×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7636

 โครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 กลับมาอีกครั้งกับงาน SPACE-F Batch 4 Incubator Demo Day ด้วยอีเวนท์การนำเสนอผลงานด้านเทคโนโลยีอาหารของสตาร์ทอัพภายใต้โปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือขององค์กรชั้นนำ

ได้แก่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) ร่วมกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ดีลอยท์ ประเทศไทย และบริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล จำกัด

ครั้งนี้ โครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 ได้นำ 10 สตาร์ทอัพจากโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพขึ้นเวที เพื่อนำเสนอผลงานแก่นักลงทุน และผู้ที่สนใจในนวัตกรรมด้าน FoodTech โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมบน FoodTech Stage ในงานสัมมนาด้านเทคโนโลยีแห่งปีอย่าง Techsauce Global Summit 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 16 สิงหาคม 2566

ด้วยศักยภาพและความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี สตาร์ทอัพทั้ง 10 ทีมได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ผ่านการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้ และพัฒนาโซลูชั่นให้มีความเฉียบคมยิ่งขึ้น พร้อมออกสู่ตลาด รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมในการระดมเงินทุนในระดับ Series A และ Seed Funding

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวเปิดงาน SPACE-F Batch 4 Incubator Demo Day ว่า "NIA ในฐานะผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม หรือ Focal Conductor มุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบอย่างยั่งยืนต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภายใต้แนวคิด Create the Dot - Connect the Dot - Value Creation ผ่านกลยุทธ์ “2 ลด 3 เพิ่ม” ได้แก่ ลดความเหลื่อมล้ำ ลดอุปสรรคการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพิ่มจำนวนนวัตกรและผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม และเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม

โครงการ SPACE-F นับเป็นแพลตฟอร์มเริ่มต้นสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และด้วยความร่วมมือของผู้สนับสนุนของโครงการ เราสามารถกระตุ้นนวัตกรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยสนับสนุนให้กับสตาร์ทอัพเติบโต

ทั้งนี้ ความมุ่งมั่นของสตาร์ทอัพในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 ถือเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการเติบโตของสตาร์ทอัพ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในระดับโลกอีกด้วย"

 

ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรม บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าโครงการ SPACE-F จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีความยั่งยืนอย่างมีนัยยะ และสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมการนำเสนอในงานในปีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งครอบคลุมสาขาต่าง ๆ ตั้งแต่การนำผลผลิตรองมาผ่านกระบวนการเพื่อเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไปจนถึงการนำเสนออาหารทางเลือกแห่งอนาคต อย่างผลิตภัณฑ์ที่มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ”

 

สตาร์ทอัพ 10 ทีมในโปรแกรมบ่มเพาะสตาร์ทอัพ โครงการ SPACE-F รุ่นที่ 4 ประกอบไปด้วย

· BIRTH2022 เครื่องดื่มกาแฟสกัดเย็นจากเมล็ดกาแฟหมักด้วยแบคทีเรียโพรไบโอติก ที่มีส่วนช่วยให้มีรสชาติที่แตกต่าง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเก็บรักษาได้นานขึ้น

· ImpactFat: ไขมันปลาจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ อุดมไปด้วยสารอาหาร โอเมก้า 3 และไม่มีกลิ่นคาวปลา และสามารถช่วยเสริมรสชาติของอาหารได้ดียิ่งขึ้น

· Marinas Bio: อาหารทะเลจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ เน้นวัตถุดิบที่เป็นอาหารทะเล เช่น ไข่ปลาคาร์เวีย และ ไข่ปลาแซลมอน ที่ไม่สามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

· Mycovation: นำเสนอวัตถุดิบอาหารรูปแบบใหม่จากรากเห็ดที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีการหมัก

· NutriCious: เครื่องดื่มไข่ขาวแคลอรี่ต่ำเพื่อสุขภาพ รสชาติดี และอุดมไปด้วยสารอาหารจากนม และโปรตีน

· Plant Origin: ผลิตภัณฑ์ไข่ทดแทนจากโปรตีนรำข้าว

· Probicient: เบียร์โพรไบโอติกเจ้าแรกของโลก ทางเลือกของเครื่องดื่มสังสรรค์ที่ให้ผลดีต่อสุขภาพของคุณ!

· The Kawa Project: ผงโกโก้ทดแทนจากกากกาแฟ ที่มีรสชาติและรสสัมผัสที่ไม่แตกต่างจากต้นฉบับ มีราคาที่ถูกกว่า และสามารถนำไปประยุกต์ได้หลากหลาย

· Trumpkin: ชีสทางเลือกที่ผลิตจากเมล็ดฟักทอง สามารถทดแทนชีสจากผลิตภัณฑ์นม

· Zima Sensors: เซ็นเซอร์ตรวจจับการรั่วไหลของอากาศในบรรจุภัณฑ์โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบการรั่วไหลได้อย่างต่อเนื่อง

 

รองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวปิดกิจกรรม SPACE-F Batch 4 Incubator Demo Day โดยกล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านการวิจัย ที่สนับสนุนทรัพยากร เครื่องมือ และผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขาให้แก่ผู้ประกอบการด้าน FoodTech

มหาวิทยาลัยมหิดลริเริ่มโครงการ Mahidol Pre-incubation for SPACE-F เป็นโครงการบ่มเพาะทีม Startup ที่มาจากการรวมตัวของนักศึกษา อาจารย์ และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีการติวเข้มในด้านต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์และตลาด การจัดทำแบบจำลองธุรกิจและแผนพัฒนาธุรกิจ รวมถึงทักษะการเป็นผู้ประกอบการในยุคปัจจุบัน

“หนึ่งในสตาร์ทอัพที่นำเสนอผลงานในวันนี้ นับเป็นผลงานจากโครงการ Mahidol Pre-incubation for SPACE-F เช่นกัน ทางมหาวิทยาลัยมหิดลตั้งใจที่จะสนับสนุน และยินดีต้อนรับสตาร์ทอัพที่มีความสนใจในการพัฒนาโซลูชั่นด้านอาหาร เพื่อเข้าร่วมโครงการในปีถัด ๆ ไป”

ปิดท้ายด้วย คุณต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เน้นถึงบทบาทสำคัญของโครงการ SPACE-F ที่มีส่วนในการเชื่อมโยงนวัตกรรมต่าง ๆ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับนวัตกรรมด้านอาหารและเครื่องดื่มในระดับโลก “ไทยเบฟมองว่าโครงการ SPACE-F นั้นเป็นแพลทฟอร์มที่ช่วยส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งรวมถึงการสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ รวมถึงการดำเนินการเพื่อสิ่งแวดล้อม”

ด้วยความสำเร็จของสตาร์ทอัพทั้ง 4 รุ่น โครงการ SPACE-F นับเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพได้เข้าถึงการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ การเชื่อมโยงทางธุรกิจ และพื้นที่ทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพเหล่านั้นสามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร (FoodTech) และนวัตกรรมในระดับสากล

สตาร์ทอัพที่สนใจ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สามารถสมัครเข้าร่วมในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5 เพื่อเข้าสู่เครือข่ายของกลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านอาหาร และรับโอกาสในการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ร่วมงานกับเพื่อนร่วมโครงการที่มีความสนใจคล้ายคลึงกัน และเข้าถึงทรัพยากรที่มีคุณค่า ซึ่งจะส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ

ติดตาม SPACE-F ได้ทางเว็บไซต์ www.space-f.co หรือผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมของโครงการ SPACE-F รวมถึงความสำเร็จและผลงานของสตาร์ทอัพในโครงการรุ่นต่าง ๆ รวมถึงข่าวสารเกี่ยวกับโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5

บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (WP Energy) กลุ่มบริษัทพลังงานครบวงจรและผู้จัดจำหน่ายก๊าซ LPG ภายใต้แบรนด์ เวิลด์แก๊ส ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงกับ Hato Hub ระบบจัดการร้านอาหารและดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ด้วยระบบ CRM, ระบบสั่งอาหาร รวมถึงการเดลิเวอร์ลี่ เพื่อเตรียมลงทุนด้วยการเข้าซื้อหุ้น บริษัท อินดี้ ดิช จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Hato Hub รวมทั้งร่วมมือกันพัฒนา New Business model ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เป็นการขยายฐานลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ มุ่งมั่นขยายความเป็นไปได้ของธุรกิจเราให้เติบโตไปในหลายช่องทาง เราริเริ่ม และก้าวเดินไปกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจมากมายในหลายแวดวงอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ด้านการแพทย์ การศึกษา และล่าสุดกับแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อร้านอาหารที่มีระบบ CRM ครบวงจรอย่าง ‘Hato Hub’ โดยดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จะร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ Hato Hub เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้าในอนาคต รวมถึงนำเสนอแก๊สหุงต้มราคาพิเศษให้กับร้านค้าที่ใช้บริการ Hato Hub เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ อันนำไปสู่การร่วมทุนในโปรเจ็กต์อื่นๆ สำหรับอนาคตด้วย”

ด้านคุณดาริน สุทธพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินดี้ ดิช จำกัด ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ Hato Hub เผยว่า “Hato Hub คือ ระบบซอฟแวร์ที่จะเชื่อมต่อและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลาง เราเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2020 ภายใต้แนวคิดที่ว่า ต้องการช่วยร้านอาหารให้เติบโตและต้องการเป็นเครื่องมือให้ร้านอาหารได้สร้างความเข้มแข็งทางการตลาดด้วยตัวเองโดยการใช้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งอย่างดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จึงช่วยเติมเต็มจุดประสงค์ดังกล่าวได้ นอกจากจะมีการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลลูกค้าแล้ว เราจะนำซอฟต์แวร์ของ Hato Hub ไปเสนอให้ลูกค้ากลุ่มร้านอาหารของดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ เป็นการขยายช่องทางการตลาด เพิ่มการรับรู้ให้ Hato Hub ได้ในวงกว้างขึ้น ทั้งยังเป็นการนำร่องก่อนไปสู่ความร่วมมือในโอกาสต่อไประหว่างเราทั้งสองฝ่ายอีกด้วย”

สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผสานพลังสร้างกลยุทธ์ สร้างการท่องเที่ยวมูลค่าสูงขับเคลื่อนเร็ว จับกระแส Maga Trend ส่งเสริม Soft Power อาหารไทย พร้อมร่วมมือจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 ดึงผู้ผลิตสินค้า บริการและโซลูชั่นระดับโลก ร่วมโชว์ผลิตภัณฑ์ใหม่ นวัตกรรม-เทคโนโลยีล่าสุด คาดปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 28,000 คน

ในงานเสวนาพิเศษ “รวมพลังสร้างกลยุทธ์เพิ่มมูลค่า เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย” ซึ่งร่วมกันจัดขึ้นโดย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมแถลงความร่วมมือการจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2023 โดยเนื้อหาในการเสวนากล่าวถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนได้รวดเร็ว เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญของการท่องเที่ยวไทย โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวทั้งระบบ

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงแนวโน้มของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตขณะนี้ว่า เป็นกลุ่มการท่องเที่ยวพร้อมทำงาน (Work from Anywhere) ซึ่งเป็นวิถีชีวิตและการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ คนเหล่านี้เรียกว่า Digital Nomad มักเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ ค่าครองชีพไม่สูง อากาศดี มาตรการวีซ่าไม่ยุ่งยาก และจะใช้เวลาการท่องเที่ยวนานกว่านักท่องเที่ยวปกติ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในจุดหมายของการท่องเที่ยวของคนกลุ่มนี้ ส่วนแนวโน้มการท่องเที่ยวของโลกนั้น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Travel) กลายเป็นกระแสหลักที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตระหนักถึงและช่วยกันผลักดันให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่ระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน ดังนั้นภาครัฐและผู้ประกอบการไทยต้องเร่งส่งเสริมเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดขยะ ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รักษาแหล่งท่องเที่ยวและธรรมชาติให้สมบูรณ์ หากเราทำได้ดีก็จะมีแต้มต่อในการสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยจากทั่วโลกและยังส่งผลดีต่อทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวด้วย

สำหรับการสนับสนุนและร่วมจัดงาน Food & Hospitality Thailand นั้น ถือเป็นวาระสำคัญของสมาคมฯ เพราะนอกจากจะได้ติดตามแนวโน้มการท่องเที่ยว พบกับสินค้าและบริการจากบริษัทชั้นนำแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีพิเศษฉลองครบรอบ 60 ปี ของสมาคม พร้อมมีการจัดประชุมใหญ่ประจำปีและกิจกรรมให้ความรู้กับสมาชิกและผู้สนใจ โดยร่วมกับ มูลนิธิใบไม้สีเขียว ในหัวข้อเกี่ยวกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคำนวณคาร์บอนในการเข้าพัก การลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน รวมถึงการจัด Hospitality Digital Day ที่พูดถึง Digital Marketing สำหรับธุรกิจโรงแรมทุกแง่มุม การแข่งขัน Thailand & AHRA ASEAN Hotel Bartenders’ Championships 2023 เพื่อพัฒนาทักษะพนักงานบาร์เทนเดอร์โรงแรมด้วย

 

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวถึง การส่งเสริมอาหารไทยให้เป็น Soft Power ด้านการท่องเที่ยวไทยว่า อาหารไทย (Food) เป็นหนึ่งใน 5F ของ Soft Power เป้าหมายที่ ททท. วางไว้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านความอุดมสมบูรณ์ของวัฒนธรรมอาหารไทย หรือ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ซึ่ง 20% ของค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจ่ายในการท่องเที่ยวไทยมาจากอาหาร โดยในปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายด้านอาหารในไทยสูงถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งในการการพัฒนาอาหารไทยให้เป็น Soft Power นั้น ต้องร่วมกันสร้างมาตรฐานพัฒนาทั้งระบบ ทั้งด้านสาธารณสุข ความสะอาด ปลอดภัย รสชาติ ฯลฯ รวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อที่เข้าถึงง่าย อาทิ ภาพยนตร์ ซีรีย์ ดารานักร้อง รายการอาหาร และรางวัลอาหารระดับโลก อาหารไทยมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ทั้งอาหารไทยแท้และเกิดจากการผสมผสานหลายวัฒนธรรมดัดแปลงร่วมกับวัตถุดิบท้องถิ่นจนมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยปีนี้อาหารไทยติด 10 Best Rated Curries ถึง 5 อันดับ ได้แก่ แกงพะแนง ข้าวซอย แกงเขียวหวาน แกงมัสมั่น และแกงส้ม ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลและทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพื่อสัมผัสกับรสชาติที่แท้จริงของอาหารเหล่านี้

ส่วนการจัดงาน Food & Hospitality Thailand นั้น สมาคมฯ ให้การสนับสนุนมาตลอด มีการเชิญสมาชิกให้เข้าร่วมงานเพื่อหาความรู้รับทราบแนวโน้มธุรกิจใหม่ๆ พร้อมร่วมประชุมและร่วมกิจกรรม โดยกิจกรรมที่น่าสนใจปีนี้ คือ การเชิญวิทยากรที่เป็นนักธุรกิจอาหาร ซึ่งประสบความสำเร็จ มาสร้างแรงบันดาลใจ แนะนำการบริหารและการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จึงขอเชิญให้ผู้สนใจติดตามและเข้าร่วมกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า งาน Food & Hospitality Thailand มีเป้าหมายการในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้เป็นกำลังสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของโลก แต่เราจะสร้างความประทับใจ สร้างแรงดึงดูดใจ และรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้อย่างไร การจัดงาน Food & Hospitality Thailand แต่ละครั้งผู้จัดงานจึงต้องทำงานกันอย่างหนัก ทั้งรวบรวมฐานข้อมูลการจัดงานและผู้ประกอบการจากทั่วโลกมาประมวลผลสรุปเป็นแนวทางจัดงาน พร้อมนำเสนอแนวโน้ม ทิศทาง และโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจการท่องเที่ยวให้แก่ผู้เข้าร่วมงานได้รับทราบ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ธุรกิจก่อนเสมอ

สำหรับแนวคิดในการจัดงานฯ ครั้งนี้ คือ เชื่อมโยงสู่อนาคต (Connecting the Future) เนื่องจากปีนี้การท่องเที่ยวมีการเดินหน้าต่อเนื่องหลังฟื้นตัวจากช่วงโควิด ทำให้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยถึง 30 ล้านคน ด้วยสัญญาณบวกนี้ส่งให้งานฯ ปีนี้มีความสำคัญมากขึ้น ผู้ประกอบการต่างมองหาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชั่นระดับพรีเมียมไว้รองรับและสร้างความพึ่งพอใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามามากขึ้นในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า ทั้งยังเป็นการขานรับและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันกับกลยุทธ์ที่ทาง ททท. และ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยววางไว้

ดังนั้นงาน Food & Hospitality Thailand 2023 จึงได้รับความสนใจจากผู้ผลิตสินค้าและบริการระดับพรีเมียมในการเข้าร่วมจัดแสดงงานกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 20 ประเทศทั่วโลก ในโซนต่างๆ ของการจัดงานฯ ได้แก่ Coffee & Bakery Thailand (CBT), Restaurant & Bar Thailand (RBT) และ 2 โซนใหม่ Shop & Retail Thailand (SRT), และ Cleaning

Hygiene Thailand (CHT) ที่เกิดขึ้นครั้งแรก ส่วนความพิเศษในปีนี้ คือ การจับมือกับพันธมิตรรายใหญ่ยักษ์ใหญ่จากจีน ที่นำงาน Hotel & Shop Plus Thailand งานแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์สำหรับการออกแบบตกแต่งอาคาร โรงแรมและพื้นที่เชิงพาณิชย์ มาร่วมจัดแสดง นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมงานสัมมนา การประชุม เวิร์กชอป และการแข่งขันที่น่าสนใจมากมาย อาทิ สัมมนาพิเศษจาก ททท. หัวข้อ “โอกาสการเติบโตของธุรกิจอาหารออร์แกนิกและความเป็นคลังอาหารของประเทศไทย รวมถึงการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism)”, การแข่งขันทำอาหาร Thailand's 27th International Culinary Cup (TICC), การแข่งขัน Latte Art และ Coffee in Good Spirits, การทำเบเกอรี่ ไอศกรีม ศิลปะการตกแต่งอาหาร บาริสต้าและบาเทนเดอร์เวิร์กชอป ฯลฯ โดยการจัดงานฯ ครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 28,000 คน

โดยงาน Food & Hospitality Thailand 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com

ในแวดวงสังคมสุขภาพ และการบำบัดรักษา หากพูดคำว่า ดุลยภาพ หรือดุลยภาพบำบัด เจ้าแห่งศาสตร์ในเรื่องนี้จะพ้นไปจาก  แพทย์หญิง ลดาวัลย์  สุวรรณกิตติ ไปไม่ได้เลย

บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับโรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆจัดกิจกรรม AXA Hearts in Action สื่อใจเพื่อน้อง” เพ้นท์กระเป๋าผ้ารักษ์โลก เพราะแอกซ่าเชื่อมั่นในพลังของทุกคนจึงส่งเสริมให้นักเรียนเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับพันธสัญญาของแบรนด์ “Know You Can” ที่คอยสนับสนุนและสร้างความมั่นใจให้ทุกคนก้าวเดินต่อไปในชีวิตและประสบความสำเร็จได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

กิจกรรมนี้ นอกจากน้องๆ จะรู้สึกภาคภูมิใจกับการเพ้นท์กระเป๋าผ้าฝีมือตนเองที่มีเพียงใบเดียวในโลกแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งตรงกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รวมถึงแอกซ่ายังได้บริจาคทุนการศึกษาและเลี้ยงอาหารแก่นักเรียน จำนวน 60 คน ซึ่งแสดงออกถึงความใส่ใจและปรารถนาดีต่อชุมชน

แอกซ่ามุ่งบำเพ็ญประโยชน์ใน ด้านหลัก ได้แก่ 1. ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Environment and climate change) 2. ด้านสุขภาพและการป้องกันโรค (Health and disease prevention) และ 3. ด้านความไม่เท่าเทียมและการมีส่วนร่วมในสังคม (Inequalities and social inclusion)

 

X

Right Click

No right click