December 05, 2025

กรมควบคุมมลพิษ ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) โครงการ “บูรณาการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose” ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอนามัย สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันศึกษา นำเสนอมาตรฐานของเครื่องมือ วิธีทดสอบ และการควบคุมคุณสมบัติของเทคโนโลยีการตรวจวัดกลิ่นด้วยระบบ Electronic Nose (E-nose) นวัตกรรมโซลูชัน เพื่อใช้สำรวจและตรวจวัดพื้นที่หรือกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดกลิ่น และสามารถประเมินผลกระทบกลิ่นจากกระบวนการผลิต รวมถึงตรวจวัดและเฝ้าระวังกลิ่น แก๊ส และมลพิษทางอากาศแบบต่อเนื่อง พร้อมแสดงผลบนเว็บแพลตฟอร์ม มาใช้ในความร่วมมือนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการจัดการด้านกลิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม และการพัฒนาเป็นกฎหมายตรวจสอบและควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษด้านกลิ่นเพิ่มเติมในอนาค

 

SCGP ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 รายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท EBITDA 4,232 ล้านบาท และกำไรสำหรับงวด 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน รับแรงหนุนจากกลยุทธ์ปรับตัวรวดเร็ว รุกตลาดอาเซียนรองรับดีมานด์ผู้บริโภคภายในประเทศ เดินหน้าวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์สร้างฐานผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยา เสริมประสิทธิภาพลดต้นทุนพลังงานด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning พร้อมบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ เผยแผนรับมือนโยบายภาษี ใช้จุดแข็งเครือข่ายการผลิตในภูมิภาค พอร์ตสินค้าหลากหลาย การส่งออกตลาดศักยภาพสูง บูรณาการการผลิตและวัตถุดิบอย่างยืดหยุ่น

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมในไตรมาสแรกของปี 2568 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาเซียนเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเตรียมสินค้าก่อนถึงวันหยุดในไทยและอินโดนีเซีย การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าก่อนมาตรการภาษี อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์บางส่วนในจีนและเวียดนามได้รับผลกระทบจากวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับความต้องการในสินค้าคงทนที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดมากขึ้น

SCGP มุ่งเน้นการขายภายในประเทศภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มสัดส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์อุปโภคบริโภค รวมถึงปรับกลยุทธ์การส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ SCGP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning รวมถึงการจัดการต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 มีรายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มี EBITDA เท่ากับ 4,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

 

ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 คาดว่าอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ความต้องการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงเติบโตจากนโยบายกระตุ้นภายในประเทศ โดยคาดว่า GDP จะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2 ถึง 7 ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยที่ยังคงสูงกว่าภูมิภาคอื่น และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า สำหรับต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและค่าขนส่งมีแนวโน้มปรับขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการในภูมิภาค ขณะที่ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มทรงตัว และมีความท้าทายจากภาคการส่งออกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับการรับมือจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) SCGP ได้เตรียมแผนเชิงรุก มุ่งปรับตัวรวดเร็ว สร้างความสามารถและความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านคุณภาพสินค้า ความร่วมมือ สร้างความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence) เพื่อส่งมอบสินค้า บริการและโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมแผนการใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงแผนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง อีกทั้งยังมีการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และการจ้างผลิตเพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในยุโรปตะวันออก  

 

นอกจากนี้ ยังเดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วยการมุ่งเน้นขยายตลาดในอาเซียน รวมถึงการเพิ่มโอกาสใหม่ในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค เพื่อนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยได้ร่วมลงทุนในบริษัทโฮวะ แพ็คเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 25 กับ Howa Sangyo Company Limited เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก ด้วยกำลังการผลิต 6,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนมิถุนายนปีนี้ และเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตในตลาด Healthcare Supplies ด้วยการผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) นำความเชี่ยวชาญมาผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่บริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (VEM-TH) ในประเทศไทย ด้วยงบลงทุนประมาณ 142.3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม ปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ากระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยาของประเทศไทย และช่วยเพิ่มโอกาสการขายผ่านช่องทางของ Deltalab, S.L. ในประเทศสเปนด้วย

 

บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 39 ของรายได้จากการขายรวมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37 ในปี 2567 และล่าสุด Paper Cutlery หรือนวัตกรรมช้อน ส้อม และมีด ที่ผลิตจากกระดาษ แบรนด์ “Fest by SCGP” ได้รับรางวัลชนะเลิศ THAIFEX-HOREC Innovation Awards จากเวที THAIFEX-HOREC Asia 2025 นอกจากนี้ SCGP ขับเคลื่อน ESG เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในไตรมาสแรก สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเป็นร้อยละ 42 จากร้อยละ 38 ในปีก่อน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้

SCGP เดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตในตลาด Healthcare Supplies รุกขยายสู่การผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาในไทย ด้วยการผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) นำความเชี่ยวชาญร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ คาดเริ่มผลิตสินค้าภายในมกราคม ปี 2569 จำหน่ายแก่สถานพยาบาลในไทยและผู้จัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า บริษัทฯ วางกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพการขยายตลาด Healthcare Supplies ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการรุกเข้าสู่ตลาดหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยา ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติแผนลงทุนขยายกำลังการผลิตหลอดฉีดยา กำลังการผลิต 180 ล้านชิ้นต่อปี และเข็มฉีดยาอีก 100 ล้านชิ้นต่อปี ในโรงงานของบริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (VEM-TH) ใน SCGP จังหวัดระยอง ใช้งบลงทุน 142.3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตสินค้าภายในเดือนมกราคม 2569

การลงทุนขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ SCGP ได้ผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) ที่มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาเข็มฉีดยาและการจัดจำหน่ายมากกว่า 20 ปี มาผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่ VEM-TH ที่มีศักยภาพด้านการฉีดขึ้นรูปวัสดุ ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และชิ้นส่วนพลาสติกที่มีความแม่นยำสูง ด้วยมาตรฐานรับรองห้องสะอาดที่มีการควบคุมปริมาณอนุภาคและอุณหภูมิ (Cleanroom ISO8) ภายใต้การควบคุมการผลิตด้วยระบบที่เข้มงวด เพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพภายใต้แบรนด์ ONCE และจัดจำหน่ายแก่สถานพยาบาลทั่วประเทศรวมถึงผู้จัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิมของ ONCE ที่มีความเชื่อมั่นในแบรนด์พร้อมกับขยายฐานลูกค้าใหม่ ตลอดจนร่วมกันพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ

ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั่วโลกเติบโตขึ้น โดยคาดว่าตลาดจะมีการเติบโตร้อยละ 4 ต่อปีโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2567-2570 ทั้งนี้ ในปัจจุบันสินค้าที่ขายในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้า การจัดตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยจะต่อยอดให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และรองรับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในประเทศที่กำลังเติบโต การเพิ่มการผลิตนี้จะช่วยให้ SCGP นำองค์ความรู้ทางการการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Rigid plastic packaging) และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบอ่อนตัว (Flexible packaging) มาต่อยอดและขยายเข้าสู่ธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีการออกแบบสินค้าและความสามารถในการผลิตที่มีความแม่นยำสูง นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตผ่านการประสานกำลังทางธุรกิจ (Synergy) ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การใช้ VEM-TH ในการผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ จนถึงการใช้ Deltalab, S.L. ที่สเปน เป็นช่องทางการขายในยุโรปได้ด้วย

 

บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP นำโดย นายเอกราช นิโรจน์ (ที่ 6 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการตลาด ผนึกความร่วมมือกับ 15 แบรนด์ชั้นนำ นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย ภายใต้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตโดย SCGP ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งาน ความปลอดภัย และความยั่งยืน มาร่วมจัดจำหน่ายในราคาพิเศษให้แก่พนักงานขององค์กรพันธมิตร เพื่อเพิ่มช่องทางการขายที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจของพันธมิตรทางการค้าให้เติบโตไปด้วยกันและช่วยส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) และเตรียมขยายการจัดกิจกรรมต่อเนื่องไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของพันธมิตรที่สนใจ

SCGP เติบโตอย่างมีคุณภาพและสร้างความยั่งยืนระดับโลก จากการประเมินดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI ขึ้นแท่น Top 1% S&P Global กลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ (Containers & Packaging) ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จากความมุ่งมั่นดำเนินงานตามกลยุทธ์ รวมถึงเข้าร่วมในดัชนี MSCI Global Small Cap ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า บริษัทฯ สามารถสร้างการยอมรับในระดับโลกด้านการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยได้รับการประเมินดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Index – DJSI ล่าสุดในปีนี้ ซึ่ง S&P Global ได้จัดอันดับให้ SCGP อยู่ในระดับสูงสุด Top 1% S&P Global ของกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ (Containers & Packaging) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

 

ความสำเร็จครั้งนี้มาจากความมุ่งมั่นและร่วมมือกันของทุกฝ่ายผ่านกลุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน โดยมีคะแนนโดดเด่นใน 2 มิติ คือ มิติด้านบรรษัทภิบาล (Governance) การพัฒนาและกำหนดกลยุทธ์ใน 3 ประเด็น ได้แก่มุ่งเน้นการขับเคลื่อน Net Zero (Net Zero Initiatives) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และให้ความสำคัญกับลูกค้า ผู้บริโภค ชุมชน พนักงาน และคู่ธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Customer Centricity & Stakeholder Engagement) และมิติด้านสังคม (Social) การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร และพร้อมในการตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ SCGP ได้รับการเข้าร่วมในดัชนี MSCI Global Small Cap ซึ่งเป็นเกณฑ์เทียบเคียงระดับโลก จัดทำโดย Morgan Stanley Capital International (MSCI) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ มีการดำเนินงานที่ดี คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยพิจารณาจากองค์ประกอบการต่าง ๆ เช่น สภาพคล่องซื้อขาย, มูลค่าการซื้อขายหุ้น, จำนวนหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ตลาดทุน (Free Float) เป็นต้น

“SCGP มุ่งสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรม การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงการบริหารงานที่ได้รับการยอมรับและสอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง” นายวิชาญ กล่าว

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click