December 05, 2025

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้รวมในไตรมาส 4/67 เท่ากับ 44,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,070 ล้านบาทจากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,878 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 16.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 1,644 ล้านบาท เติบโตขึ้น 0.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เติบโตขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มสินค้าและบริการ รวมไปถึงการจัดทำโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 6,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ประจำปี 2567 อยู่ที่ 25,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 354 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของบรรจุภัณฑ์กระป๋อง อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 21.3% เพิ่มขึ้น 75 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นมาจากทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์กระป๋อง เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ลดลงของทั้งโซดาแอชและเศษแก้ว รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุน และ Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 15.8% เพิ่มขึ้น 102 bps เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น

กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค มียอดขาย ในไตรมาส 4/67 ของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค อยู่ที่ 5,266 ล้านบาท ลดลง 80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจต่างประเทศเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัวยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 20.4% เพิ่มขึ้น 188 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากต้นทุนมันฝรั่งที่ลดลง Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น และโครงการลดต้นทุนต่างๆ ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 10.9% เพิ่มขึ้น 192 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น

กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค ในไตรมาส 4/67 กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค อยู่ที่ 2,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายกลุ่มเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการออกสินค้าใหม่ และได้รับประโยชน์จากงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 34.1% เพิ่มขึ้น 221 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จาก Product Mix ที่ดีขึ้น ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 18.5% เพิ่มขึ้น 719 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายและกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง

กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ มียอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ ในไตรมาส 4/67 รายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 30,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 829 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 26,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 830 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมในไตรมาสอยู่ที่ 2.2% (1.5% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในหมวดสินค้าอาหารสด (Fresh Food) และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในหมวดสินค้าอาหารแห้ง (Dry Food) ในระหว่างไตรมาส ขณะที่รายได้อื่นอยู่ที่ 3,211 ล้านบาท ลดลง 57 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการ โดยรายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ประจำปี 2567 อยู่ที่ 116,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,264 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 103,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,434 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดสาขาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ การเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมลดลง 0.8% (0.02% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ในขณะเดียวกันรายได้อื่นอยู่ที่ 12,737 ล้านบาท ลดลง 203 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการและรายได้อื่น

กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/67 โดยได้เปิดบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 4 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 16 สาขา (รวมบิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านขายยาเพรียวจำนวน 3 สาขา ตลาด Open-air จำนวน 1 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 1 สาขา และร้านหนังสือเอเซียบุ๊คส์จำนวน 1 สาขา และในระหว่างไตรมาสมีการปิดบิ๊กซิ ไฮเปอร์มาร์เก็ตที่กำลังจะหมดสัญญาเช่าจำนวน 1 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี ราษฎ์บูรณะ โดยหลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว บริษัทได้ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาเช่าของร้านค้าสาขาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมีสาขาอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถรองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้บริษัทได้ปิดบิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 1 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขา บิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 3 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 2 สาขา และร้านกาแฟวาวีจำนวน 4 สาขา ส่งผลให้เครือข่ายร้านค้าของบริษัทมีร้านค้าไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 155 สาขา (รวมบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์จำนวน 1 สาขาในประเทศกัมพูชา และ 1 สาขาในประเทศลาว) ร้านค้าขนาดซูเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 52 สาขา (บิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 34 สาขา และบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 16 สาขาในประเทศไทย และ 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านค้าบิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 14 สาขา ร้านค้าบิ๊กซี มินิจำนวน 1,616 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ในประเทศไทยจำนวน 77 สาขา และบิ๊กซี มินิจำนวน 18 สาขาในประเทศกัมพูชา) บิ๊กซี ดีโป้จำนวน 11 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเซอร์วิสจำนวน 7 สาขา ตลาด Open-Air จำนวน 9 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 146 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 43 สาขา ร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์จำนวน 69 สาขา ในขณะที่เครือข่ายร้านค้าโดนใจมีจำนวน 10,773 สาขา ณ สิ้นปี 2567 และแพลตฟอร์ม Omnichannel ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจำนวนการดาวน์โหลดแอป Big C PLUS ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทและแพลตฟอร์มอื่น (3rd party) ในปี 2567

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์เพื่อเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

“บีเจซี” เผยผลประกอบการไตรมาสสุดท้าย ปี 2566 มีกำไรสุทธิรวม 1,638 ล้านบาท จากต้นทุนหลักของธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวลดลงและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุน รวมถึงยอดขายที่เติบโตขึ้นของกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้จากการขายและบริการในไตรมาส 4 ปี 2566 เท่ากับ 39,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 721 ล้านบาท จากปีก่อน โดดเด่นมาจากกลุ่มสินค้าและบริการค้าปลีกสมัยใหม่ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทในไตรมาส 4/66 เท่ากับ 1,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท จากปีก่อน

กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ รายงานยอดขายในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 6,650 ล้านบาท ยอดขายแก้วเติบโตขึ้น ส่วนยอดขายของกลุ่มบรรจุภัณฑ์กระป๋องลดลง โดยมีกำไรสุทธิรวมที่ 564 ล้านบาท เติบโตแข็งแกร่งจากปีก่อนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลงและโครงการลดต้นทุน

กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค รายงานยอดขายในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 5,346 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151 ล้านบาท จากปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ สาเหตุหลักจากต้นทุนน้ำมันปาล์ม ต้นทุนเยื่อกระดาษ ต้นทุนสาธารณูปโภคและค่าขนส่งที่ลดลง รวมไปถึงการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น

กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค รายงานยอดขายในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 2,158 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 816 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์มียอดขายเพิ่มขึ้นจากสินค้ากลุ่มความงามและยาโรคไต และฝ่ายการแพทย์มียอดขายลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากปีงบประมาณที่ล่าช้า

กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ รายงานรายได้รวมในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 26,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 766 ล้านบาท โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 26,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 819 ล้านบาท จากปีก่อน เป็นผลมาจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1,096 ล้านบาท จากการบริหารสต็อกสินค้าที่ดี และค่าใช้จ่ายในห่วงโซ่อุปทานที่ลดลงเนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจยังเดินหน้าขยายสาขาทุกรูปแบบทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม Omnichannel บริษัทได้ร่วมมือกับ Robinhood อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้าบิ๊กซีใน Robinhood Mart พร้อมจัดส่งให้กับลูกค้าในกรุงเทพอีกด้วย

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์เพื่อเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

บริษัท อุตสาหกรรมทําเครื่องแก้วไทย จำกัด (มหาชน) (TGI) และบริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด (TBC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋องอะลูมิเนียมชั้นนำในกลุ่มบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) (BJC) ประสบความสำเร็จในการได้รับคัดเลือกเป็นบริษัทนำร่องกลุ่มแรกของประเทศไทยที่ผ่านการตรวจประเมินและได้รับใบรับรองมาตรฐานระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับองค์กร (มตช. 2 เล่ม 2 - 2564) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดขึ้นภายใต้โครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาระบบการตรวจสอบและรับรองระบบการจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กร เพื่อผลักดันนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน”

สำหรับการมอบใบรับรองมาตรฐานดังกล่าว จัดขึ้นภายในงานแถลงข่าว CIRCULAR ECONOMY: From Policy to Practice for Business Organizations เพื่อเผยแพร่ความสำเร็จของโครงการวิจัยของ บพข. ซึ่งดำเนินการโดย ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (วีกรีน) คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี รศ.ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง ผู้อำนวยการ วีกรีน เป็นหัวหน้าโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับชาติสู่การประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี โดย นางฐาปณี  - นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และรองประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย คุณสุวรรณี ภู่นภานนท์ ผู้จัดการใหญ่ธุรกิจสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ร่วมกับ บริษัท Teoxane  ผู้นำด้านการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรม ผลิตและจำหน่ายสารเติมเต็ม (HA Filler) จากสวิสเซอร์แลนด์ ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Teosyal (HA filler) จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่ผ่านการรับรองจากอย.ประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S.FDA) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ของฟิลเลอร์ที่มีความพิเศษด้วยเทคโนโลยี RHA (Resilient hyaluronic acid) มีคุณสมบัติ dynamic movement เติมเต็มผิวและใบหน้าให้สวยดูมีมิติ และเป็นธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดจำหน่ายโดย บริษัท คอสม่า เมดิคอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบีเจซี

ภายในงานได้รับเกียรติจาก .ดร.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา, Dr.Tseng Fang-Wen จาก Taiwan, Dr. Raymond WU จาก Hongkong ร่วมแชร์ประสบการณ์และนวัตกรรมความงาม และคุณหมอจากคลินิกความงามชั้นนำเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง พร้อมพบกับโชว์พิเศษจากนักร้องหนุ่มเสียงดี “ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ” มาร่วมร้องเพลงสร้างสีสันในงาน ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) (บีเจซี) ติดดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ (DJSI) กลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และได้รับการประเมินให้อยู่ในระดับสูงสุดของโลกเป็นปีที่ 2 ด้วยคะแนน 92/100 โดย S&P Global ซึ่งนับเป็นคะแนนที่สูงที่สุดตั้งแต่มีการประเมินมา ภายใต้อุตสาหกรรม Food & Staples Retailing

ความสําเร็จนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของบีเจซีในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในธุรกิจค้าปลีก และการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ยั่งยืนเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับสังคมมาตลอด 141 ปี โดยมีการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

บริษัทกว่า 10,000 แห่งจาก 61 อุตสาหกรรมทั่วโลกได้เข้าร่วมในการประเมินความยั่งยืนของ S&P Global ซึ่งเป็นดัชนีความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือและมีชื่อเสียงระดับโลก ความสําเร็จของบีเจซีในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสําคัญสู่การเป็นผู้นําด้านความยั่งยืนทางธุรกิจระดับโลก โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนําของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่มีการดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click