February 22, 2025

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศแต่งตั้ง นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ขึ้นดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย แทนนายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ ซึ่งได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป การประกาศปรับเปลี่ยนผู้บริหารในครั้งนี้เป็นไปตามแผนการสืบทอดตำแหน่งระยะยาวที่บริษัทฯ ได้วางไว้ ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์และความสามารถในการบริหารธุรกิจดิจิทัล

โดยจันต์สุดาจะเข้ามานำทัพทีมบริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กรและสร้างการเติบโตทางธุรกิจของแกร็บในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมการวางแผนกลยุทธ์ การกำหนดทิศทางขององค์กร ตลอดจนการพัฒนาต่อยอด 4 กลุ่มธุรกิจหลัก อันได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเดินทาง (Mobility) กลุ่มธุรกิจเดลิเวอรี  (Deliveries) กลุ่มธุรกิจการเงิน (Financial Services) และกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร (Enterprise Solutions) พร้อมสานต่อพันธกิจ “GrabForGood” หรือ แกร็บ…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งมุ่งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จันต์สุดามุ่งมั่นที่จะยกระดับและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแกร็บเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มยอดนิยมอันดับหนึ่ง ทั้งในบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันและบริการฟู้ดเดลิเวอรี การรักษาความสมดุลของอีโคซิสเต็มโดยคำนึงถึงประโยชน์ของคนในวงจรธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นคนขับหรือพาร์ทเนอร์ร้านค้า ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนผ่าน 3 เสาหลัก นั่นคือ ธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนบุคลากร

จันต์สุดาเริ่มงานกับแกร็บในปี 2561 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ แกร็บ ประเทศไทย โดยดูแลรับผิดชอบงานในด้านการตลาดและการสื่อสารแบรนด์เชิงกลยุทธ์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ปลุกปั้นแบรนด์ GrabFood ให้กลายเป็นที่นิยมจนสามารถคว้ารางวัล No.1 Brand Thailand มาครองติดต่อกันถึง 5 ปีซ้อน ด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจที่เต็มเปี่ยมและผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ ทำให้จันต์สุดาได้รับความไว้วางใจให้ขยายความรับผิดชอบเพื่อดูแลธุรกิจในด้านอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การบริหารงานด้านพันธมิตรทางธุรกิจในปี 2564 เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจร่วมกับพันธมิตรและคู่ค้าชั้นนำ การรุกตลาดเพื่อขยายบริการ GrabMart ในปี 2565 การดูแลรับผิดชอบสายงานพาณิชย์ในปี  2566 เพื่อผลักดันและสร้างการเติบโตทางธุรกิจทั้งกับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) และลูกค้าองค์กร (B2B) รวมถึงบทบาทล่าสุดในการดูแลรับผิดชอบบริการทางการเงินในปี 2567 ที่ผ่านมา

ก่อนร่วมงานกับแกร็บ จันต์สุดาถือเป็นผู้บริหารผู้มากความสามารถและมีประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการตลาดและอีคอมเมิร์ซจากบริษัท ยูนิลีเวอร์ (Unilever) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจ FMCG ระดับโลก โดยได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ หัวหน้าฝ่ายอีคอมเมิร์ซ ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย และ หัวหน้าฝ่ายการตลาด ยูนิลีเวอร์ ประเทศลาว โดยถือเป็นกำลังสำคัญในการวางรากฐานและกำหนดนโยบายเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ต่างๆ ของยูนิลีเวอร์ ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการแบรนด์ กลุ่มธุรกิจไอศกรีม ซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์คอร์นเนตโตในประเทศไทย

แกร็บ ประเทศไทย รุดหน้าโครงการ Grab EV เผยยอดคนขับใช้รถ EV ให้บริการบนแพลตฟอร์มเกินหมื่นคัน พร้อมผนึกกำลัง 5 พันธมิตรใหม่ ได้แก่ SUSCO, Whale EV, AGEWAY, SHARGE และ Spark EV ร่วมเดินหน้าผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มคนขับแกร็บ ชูโปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ” ให้คนขับเช่าซื้อ BYD Seal ผ่อนจ่ายเริ่มต้นเพียง 1,010 บาทต่อวัน เปิดเช่าแท็กซี่ไฟฟ้าโดยเพิ่มรถรุ่น Aion ES เป็นตัวเลือก พร้อมอัดส่วนลด-สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับการชาร์จไฟกว่า 600 สถานีทั่วประเทศ

 

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “โครงการ Grab EV ได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 แล้วหลังจากที่เราได้ประกาศเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนคนขับแกร็บที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากก๊าซเรือนกระจก โดยปัจจุบันเรามีคนขับที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ และเดลิเวอรีโดยใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารวมกันเป็นจำนวนมากกว่าหมื่นคัน ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะ 10 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี สงขลา อุดรธานี และอุบลราชธานี”

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จำนวนคนขับที่ใช้รถ EV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีความเชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนมาช่วยสนับสนุน โดยร่วมกันพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มคนขับแกร็บ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ให้บริการเช่ายานยนต์ไฟฟ้า ผู้ให้บริการทางการเงิน รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้า และเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ Grab EV อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เราได้จับมือกับ 5 พันธมิตรใหม่ อันได้แก่ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) (SUSCO), บริษัท ไบโอ แลป ซัพพลาย จำกัด (Whale EV), บริษัท เอจีอี อีวี พลัส จำกัด (บริษัทในเครือของ AGE Group ภายใต้ชื่อ AGEWAY), บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) และ บริษัท สปาร์ค อีวี จำกัด (Spark EV) ที่จะเข้ามาช่วยปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆ และเพิ่มทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนขับยิ่งขึ้น” นายวรฉัตร กล่าวเสริม

 

ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรเหล่านี้ แกร็บได้พัฒนาโปรแกรม รวมถึงสิทธิประโยชน์สำหรับคนขับแกร็บ ดังนี้

· โปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ”: แกร็บได้ร่วมมือกับ SUSCO ผู้ให้บริการสินเชื่อยานยนต์ไฟฟ้า เปิดโอกาสให้คนขับแกร็บสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากประวัติในการให้บริการกับแกร็บ ทั้งนี้ คนขับสามารถเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD Seal รุ่น Dynamic รุ่น Premium และ รุ่น AWD Performance ด้วยการผ่อนจ่ายรายวันเริ่มต้นที่ 1,010 บาทโดยหักรายได้จากการให้บริการในแต่ละวัน ในระยะสัญญา 5 ปี และไม่ต้องวางเงินดาวน์ พร้อมยังได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปีหรือ 160,000 กม. ฟรีค่าซ่อมบำรุงรักษาตามรอบ ฟรีประกันรถสาธารณะชั้น 1 รวมถึงการให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจากผู้ให้บริการตลอดอายุสัญญา

· โปรแกรม “เช่าครบจบบนแอป”: แกร็บจับมือกับ 2 พันธมิตรผู้ให้บริการเช่าแท็กซี่ไฟฟ้า ได้แก่ Whale EV และ AGEWAY เปิดให้บริการเช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้าเพื่อให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน Grab โดยได้มีการนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Aion ES เข้ามาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม จากเดิมที่มีเพียงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น MG EP ให้บริการ โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Aion ES ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนขับแท็กซี่ ซึ่งหลังจากที่ได้ทดลองปล่อยเช่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีคนขับใช้รถรุ่นนี้ให้บริการแล้วกว่า 400 คัน

· สิทธิประโยชน์พิเศษจากสถานีชาร์จไฟฟ้า: แกร็บยังได้ขยายความร่วมมือกับ 2 พันธมิตรผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า ได้แก่ SHARGE และ Spark EV เพื่อเสริมความมั่นใจให้คนขับแกร็บในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จไฟฟ้าที่มีมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ โดยมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับคนขับแกร็บเป็นพิเศษ อาทิ อัตราค่าไฟพิเศษเพียง 5.84 บาทต่อหน่วย (จากราคาปกติ 7.5–9.5 บาทต่อหน่วย) สำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่สถานีชาร์จของ ReverSharger 1และบัตรกำนัลมูลค่า 1,000 บาท จำนวน 1,000 รางวัลให้กับคนขับแกร็บสำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่สถานีชาร์จของ Spark EV ภายในกุมภาพันธ์นี้

“การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่แกร็บมุ่งลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากวงจรธุรกิจ ภายใต้พันธกิจ GrabForGood หรือ แกร็บ…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่เพียงร่วมมือกับพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วนเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับข้อดีและประโยชน์ของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งกับคนขับและผู้ใช้บริการไปควบคู่กัน โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนผ่านจำนวนของคนขับที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนับหมื่นคัน รวมถึงจำนวนผู้ใช้บริการที่เปิดฟีเจอร์เลือกใช้รถอีวี (Grab EV Rides) เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า2 ซึ่งตัวเลขเหล่านี้นับเป็นแรงผลักดันสำคัญที่่ทำให้เรามุ่งมั่นเดินหน้าสานต่อความตั้งใจในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในสังคมต่อไป” นายวรฉัตร กล่าวปิดท้าย

แกร็บ ประเทศไทย รุดหน้าโครงการ Grab EV เผยยอดคนขับใช้รถ EV ให้บริการบนแพลตฟอร์มเกินหมื่นคัน พร้อมผนึกกำลัง 5 พันธมิตรใหม่ ได้แก่ SUSCO, Whale EV, AGEWAY, SHARGE และ Spark EV ร่วมเดินหน้าผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มคนขับแกร็บ ชูโปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ” ให้คนขับเช่าซื้อ BYD Seal ผ่อนจ่ายเริ่มต้นเพียง 1,010 บาทต่อวัน เปิดเช่าแท็กซี่ไฟฟ้าโดยเพิ่มรถรุ่น Aion ES เป็นตัวเลือก พร้อมอัดส่วนลด-สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับการชาร์จไฟกว่า 600 สถานีทั่วประเทศ  

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “โครงการ Grab EV ได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 แล้วหลังจากที่เราได้ประกาศเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนคนขับแกร็บที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากก๊าซเรือนกระจก โดยปัจจุบันเรามีคนขับที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ และเดลิเวอรีโดยใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารวมกันเป็นจำนวนมากกว่าหมื่นคัน ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะ 10 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี สงขลา อุดรธานี และอุบลราชธานี” 

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จำนวนคนขับที่ใช้รถ EV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีความเชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนมาช่วยสนับสนุน โดยร่วมกันพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มคนขับแกร็บ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ให้บริการเช่ายานยนต์ไฟฟ้า ผู้ให้บริการทางการเงิน รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้า และเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ Grab EV อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เราได้จับมือกับ 5 พันธมิตรใหม่ อันได้แก่ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) (SUSCO), บริษัท ไบโอ แลป ซัพพลาย จำกัด (Whale EV), บริษัท เอจีอี อีวี พลัส จำกัด (บริษัทในเครือของ AGE Group ภายใต้ชื่อ AGEWAY), บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) และ บริษัท สปาร์ค อีวี จำกัด (Spark EV) ที่จะเข้ามาช่วยปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆ และเพิ่มทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนขับยิ่งขึ้น” นายวรฉัตร กล่าวเสริม

 

ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรเหล่านี้ แกร็บได้พัฒนาโปรแกรม รวมถึงสิทธิประโยชน์สำหรับคนขับแกร็บ ดังนี้ 

  • โปรแกรม “ผ่อนขับรับรถ”: แกร็บได้ร่วมมือกับ SUSCO  ผู้ให้บริการสินเชื่อยานยนต์ไฟฟ้า เปิดโอกาสให้คนขับแกร็บสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากประวัติในการให้บริการกับแกร็บ ทั้งนี้ คนขับสามารถเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD Seal รุ่น Dynamic รุ่น Premium และ รุ่น AWD Performance ด้วยการผ่อนจ่ายรายวันเริ่มต้นที่ 1,010 บาทโดยหักรายได้จากการให้บริการในแต่ละวัน ในระยะสัญญา 5 ปี และไม่ต้องวางเงินดาวน์ พร้อมยังได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปีหรือ 160,000 กม. ฟรีค่าซ่อมบำรุงรักษาตามรอบ ฟรีประกันรถสาธารณะชั้น 1 รวมถึงการให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินจากผู้ให้บริการตลอดอายุสัญญา

  • โปรแกรม “เช่าครบจบบนแอป”: แกร็บจับมือกับ 2 พันธมิตรผู้ให้บริการเช่าแท็กซี่ไฟฟ้า ได้แก่ Whale EV และ AGEWAY เปิดให้บริการเช่ารถแท็กซี่ไฟฟ้าเพื่อให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน Grab โดยได้มีการนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Aion ES เข้ามาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม จากเดิมที่มีเพียงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น MG EP ให้บริการ โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Aion ES ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนขับแท็กซี่ ซึ่งหลังจากที่ได้ทดลองปล่อยเช่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีคนขับใช้รถรุ่นนี้ให้บริการแล้วกว่า 400 คัน

 

  • สิทธิประโยชน์พิเศษจากสถานีชาร์จไฟฟ้า: แกร็บยังได้ขยายความร่วมมือกับ 2 พันธมิตรผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า ได้แก่ SHARGE และ Spark EV เพื่อเสริมความมั่นใจให้คนขับแกร็บในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จไฟฟ้าที่มีมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ โดยมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับคนขับแกร็บเป็นพิเศษ อาทิ อัตราค่าไฟพิเศษเพียง 5.84 บาทต่อหน่วย (จากราคาปกติ 7.5–9.5 บาทต่อหน่วย) สำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่สถานีชาร์จของ ReverSharger [1]และบัตรกำนัลมูลค่า 1,000 บาท จำนวน 1,000 รางวัลให้กับคนขับแกร็บสำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่สถานีชาร์จของ Spark EV ภายในกุมภาพันธ์นี้

“การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่แกร็บมุ่งลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากวงจรธุรกิจ ภายใต้พันธกิจ GrabForGood หรือ แกร็บ…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่เพียงร่วมมือกับพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วนเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับข้อดีและประโยชน์ของการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งกับคนขับและผู้ใช้บริการไปควบคู่กัน โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนผ่านจำนวนของคนขับที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนับหมื่นคัน รวมถึงจำนวนผู้ใช้บริการที่เปิดฟีเจอร์เลือกใช้รถอีวี (Grab EV Rides) เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า[2] ซึ่งตัวเลขเหล่านี้นับเป็นแรงผลักดันสำคัญที่่ทำให้เรามุ่งมั่นเดินหน้าสานต่อความตั้งใจในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในสังคมต่อไป” นายวรฉัตร กล่าวปิดท้าย


[1] จำกัด 1 สิทธิ์ ต่อ 1 ผู้ใช้บริการ

[2] เปรียบเทียบระหว่างปี 2566 และ 2567

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการใน 6 ประเทศที่สะท้อนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาเซียน พบ 81% วางแผนเที่ยวต่างประเทศ แต่กว่าครึ่งต้องการเดินทางในประเทศใกล้ๆ ภายในภูมิภาค โดยไทยยังครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยม พร้อมเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พบ 86% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ใช้เทคโนโลยีอย่าง AR VR หรือ AI เป็นตัวช่วยในการหาข้อมูลและวางแผนการเดินทาง 81% เลือกจองตั๋วเครื่องบิน-ที่พักแบบออนไลน์ด้วยตัวเอง ขณะที่ 78% ระบุว่ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาดแกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแต่ละปีเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้สูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด[1]  ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวและเดินทางของผู้ใช้บริการแกร็บใน 6 ประเทศ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนามและไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 72%) โดยกว่าครึ่ง (52%) ต้องการเดินทางภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (44%) อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเทศไทยยังคงครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามมาด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และมนต์เสน่ห์ทางด้านวัฒนธรรมซึ่งถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมและผลักดัน รวมไปถึงการจัดงานอีเวนท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรีและคอนเสิร์ต และประเพณีสำคัญอย่างเทศกาลสงกรานต์และลอยกระทง” 

ทั้งนี้ แกร็บยังได้เผย 5 อินไซต์สำคัญของนักท่องเที่ยวอาเซียนในยุคดิจิทัลที่สะท้อนพฤติกรรมและแนวโน้มการเดินทางที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด
  • ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง: นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน
  • มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
  • ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ
  • ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว


[1] อ้างอิง สถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ม.ค. - ธ.ค. ปี 2567 โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการใน 6 ประเทศที่สะท้อนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาเซียน พบ 81% วางแผนเที่ยวต่างประเทศ แต่กว่าครึ่งต้องการเดินทางในประเทศใกล้ๆ ภายในภูมิภาค โดยไทยยังครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศจุดหมายปลายทางยอดนิยม พร้อมเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พบ 86% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ใช้เทคโนโลยีอย่าง AR VR หรือ AI เป็นตัวช่วยในการหาข้อมูลและวางแผนการเดินทาง 81% เลือกจองตั๋วเครื่องบิน-ที่พักแบบออนไลน์ด้วยตัวเอง ขณะที่ 78% ระบุว่ายอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยแต่ละปีเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านี้สูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด1 ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวและเดินทางของผู้ใช้บริการแกร็บใน 6 ประเทศ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนามและไทย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 72%) โดยกว่าครึ่ง (52%) ต้องการเดินทางภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (44%) อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยประเทศไทยยังคงครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามมาด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และมนต์เสน่ห์ทางด้านวัฒนธรรมซึ่งถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมและผลักดัน รวมไปถึงการจัดงานอีเวนท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรีและคอนเสิร์ต และประเพณีสำคัญอย่างเทศกาลสงกรานต์และลอยกระทง”

ssssss

ทั้งนี้ แกร็บยังได้เผย 5 อินไซต์สำคัญของนักท่องเที่ยวอาเซียนในยุคดิจิทัลที่สะท้อนพฤติกรรมและแนวโน้มการเดินทางที่น่าสนใจ ดังนี้

· ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด

· ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง: นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน

· มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ

· ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ

· ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว

Page 1 of 10
X

Right Click

No right click