างๆ ติดตั้งสิ่งที่เรียกว่า “Third-Party Software” มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกจาก Tesla แล้ว บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบซอฟต์แวร์แนวนี้ คล้ายๆ กับบริษัทมือถือ (เช่น ซัมซุง แอลจี หัวเหว่ย ออปโป้ เสียวหมี่ ฯลฯ) ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ Android ของกูเกิ้ล เพื่อจะให้มือถือของตัวทำงานเป็น “สมาร์ตโฟน”

สิ่งเหล่านี้จะทำให้กูเกิ้ลเก็บข้อมูลได้มากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยให้ซอฟต์แวร์อัตยานของตัวเองเก่งขึ้นๆ ก่อนจะนำออกใช้จริง (ในทางเทคโนโลยี เราเรียกว่า Machine Learning คือข้อมูลที่มากขึ้นจะสอนให้คอมพิวเตอร์เก่งขึ้นด้วยตัวเอง)

แต่ที่ยิ่ง (และเซ็ง) ไปกว่านั้น กูเกิ้ลจะเก็บข้อมูลส่วนตัวของพวกเราไปด้วย เพราะมันจะต้องรู้ว่าคนขับแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไร ขับดีหรือขับแย่ยังไง พวกเขาชอบเติมน้ำมันที่ไหน แวะกินข้าวที่ไหน ช็อปปิ้งที่ไหน ชอบเปิดเพลงอะไร โทรหาใคร เข้าเว็บไซต์ไหน ส่งเมลหาใคร ฯลฯ หรือแม้กระทั่งอาจแอบบันทึกเสียงและข้อความตอนเราคุยโทรศัพท์และส่งเมสเสจด้วยก็ได้...ใครจะไปรู้

อย่าลืมว่า กูเกิ้ลเขาหากินโดยนำข้อมูลของเราไปขายให้กับผู้ลงโฆษณา

รายได้หลักเขามาจากโฆษณา

ยิ่งเราใช้กูเกิ้ลมากหรือนานเท่าใด ก็เท่ากับเราให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราแก่เขามากเท่านั้น

แล้วเขาก็จะรู้ใจเรายิ่งขึ้นๆ

เขารู้ใจเรามากเท่าไหร่ เขาก็จะไปเสาะหาสินค้าและบริการที่ตรงใจเรามาเสนอเรา (โดยเขาไปเก็บเงินกับเจ้าของสินค้า/บริการ)

ยิ่งเราอยู่ในรถ หนีไปไหนไม่ได้ ยิ่งเป็นเป้าหมายอันโอชะ

ยิ่งต่อไป รถขับเองได้อีก เรานั่งเฉยๆ แถมพวงมาลัยก็ไม่มี อาจกลายเป็นหน้าจอแทน

คราวนี้ ถึงจะก้มหน้าเล่นมือถือ และเงยหน้าดูจอ ก็หนีกูเกิ้ลไปไม่พ้น

จริงไม่จริง เดี๋ยวก็รู้

 

9 ก.พ. 63

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

X

Right Click

No right click