November 06, 2024

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) เผยถึงความคืบหน้าในการเตรียมจัดงานฯ ปีนี้ว่า จากทั้งสัญญาณการท่องเที่ยวที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 67 และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุดที่สูงเกิน 11.29 ล้านคนแล้ว โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนสูงถึง 1,920,039 คน ยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากจีนที่เข้ามาเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีก 395,830 คน และคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายของทั้งปีที่ ททท. กำหนดไว้ที่ 35 ล้านคน นอกจากนั้นยังได้รับการส่งเสริมจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกจากการเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาและการประชุมระดับโลก การเพิ่มเที่ยวบินจากเส้นทางการบินระหว่างประเทศมาไทย รวมถึงการประกาศให้เป็น "Golden Year of Tourism" ในปี 2568 เพื่อเน้นย้ำกระแสการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมจัดอีเวนท์สำคัญระดับโลกและนำเสนอศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และแฟชั่น ฯลฯ สู่สายตาชาวโลก

ดังนั้น อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จึงได้รวมมือกับพันธมิตรขยายขอบเขตการจัดงาน Food & Hospitality Thailand พร้อมยกระดับการจัดงานเป็น Thai Tourism & Hospitality Week ถือเป็นแรงสนับสนุนของภาพเอกชนที่จะช่วยสร้างความคึกคักและร่วมพัฒนาภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนงานดังกล่าวที่ได้สื่อสารกับกลุ่มผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การจัดงานฯ ในปีนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยข่าวดีล่าสุดของการจัดงานครั้งนี้ คือ การได้รับความสนใจจาก 2 งานแสดงสินค้าใหญ่ Hotel & Shop Plus และ Hotelex จากประเทศจีนที่จะมาเข้าร่วมในการจัดงานครั้งนี้ด้วย

โดย Hotel & Shop Plus Thailand จะเป็นงานแสดงสินค้าชั้นนำสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่รวบรวมซัพพลายเออร์ชั้นนำที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบภายนอกและภายใน ระบบโรงแรมอัจฉริยะ การตกแต่งและแสงสว่าง โดยครั้งนี้เป็นปีที่ 2 ของการร่วมจัดงาน ส่วน Hotelex Thailand นั้น เป็นงานที่นำเสนอโซลูชั่นของภาคธุรกิจโรงแรมและการจัดเลี้ยง อาทิ อุปกรณ์สำหรับงานจัดเลี้ยงและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร โดย Hotelex Thailand นั้น เป็นการร่วมจัดงานครั้งแรกในประเทศไทย

ดังนั้น Thai Tourism & Hospitality Week จึงมีความยิ่งใหญ่และครบวงจรจากการผสานจุดเด่นของทั้ง 3 งาน เป็นการพัฒนาการจัดงานไปสู่การเป็นศูนย์กลางการสร้างเครือข่ายและการสำรวจเทรนด์ใหม่ๆ ของอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยการเติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดงานด้านธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของภูมิภาคอีกด้วย

ในส่วนของงาน Food & Hospitality Thailand 2024 มีการจัดแบ่งโซนการจัดแสดงสินค้า 8 โซน ประกอบด้วย อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drinks) คาเฟ่และเบเกอรี่ (Café & Bakery) เครื่องใช้สำหรับธุรกิจบริหาร (Hospitality Style) เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจบริการ (Hospitality Technology) อุปกรณ์สำหรับธุรกิจอาหาร (Foodservice Equipment) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Sips & Spirits) ร้านค้าปลีก (Shop & Retail) อุปกรณ์และเครื่องใช้สำหรับทำความสะอาด (Cleaning Supplies & Equipment) รวมถึงกิจกรรมการแข่งขัน และสัมมนาสำหรับคนในวงการเพื่ออัปเดทเทรนด์ใหม่ๆ และความรู้ เพื่อต่อยอดธุรกิจ

งาน Food & Hospitality Thailand 2024 เป็นงานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและการบริการที่ครบวงจรที่สุดของภูมิภาค โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 สิงหาคม 2567 ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ข้อมูลรายละเอียดการจัดงานสามารถเข้าชมและติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

บริษัท เวียตเจ็ท จอยท์ สต๊อค จำกัด (Vietjet Aviation Joint Stock Company (HoSE: VJC)) เผยงบการเงินประจำปี 2566 ซึ่งผ่านการตรวจสอบแล้ว แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลอดทั้งปีทีผ่านมา

งบการเงินดังกล่าวจำแนกรายได้ย่อยและรายได้รวมจากการขนส่งทางอากาศรายงานอยู่ที่ 53.7 ล้านล้านดอง (ประมาณ 2.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ 58.3 ล้านล้านดอง (ประมาณ 2.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่านหน้าร้อยละ 62 และร้อยละ 45 ตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทเผยการฟื้นตัวของกำไรจากบริการการขนส่งทางอากาศก่อนหักภาษีและกำไรรวมอยู่ที่ 471 พันล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 18.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ 606 พันล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 24.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ

รายได้เสริมและรายได้จากการขนส่งสินค้ามีมูลค่าเกือบ 21 ล้านล้านดอง (ประมาณ 846.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเติบโตถึงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยคิดเป็นร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมดจากการขนส่งทางอากาศของสายการบินฯ

รายงาน ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ทรัพย์สินรวมของเวียตเจ็ทมีมูลค่ารวมกว่า 84.6 ล้านล้านดอง (ประมาณ 3.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 2 ซึ่งต่ำกว่าอัตราส่วนทั่วไปทั่วโลกซึ่งอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ขณะที่อัตราส่วนสภาพคล่องของเวียตเจ็ทอยู่ที่ 1.3 ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีของอุตสาหกรรมการบิน เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ อยู่ที่ 5.051 ล้านล้านดอง (ประมาณ 203.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมากกว่าสองเท่าของปีก่อนหน้าแสดงถึงศึกยภาพทางการเงินของสายการบินฯ นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีอันดับเครดิตดีที่สุดตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลังและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด (VnBBB-) ในกลุ่มสายการบินเวียดนามในปี 2566

ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 สินทรัพย์รวมของเวียตเจ็ทมีมูลค่ามากกว่า 86.9 ล้านล้านดอง (ประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 2 ซึ่งต่ำกว่าอัตราทั่วไปทั่วโลกซึ่งอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ขณะเดียวกัน อัตราส่วนสภาพคล่องของเวียตเจ็ทอยู่ที่ 1.3 ซึ่งอยู่ในช่วงที่ดีของอุตสาหกรรมการบิน ยอดเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ 5.051 ล้านล้านดอง (ประมาณ 203.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งยืนยันถึงความสามารถทางการเงินของสายการบินฯ

เวียตเจ็ทเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีอันดับเครดิตดีที่สุดตามแนวทางของกระทรวงการคลัง ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด (VnBBB-) ในกลุ่มบริษัทเวียดนาม ในปี พ.ศ. 2566 เวียตเจ็ทได้จ่ายภาษีและค่าธรรมเนียมทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 5.2 ล้านล้านดอง (ประมาณ 209.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

 ผู้นำด้านการขยายเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศ

ด้วยความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานบริการบนเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศ พร้องด้วยเดินหน้าขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 เวียตเจ็ทได้ให้บริการเที่ยวบินกว่า 133,000 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารบนเดินทางกว่า 25.3 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 183% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยมีผู้โดยสารจำนวนมากกว่า 7.6 ล้านคน เดินทางบนเส้นทางบินระหว่างประเทศ

เวียตเจ็ทเปิดตัวเส้นทางบินภายในประเทศและระหว่างประเทศเส้นทางใหม่จำนวน 33 เส้นทาง รวมทั้งหมดเป็น 125 เส้นทาง ประกอบด้วยเส้นทางระหว่างประเทศ 80 เส้นทาง และเส้นทางภายในประเทศ 45 เส้นทาง เส้นทางที่ได้รับความนิยม ได้แก่ โฮจิมินห์ซิตี้ – เซี่ยงไฮ้ โฮจิมินห์ซิตี้ – เวียงจันทน์ ฮานอย - เสียมราฐ ฮานอย - ฮ่องกง ฟู้โกว๊ก - ไทเป ฟู้โกว๊ก - และโฮจิมินห์ซิตี้/ ฮานอย - จาการ์ตา เป็นต้น

ปัจจุบัน เวียตเจ็ทยังเป็นผู้ให้บริการเที่ยวบินรายใหญ่ที่สุดที่เชื่อมต่อระหว่างเวียดนาม อินเดียและออสเตรเลีย เส้นทางบินดังกล่าวช่วยส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศที่มีศักยภาพสูง นับตั้งแต่ต้นปี 2567 สายการบินฯ ได้เปิดเส้นทางบินตรงระหว่างฮานอยและซิดนีย์ ส่งผลให้มีจำนวนเส้นทางบินระหว่างเวียดนามและออสเตรเลียเพิ่มขึ้นทั้งหมดเป็น 7 เส้นทาง

สายการบินตั้งแต่ต้นปี 2567 ได้เปิดเส้นทางบินตรงระหว่างฮานอยและซิดนีย์เพิ่มเติม ส่งผลให้จำนวนเส้นทางเวียดนาม-ออสเตรเลียทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 7 เส้นทาง

นอกจากนี้ สายการบินฯ ได้เริ่มให้บริการเที่ยวบินจาก ฮานอย สู่ ฮิโรชิมา (ญี่ปุ่น) และโฮจิมินห์ซิตี้ สู่ เฉิงตู (จีน) บริการบนเส้นทางดังกล่าวนำมาซึ่งโอกาสในการเสริมสร้างการท่องเที่ยวและการค้าทวิภาคี พร้อมกันนี้ เวียตเจ็ทเปิดเส้นทางบินภายในประเทศเส้นทางใหม่ระหว่างฮานอย และ เดียนเบียน เพื่อนำผู้โดยสารเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางทางประวัติศาสตร์อย่าง ‘เดียนเบียนฟู’  สายการบินฯ มีอัตราโหลดแฟคเตอร์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 87 และอัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคอยู่ที่ร้อยละ 99.72

 เดินหน้าเสริมทัพฝูงบินที่มีความทันสมัย มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระยะยาวของสายการบินฯ ยืนยันได้จากการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากร การประหยัดเชื้อเพลิง และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยฝูงบินใหม่และทันสมัย

เวียตเจ็ทให้ความสำคัญกับการลงทุนในฝูงบินที่ทันสมัย ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ฝูงบินของเวียตเจ็ทประกอบด้วยเครื่องบิน 105 ลำ รวมถึงเครื่องบิน A330 ลำตัวกว้างด้วย

ภายในปี 2566 ฝูงบินของเวียตเจ็ทเติบโตขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงประหยัดเชื้อเพลิงได้มากถึง 15-20% มุ่งเน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ยั่งยืนและการวิจัยเทคโนโลยีสีเขียว

 ในปีที่ผ่านมา สายการบินฯ ได้จัดประชุมหลักสูตรการฝึกอบรม รวมถึงการจำลองสถานการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยเป็นจำนวนมาก อาทิ การประชุมด้านคุณภาพและความปลอดภัย การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของ ISAGO (International Standard for Ground Operations) และการจำลองการตอบสนองฉุกเฉินในเชิงรุก เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยสำหรับการปฏิบัติการบิน เวียตเจ็ทได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในสายการบินราคาประหยัดที่ปลอดภัยที่สุดในโลกอีกครั้งโดย AirlineRatings

ศูนย์บริการภาคพื้นดินของเวียตเจ็ทปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยยึดมั่นในคุณภาพของการบริการในขณะที่ลดต้นทุนการดำเนินงานที่สนามบิน นอกเหนือจากนี้ เวียตเจ็ทยังใช้แนวทางเชิงรุกในงานซ่อมบำรุงเครื่องบินอีกด้วย ในปี 2566 เวียตเจ็ทได้เปิดตัวศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินตามมาตรฐานสากลภายใต้ความร่วมมือกับสายการบินลาวในเวียงจันทน์

รายงานผลประกอบการประจำปี 2566 เน้นย้ำฐานะหนึ่งในสายการบินที่มีความยืดหยุ่นและเติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก พร้อมด้วยการขยายเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศที่ครอบคลุม ส่งเสริมการฟื้นตัวและการพัฒนาการท่องเที่ยว การลงทุน และการค้าในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ในปี 2566 เวียตเจ็ทให้บริการเที่ยวบินกว่า 133,000 เที่ยวบิน ขนส่งผู้โดยสารทั้งสิ้น 25.3 ล้านคน (ไม่รวมสายการบินไทยเวียตเจ็ท) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 183 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากรายงานดังกล่าวจำนวนผู้โดยสารมากกว่า 7.6 ล้านคนเป็นผู้ที่เดินทางบนเที่ยวบินระหว่างประเทศ

ในปีที่ผ่านมา เวียตเจ็ทยังคงขยายเครือข่ายเส้นทางบินอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มเส้นทางบินระหว่างประเทศและเส้นทางบินภายในประเทศรวมทั้งสิ้น 33 เส้นทาง ส่งผลให้ขณะนี้มีจำนวนเส้นทางบินทั้งหมด 125 เส้นทาง ประกอบด้วยเส้นทางบินระหว่างประเทศ 80 เส้นทาง และเส้นทางบินภายในประเทศ 45 เส้นทาง เส้นทางบินระหว่างประเทศสู่เมืองที่ได้รับความนิยม ได้แก่ โฮจิมินห์ซิตี้ - เซี่ยงไฮ้ โฮจิมินห์ซิตี้ - เวียงจันทน์ ฮานอย - เสียมราฐ ฮานอย - ฮ่องกง ฟู้โกว๊ก - ไทเป และฟู้โกว๊ก - ปูซาน เป็นต้น

เวียตเจ็ทเป็นสายการบินแรกที่เชื่อมต่อเวียดนามกับ 5 เมืองที่ใหญ่ในออสเตรเลีย ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น เพิร์ธ แอดิเลด และบริสเบน รวมถึงเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดระหว่างเวียดนามและอินเดีย โดยมีเส้นทางเชื่อมต่อเวียดนามกับเมืองเดลี มุมไบ อาห์เมดาบัด โคจิ และติรุจิรัปปัลลิ เวียตเจ็ทขนส่งสินค้าทางอากาศกว่า 81,500 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

ทั้งนี้ ในปี 2566 รายบางส่วนของเวียตเจ็ทอยู่ที่ 53.6 ล้านล้านดอง (ประมาณ 2.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และรายได้รวมอยู่ที่ 62.5 ล้านล้านดอง (ประมาณ 2.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าร้อยละ 62 และร้อยละ 56 ตามลำดับ กำไรหลังหักภาษีของรายได้บางส่วนและรายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 697 พันล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 28.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ 344 พันล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ

ในไตรมาสที่สี่ของปี 2566 รายได้บางส่วนและรายได้รวมเพียงไตรมาสเดียวทะยานสูงถึง 14.9 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 609.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ 18.8 ล้านล้านดอง (ประมาณ 768.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าร้อยละ 89 และร้อยละ 49 ตามลำดับ ขณะเดียวกัน กำไรหลังหักภาษีแยกและรวมรายไตรมาสอยู่ที่ 7 หมื่นล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 2.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ 152 พันล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 6.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ

รายได้เสริมและรายได้จากการขนส่งสินค้ามีมูลค่า 18.9 ล้านล้านดอง (ประมาณ 773.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเติบโตถึงร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นร้อยละ 40 ของรายได้จากการขนส่งทางอากาศทั้งหมดของสายการบินฯ

รายงาน ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ทรัพย์สินรวมของเวียตเจ็ทมีมูลค่ารวมกว่า 84.6 ล้านล้านดอง (ประมาณ 3.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 2 ภายหลังจากการสั่งซื้อเครื่องบิน A321neo รุ่นใหม่จำนวน 3 ลำ ซึ่งต่ำกว่าอัตราส่วนทั่วไปทั่วโลกที่อยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ขณะที่อัตราส่วนสภาพคล่องของเวียตเจ็ทอยู่ที่ 1.24 ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีของอุตสาหกรรมการบิน เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ 5.021 ล้านล้านดอง (ประมาณ 205.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมากกว่าสองเท่าของปีก่อนหน้าแสดงถึงศึกยภาพทางการเงินของสายการบินฯ นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีอันดับเครดิตดีที่สุดตามเกณฑ์ของกระทรวงการคลังและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด (VnBBB-) ในกลุ่มสายการบินเวียดนามในปี 2566

 ในปี 2566 เวียตเจ็ทได้จ่ายภาษีและค่าธรรมเนียมทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 5.2 ล้านล้านดอง (ประมาณ 212.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เวียตเจ็ทยังคงลงทุนเสริมทัพฝูงบินที่ทันสมัย ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้น รายงาน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ฝูงบินของเวียตเจ็ทประกอบด้วยเครื่องบิน 105 ลำ รวมถึงเครื่องบิน A330 ลำตัวกว้าง  จากการริเริ่มการปฏิบัติงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยเครื่องบินเพียงสามลำ ภายในปี พ.ศ. 2566 ฝูงบินของเวียตเจ็ทเติบโตขึ้นอย่างมาก รวมถึงมีส่วนช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยประหยัดเชื้อเพลิงได้มากถึงร้อยละ 15-20 รวมถึงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาประยุกต์ใช้ในปี 2566 เวียตเจ็ทได้มีส่วนร่วมในการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐอเมริกา โดยบรรลุข้อตกลงกับโบอิ้งในการส่งมอบเครื่องบิน 737 MAX จำนวน 200 ลำ ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า รวมถึงข้อตกลงการจัดหาเงินทุนสำหรับเครื่องบินกับสถาบันการเงินต่างประเทศมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อัตราส่วนการขนส่งผู้โดยสารโดยเฉลี่ยของสายการบินอยู่ที่ร้อยละ 87 และอัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคอยู่ที่ร้อยละ 99.72 พร้อมกันนี้ เวียตเจ็ทได้เปิดตัวโปรแกรมสะสมคะแนน SkyJoy ซึ่งช่วยให้สมาชิกสามารถสะสมคะแนนเพื่อแลกสิทธิประโยชน์จากแบรนด์ต่างๆ กว่า 250 แบรนด์ ภายในปี 2566 เวียตเจ็ทมีสมาชิก SkyJoy จำนวน 10 ล้านคน

นอกจากนี้ เวียตเจ็ทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อมอบความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารด้วยบริการ "บินก่อน จ่ายทีหลัง (Fly Now Pay Later)" อำนวยความสะดวกด้วยการเสนอทางเลือกการชำระเงินที่ยืดหยุ่นแก่ผู้โดยสาร เกตเวย์การชำระเงิน Galaxy Pay ของเวียตเจ็ทช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยและสะดวกสบายผ่านวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย รวมถึงเวียตเจ็ทเป็นสายการบินแรกของเวียดนามที่เริ่มให้บริการชำระเงินผ่าน Apple Pay ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารของเวียตเจ็ทจะได้รับสิทธิ์เช็คอินออนไลน์ ณ สนามบิน 18 แห่งในเวียดนาม

 เวียตเจ็ทการันตีมาตรฐานบริการด้วยรางวัลหนึ่งในสายการบินราคาประหยัดที่ปลอดภัยที่สุดในโลกอีกครั้งโดย AirlineRatings ซึ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในการประเมินการบริการและความปลอดภัยของสายการบิน ในปีที่ผ่านมา สายการบินได้จัดการประชุม หลักสูตรการฝึกอบรม และการจำลองด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย อาทิ การประชุมด้านคุณภาพและความปลอดภัย การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยของ ISAGO (International Standard for Ground Operations) และการจำลองการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อสร้างมั่นใจในความปลอดภัยสำหรับการปฏิบัติการบิน นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมในฟอรัมด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติงานด้านการบินระดับโลกที่จัดโดยองค์กรที่มีชื่อเสียง อาทิ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เพื่อมีส่วนร่วมในการอภิปรายเชิงลึกเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบิน

ในปี 2566 เวียตเจ็ทได้เปิดตัวศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ได้มาตรฐานสากลโดยร่วมมือกับสายการบินลาวในเวียงจันทน์ ด้วยเหตุนี้ เวียตเจ็ทจึงใช้แนวทางเชิงรุกในงานซ่อมบำรุงเครื่องบินหลังจากการลงทุนในบริการการจัดการภาคพื้นดิน

ด้วยตระหนักถึงกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ในการพัฒนาและสร้างบุคลากรที่มีมาตรฐานสากล Vietjet Aviation Academy (VJAA) จึงกลายเป็นพันธมิตรการฝึกอบรมของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ในปี 2566

ด้วยกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ในการพัฒนาและสร้างบุคลากรที่มีมาตรฐานสากล Vietjet Aviation Academy (VJAA) จึงกลายเป็นพันธมิตรศูนย์ฝึกอบรมของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ในปี 2566

VJAA ฝึกอบรมนักเรียนมากกว่า 97,000 คนผ่านหลักสูตร 6,300 หลักสูตร โดยจัดให้มีการฝึกอบรมนักบินและเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงเครื่องบิน (CRS) อย่างเต็มกำลังในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ สถาบันแห่งนี้ยังได้เปิดตัวเครื่องจำลองการบินแห่งที่สามซึ่งกลายเป็นศูนย์ฝึกนักบินชั้นนำในภูมิภาค

ในปีที่ผ่านมา เวียตเจ็ทประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการพัฒนาและยกระดับบริการอย่างครอบคลุมด้วยการขยายเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน สายการบินฯ พร้อมตอบสนองความต้องการการเดินทางภายในประเทศ รวมถึงวางแผนขยายเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศเส้นทางใหม่ๆ ต่อไปในอนาคต

ไม่ว่าจะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า วันคริสต์มาส วันหยุดของโรงเรียน หรือช่วงเงียบของที่ทำงาน การท่องเที่ยวทั่วโลกมักจะครึกครื้นมากเป็นพิเศษในช่วง 10 วัน สุดท้ายของปี เพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวได้ดีลที่คุ้มราคาที่สุดสำหรับการวางแผนเตรียมไปเที่ยวช่วงปีใหม่ อโกด้า เลยเอา 10 จุดหมายปลายทางทั่วเอเชีย-แปซิฟิกที่ถูกที่สุดในช่วงสิ้นปี 2023 นี้มาแนะนำ เพราะอโกด้ามองหาดีลที่ดีที่สุด และราคาที่ถูกที่สุดอยู่เสมอ

อโกด้าจึงนำราคาห้องพักเฉลี่ยของหลากหลายจุดหมายปลายทาง ระหว่างวันที่ 22-31 ธันวาคม 2023 มาวิเคราะห์ และพบว่าในประเทศไทย หาดใหญ่เป็นจุดหมายปลายทางที่ถูกที่สุด โดยราคาห้องพักเฉลี่ยในเมืองอยู่ที่ 1,549 บาท

10 จุดหมายปลายทางทั่วเอเชีย-แปซิฟิกที่ถูกที่สุดในช่วงสิ้นปี 2023 นี้ ประกอบไปด้วย

หาดใหญ่ (ไทย) ยอกยาการ์ตา (อินโดนีเซีย) กูชิง (มาเลเซีย) ดาลัด (เวียดนาม) กัว (อินเดีย) บาเกียว (ฟิลิปปินส์) นาโกย่า (ญี่ปุ่น) ไทจง (ไต้หวัน) เมลเบิร์น (ออสเตรเลีย) และปูซาน (เกาหลีใต้) ราคาห้องพักเฉลี่ยของแต่ละที่นั้นแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1,549 บาท ในหาดใหญ่ ถึง 5,692 วอน ในปูซาน

นายพีรพล สง่าเมือง, ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย, อโกด้า กล่าวว่า “เราได้เห็นการฟื้นตัวครั้งใหญ่ของการเดินทางท่องเที่ยวทั่วภูมิภาคเอเชียในปี 2023 เพราะผู้คนทั่วโลกกลับมาเดินทางไปท่องเที่ยว พบปะกับเพื่อน ครอบครัว และคนที่รักแล้ว ช่วงวันหยุดสิ้นปีนี้ก็คงไม่ต่างจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่ไม่ว่าจะเที่ยวคนเดียว หรือเที่ยวกับคนที่รัก การท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นนั้นหมายถึงความต้องการตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก และอื่น ๆ ที่สูงขึ้น ดังนั้นอโกด้าจึงนำ 10 จุดหมายปลายทางทั่วเอเชีย-แปซิฟิกที่มีราคาห้องพักเฉลี่ยประหยัดที่สุดในช่วงสิ้นปี 2023 มาแนะนำ เพื่อให้ทุกคน ไม่ว่าใครจะมีงบมากน้อยเท่าใด ได้เที่ยวฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันอย่างมีสไตล์”

แม้จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ถูกที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย แต่ละเมืองนั้นมีสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับการไปเที่ยวต้อนรับปีใหม่ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ชายหาด สวนสนุก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และร้านอาหารมากมาย มาดูไฮไลท์สถานที่ที่ไม่ควรพลาดของแต่ละที่กัน

1. หาดใหญ่, ไทย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 1,549 บาท)

หาดใหญ่ มีร้านกาแฟฮิป ๆ ที่เที่ยวกลางคืนที่มีชีวิตชีวา และร้านอาหารทะเลอร่อย ๆ อยู่มากมาย ใครที่ชอบเที่ยวแนวเมือง ต้องไปเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่าสงขลา สัมผัสวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ส่วนใครที่อยากเที่ยวแนวธรรมชาติ ต้องไปเล่นน้ำตกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง หาดใหญ่มีกิจกรรมรื่นเริงและเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่มากมายตลอดเดือนธันวาคม สามารถไปดื่มด่ำกับต้นคริสต์มาสยักษ์ และการแสดงไฟคริสต์มาสกันทั้งครอบครัวได้ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ และเมื่อถึงเวลาเลือกซื้อของขวัญของที่ระลึก ก็ต้องแวะไปตลาดเก่าแก่ของเมืองอย่างตลาดกิมหยง

2. ยอกยาการ์ตา, อินโดนีเซีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 2,019 บาท)

ยอกยาการ์ตา ซึ่งผู้คนมักให้ฉายาว่าเป็น “ใจกลางแห่งวัฒนธรรมชวา” เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำหรับการไปเที่ยวในเดือนธันวาคมที่น่าสนใจมาก ในเมืองนั้นเต็มไปด้วยศิลปะวัฒนธรรมของชาวชวา และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง รวมถึงเกราตัน ยอกยาการ์ หรือพระราชวังสุลต่านอันโด่งดัง ประชากรที่หลากหลายต่างซึมซับมรดกอันยาวนานของเมืองและเอามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างลงตัว นอกจากพระราชวังสุลต่านแล้วก็ยังมีโบสถ์อันสวยงามที่กระจายอยู่ทั่วเมือง และงานประเพณีคริสต์มาสของคนในท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงความกลมกลืนกันของวัฒนธรรมต่าง ๆ ให้ชม ให้ลองสัมผัสด้วย

หากต้องการใช้เวลาช่วงสิ้นปีพักผ่อนแบบสงบ ๆ ลองไปเดินสำรวจกลุ่มวัดปรัมบานัน มรดกโลกขององค์การยูเนสโกที่สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 หรือมุ่งหน้าขึ้นเหนืออีกเพียง 25 กม. ไปยังเมืองเล็ก ๆ อย่างคาลูรัง ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาเมราปีอันงดงาม และเมื่อถึงวันสิ้นปี ห้ามพลาดเทศกาลกลางคืนยอกยาการ์ตาที่อาลุน อาลุน คิดุล หรือจัตุรัสใต้ ซึ่งจะมีการแสดงพลุหลากสีสันสุดอลังการต้อนรับปีใหม่

3. กูชิง, มาเลเซีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 2,162 บาท)

กูชิง เมืองหลวงอันน่ารื่นรมย์ของซาราวัก มีชื่อเสียงในเรื่องตลาดริมถนนที่ครึกครื้น อาหารข้างทางแสนอร่อย ทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก เหมาะสำหรับครอบครัวที่อยากใช้เวลาด้วยกันท่ามกลางธรรมชาติ ในเดือนธันวาคม กูชิงจะกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งเทศกาลที่เต็มไปด้วยด้วยแสงไฟ และของประดับตกแต่งละลานตา ไม่ว่าจะเป็นตรงพื้นที่ริมน้ำกูชิงที่สามารถไปเดินชมวิวได้ หรือรูปปั้นแมวยักษ์ในชุดพร้อมฉลองขึ้นปีใหม่ตรงวงเวียนปาดูงันอันโดดเด่น ใครที่อยากพบปะผู้คนใหม่ ๆ ลองไปร่วมเดินขบวนคริสต์มาสกูชิงประจำปี จากนั้นไปต่อที่ถนนคาร์เพนเทอร์ แหล่งรวมร้านอาหารชื่อดัง และร้านขายของต่าง ๆ ในเมืองที่ยังน่าเดินในยามค่ำคืน

4. ดาลัด, เวียดนาม (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 2,450 บาท)

ดาลัด เมืองแห่งขุนเขาอันมีเสน่ห์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เมืองนี้จะกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งฤดูหนาว ด้วยไฟระยิบระยับ การตกแต่งตามเทศกาล และบรรยากาศที่สนุกสนาน

สภาพอากาศที่เย็นสบายในช่วงสิ้นปี ทำให้เหมาะกับการไปเที่ยวสถานที่ยอดฮิตของเมือง อย่าง เครซี เฮาส์ (Crazy House) ทะเลสาบซวนฮวาง และหุบเขาแห่งความรักที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด

5. กัว, อินเดีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 3,315 บาท)

กัว ถือได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งปาร์ตี้ของอินเดีย ขึ้นชื่อในเรื่องชายหาด สถานที่เที่ยวกลางคืน ตลาด และอาหารทะเล แม้บางครั้งจะถูกมองข้าม แต่รัฐกัวก็มีด้านสงบที่สวยงามไม่แพ้กัน ที่เที่ยวและกิจกรรมในกัวมีให้เลือกมากมายทั้งปี เช่น น้ำตกดัตซาการ์ในเขตป่าอันเขียวชอุ่ม คาเฟ่ Artjuna ที่มีอิมเมอร์ซีฟเวิร์กช็อป การแสดงดนตรีสด และคอร์สโยคะ หรือถ้าใครอยากเที่ยวสนุกแบบคนในท้องถิ่น ก็มีเทศกาล Bonderam ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม และเกาะดิวาร์ สามารถนั่งเรือข้ามไปเดิมชมโบสถ์เก่าแก่ ลิ้มรสอาหารท้องถิ่นได้

6. บาเกียว, ฟิลิปปินส์ (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 3,423 บาท)

อากาศที่เย็นและสดชื่นทำให้บาเกียวแตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ของฟิลิปปินส์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตร้อน และได้รับฉายา “เมืองหลวงฤดูร้อนของฟิลิปปินส์” บาเกียวเป็นเมืองที่เที่ยวได้ตลอดปี มีสถานที่สวยงามที่ผู้คนชื่นชอบมากมาย อย่าง กลุ่มต้นสนในสวนสาธารณะ Mines View แคมป์ John Hay และตลาดกลางคืนบาเกียว แหล่งรวมสินค้าวินเทจหลากหลายชนิด นอกจากนี้บาเกียวยังมีมรดกทางงานฝีมือ และศิลปะพื้นบ้านที่โดดเด่น จนได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกอีกด้วย

ภูมิประเทศที่สูงอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองทำให้บาเกียวสามารถปลูกสตรอเบอร์รี่ได้ คนท้องถิ่นจึงนิยมทำทาโฮสตรอเบอร์รี่ (ขนมฟิลิปปินส์ที่ทำมาจากเต้าหู้อ่อน น้ำเชื่อม และไข่มุกเม็ดเล็กที่เรียกว่า สาคู) ไว้สำหรับเช้าวันคริสต์มาส ไปจนถึงไวน์สตรอเบอร์รี่สำหรับจิบฉลองขึ้นปีใหม่กับครอบครัวและคนที่รัก

7. นาโกย่า, ญี่ปุ่น (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 3,855 บาท)

นาโกย่า เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น เป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวา เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกประเภท ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และช่วงสิ้นปีเมืองนี้จะครึกครื้นมากเป็นพิเศษด้วยแสงไฟตกแต่ง กิจกรรมสนุก ๆ และบรรยากาศที่รื่นเริง การแสดงไฟในช่วงฤดูหนาวของนาโกย่าถือเป็นหนึ่งในงานแสดงไฟที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น โดยถนนเล็กใหญ่ รวมไปถึงสวนสาธารณะต่าง ๆ เช่น สวนพฤกษศาสตร์นาบานะ โนะ ซาโตะ ย่านซากาเอะ และย่านโอสึของเมืองจะถูกเปลี่ยนให้เป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งฤดูหนาวด้วยไฟระยิบระยับนับล้าน

8. ไทจง, ไต้หวัน (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 4,143 บาท)

ไทจง ไม่เพียงแต่มีมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน แต่ยังมากไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม ไถจงมีสถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมที่หลากหลาย ให้บริการนักท่องเที่ยวทุกประเภท ไม่ว่าคุณจะเป็นการชมโบราณวัตถุทางวัฒนธรรม ร้านอาหารอร่อย และธรรมชาติที่มีทั้งป่าไม้และทะเล

นอกจากนี้ ไทจง ยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดเทศกาลศิลปะแสง Lishan Guguan ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยครอบคลุมระยะเวลา 1 เดือน แห่งศิลปะการใช้แสงอันน่าหลงใหล นอกจากนี้ยังมีการแสดง และกิจกรรมทางดนตรีมากมาย ผสมผสานบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเข้ากับการเฉลิมฉลอง นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมความงามของงานศิลปะที่ส่องสว่าง ขณะเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีสด หรือเข้าร่วมการแสดงเต้นรำ และเวิร์คช็อปศิลปะได้

9. เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 5,584 บาท)

เมลเบิร์นได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อัญมณีแห่งวัฒนธรรม’ ของออสเตรเลียมายาวนาน เนื่องจากมีศิลปะ รวมไปถึงการแข่งขันกีฬาที่มีชีวิตชีวา กาแฟที่มีชื่อเสียงระดับโลก และสถานที่เที่ยวกลางคืนอันครึกครื้น เต็มไปด้วยเสน่ห์ ในช่วงคริสต์มาสและช่วงปิดเทอม เมืองริมทะเลแห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยสีสันที่เหมาะสำหรับทั้งครอบครัว ตั้งแต่ตลาดคริสต์มาสไปจนถึงการแข่งขันกีฬาระดับโลก เช่น การแข่งขันเทนนิสออสเตรเลียนโอเพ่น

ด้วยระบบรถรางที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก เมลเบิร์นจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเดินสำรวจชมสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชายหาดที่สวยงาม หรือ Federation Square ผู้คนไปทำกิจกรรม พักผ่อนหย่อนใจกันมากมาย ที่นี่มีอะไรให้ทุกคนทำอยู่เสมอ

10. ปูซาน, เกาหลีใต้ (ราคาห้องพักเฉลี่ย = 5,692 บาท)

ปูซานเป็นจุดหมายปลายทางริมชายฝั่ง ที่มีการผสมผสานระหว่างชายหาดที่สวยงาม ตึกระฟ้าสมัยใหม่ ตลาดแบบดั้งเดิม และตรอกคาเฟ่บรรยากาศสบาย ๆ อย่างลงตัว หากใครที่กำลังหาโอกาสชมทิวทัศน์ของเมืองที่หลากหลายได้ในครั้งเดียว ต้องไม่พลาด Busan X the SKY เป็นหอชมวิวชั้นบนสุดของอาคารที่สูงเป็นอันดับ 2 ในเกาหลีใต้ ซึ่งตั้งอยู่บนหาดแฮอึนแด หากใครอยากไปเดินเล่นแบบเงียบสงบกว่านี้ ลองไปถนนดัลมาจิกิล จะมีร้านกาแฟเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป พร้อมทิวทัศน์อันงดงามของมหาสมุทรสีฟ้า

สำหรับเทศกาลแสงสีฤดูหนาวริมทะเลที่ไม่เหมือนใคร ต้องไม่พลาดหาดกวานกาลีที่จัดงานแสดงแสงโดรน Gwangalli Marvelous สุดตระการตาทุกสัปดาห์ในช่วงเย็นวันเสาร์ โดยแสงไฟจะกระจายไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปลอดโปร่งในฤดูหนาว

นอกจากการเผยจุดหมายปลายทางที่มีราคาย่อมเยาที่สุดให้แล้ว อโกด้ายังช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยฟีเจอร์อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Price Freeze, Price Alerts, ส่วนลดแบบกลุ่ม, ดีลรายวัน และอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้คนออกไปท่องเที่ยวได้มากขึ้นโดยจ่ายน้อยลง

ธุรกิจโรงแรมยิ้ม เที่ยวไทยฟื้นต่อเนื่อง ด้าน สมาคมโรงแรมไทย แนะเร่งเพิ่มเที่ยวบินต่างประเทศขนนักท่องเที่ยว ชี้ไทยยังครองอันดับต้นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยม ส่วนผู้ประกอบการโรงแรมต้องเร่งปรับตัวให้ทันกระแสท่องเที่ยวโลก ทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และเดินหน้าสู่โรงแรมยุคดิจิตอล ร่วมกับอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เตรียมจัดประชุมใหญ่ประจำปีและกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี ในงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 (Food & Hospitality Thailand 2023 (FHT2023)) ระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมว่า มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี การท่องเที่ยวไทยยังคงได้รับความนิยมและเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาคึกคักตั้งแต่ปลายปี 2565 จากนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายจากการที่รัฐบาลจีนเปิดให้มีการออกมาท่องเที่ยวเร็วกว่ากำหนด โดยในครึ่งปีหลังที่เป็นไฮซีซั่น คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาอีกมาก ส่วนอุปสรรคสำคัญเวลานี้ คือ จำนวนของเที่ยวบินที่จะขนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีไม่เพียงพอ การออกวีซ่าที่ใช้เวลานานและเงื่อนไขเยอะ ซึ่งหากแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นได้กว่า 25 ล้านคน ตามที่ตั้งเป้าไว้ เพราะแค่ 5 เดือน นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 10 ล้านคน

ด้านผู้ประกอบการโรงแรมก็ต้องพัฒนา เรียนรู้ ปรับตัวให้ทันกับแนวโน้มของการท่องเที่ยวโลก ที่เดินหน้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Travel) โดยผลักดันให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งระบบเข้าสู่ระบบนิเวศ (Ecosystem) เดียวกัน ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว แสงแดด ทะเล หาดทราย วัฒนธรรม เรามีครบ ต้องช่วยกันรักษาและบริหารจัดการให้เหมาะสม พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มในกลุ่มการท่องเที่ยวมูลค่าสูง อาทิ การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ (Wellness Tourism) หรือการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (MICE) โดยภาครัฐควรเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนธุรกิจโรงแรมที่เน้นความยั่งยืนอย่างจริงจัง คนทำดีควรได้รับสิทธิพิเศษไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษี การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สะดวกขึ้น ฯลฯ นอกจากนั้นต้องพัฒนาการดำเนินธุรกิจสู่รูปแบบโรงแรมดิจิตอลที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในหลายด้านมากขึ้น หากทำได้ก็จะเป็นแต้มต่อในการแข่งขันมากขึ้น

สำหรับอีกภารกิจสำคัญของสมาคมฯ ในปีนี้ คือ การจัดกิจกรรมพิเศษฉลองครบรอบ 60 ปี และงานประชุมใหญ่ประจำปี โดยได้ร่วมมือกับ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พันธมิตรหนึ่งเดียวอย่างเป็นทางการที่สมาคมฯ ให้การสนับสนุนร่วมมือในการจัดงานและจัดกิจกรรมของสมาคมฯ มากว่า 20 ปี โดยงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023

 

จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นจะมีทั้งการให้ความรู้เพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมไทยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับธุรกิจการท่องเที่ยวโลก โดยมูลนิธิใบไม้สีเขียว ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกจะมาร่วมให้ความรู้ถึงเรื่องการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร แนวทางการคำนวณคาร์บอนในการเข้าพัก การลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน พร้อมมีการจัด Hospitality Digital Day ซึ่งจะพูดถึง Digital Marketing สำหรับธุรกิจโรงแรมในทุกแง่มุม รวมถึงการพัฒนาทักษะพนักงานบาร์โรงแรมในการแข่งขัน Asean & Thailand Hotel Bartender Compettition ซึ่งคาดว่ากิจกรรมและการประชุมในปีนี้จะมีสมาชิกผู้ประกอบการโรงแรมจากทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง รวมห้องพักแล้วประมาณ 20% ของห้องพักทั้งหมดของโรงแรมที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องเข้าร่วมงานในครั้งนี้

ด้านนายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ทางสมาคมโรงแรมไทยมองเห็นถึงความสำคัญของการจัดงานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและเทคโนโลยี ด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ เครื่องใช้ในโรงแรม ภัตตาคาร การจัดเลี้ยง และการบริการนานาชาติ ที่มีวัตถุประสงค์สำคัญในการเป็นศูนย์รวมการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือทางธุรกิจ แต่ละปีมีการนำเสนอแนวโน้มและเทรนด์ธุรกิจของโลกเพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำมาพัฒนาและปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด

ทั้งนี้ ทุกครั้งของการจัดงานฯ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และบริการจากทั่วโลกต่างให้ความสนใจร่วมงาน โดยในการลงทะเบียนร่วมงานปีที่ผ่านมา (2565) มีผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 22,773 จาก 61 ประเทศ และมีผู้ร่วมจัดแสดงงานถึง 243 ราย จาก 12 ประเทศทั่วโลก และ 90% ของผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้เข้าร่วมงานยืนยันว่าจะกลับเข้าร่วมงานในปีนี้อีกครั้ง และที่น่ายินดีอย่างยิ่งคือเราได้รับการยืนยันจากผู้ร่วมจัดแสดงรายใหม่และพันธมิตรรายใหญ่จากหลายประเทศสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานปีนี้ อาทิ ซิโนเอ็กซ์โป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พันธมิตรใหม่ยักษ์ใหญ่จากจีน ที่จะนำงานสำคัญอย่าง Hotel & Shop Plus Thailand งานแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์สำหรับการออกแบบตกแต่งอาคาร โรงแรมและพื้นที่เชิงพาณิชย์ มาร่วมจัด ทำให้ต้องมีการขยายพื้นที่จัดงานเพิ่มขึ้นจาก 2 ฮอลล์ เป็น 3 ฮอลล์ สร้างความคึกคัก เพิ่มมูลค่าการเจรจาธุรกิจ และดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบการทั่วโลกได้อย่างแน่นอน

งานฟู้ด แอนด์ ฮอสพิทาลิตี้ ไทยแลนด์ 2023 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 1-3 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานฯ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ www.fhtevent.com ติดต่อ คุณสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ โทร.02-036-0500

“สกาย กรุ๊ป” เผยผลประกอบการ Q1/66 กวาดรายได้ 820 ล้านบาท โตแกร่ง 75% กำไรสุทธิ 83 ล้านบาทรับอานิสงค์ยอดผู้โดยสารเข้า-ออกประเทศทะลัก หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยว-การบินฟื้น ดันรายได้จากโครงการเกี่ยวกับสนามบินพุ่ง โชว์แบ็กล็อก 22,900 ล้านบาท เชื่อมั่น Aviation Tech แต้มต่อสำคัญพร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง เตรียมเร่งเครื่องจัดทัพ-ขยายธุรกิจใหม่ สยายปีกสู่ Beyond Tech Company สร้างความแข็งแกร่งในอนาคต

นายสิทธิเเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (ม.ค.-มี.ค. 66) บริษัทสามารถทำรายได้ 820 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 75% (YoY%) และมีกำไรสุทธิ 83 ล้านบาท ถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากรายได้จากโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน อย่างระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System: CUPPS) และโครงการการให้บริการระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (APPS) ขยายตัวเพิ่มขึ้น หลังอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวประเทศไทยฟื้นตัว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 บริษัทมีงานที่อยู่ระหว่างการรอส่งมอบตามสัญญา (Backlog) อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 22,900 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท สร้างการเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ปอย่างแข็งแกร่ง

“ที่ผ่านมา สกาย กรุ๊ป ได้ลงทุนศึกษาวิจัย และพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน (Aviation Tech) มาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปี ทำให้เราสามารถสร้างการเติบโต แม้ต้องเผชิญกับท้าทายจาก COVID-19 เห็นได้จากการขยายตัวของสกาย กรุ๊ปและบริษัทที่เราเข้าไปร่วมลงทุน เราเชื่อว่านับจากวันนี้ไป ภาคการท่องเที่ยวและการบินทั่วโลกจะยังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ Aviation Tech กลายเป็นหนึ่งในแต้มต่อสำคัญของประเทศ” นายสิทธิเดช กล่าว

นายสิทธิเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 สกาย กรุ๊ป ยังคงมุ่งพัฒนาและสร้างสรรค์เทคโนโลยีด้าน Aviation Tech ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการบริการภายในสนามบิน (Airport Services) ให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัว ช่วยเพิ่มความสามารถ (Capacity) ของท่าอากาศยานในการรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่พร้อมจะหลั่งไหลเข้าประเทศไทยตลอดทั้งปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ป ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเข้าประมูลงาน ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน มูลค่ารวมหลักหลายพันล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในอนาคต

ขณะเดียวกัน สกาย กรุ๊ป ยังมีแผนปรับโครงสร้างยกระดับองค์กรสู่ “Beyond Tech Company” มุ่งสร้างองค์กรให้เป็นมากกว่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี และเปิดตัวบริษัทลูกเพื่อขยายธุรกิจใหม่ เสริมความมั่นคงแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Connecting Thailand วางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของประเทศให้แข็งแกร่ง พร้อมเปิดรับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีระดับโลกสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และพัฒนาบุคลากรเติมเต็ม Tech Ecosystem ขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยคาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดเร็วๆ นี้

X

Right Click

No right click