November 06, 2024

“แอล ดับเบิลยู เอส” เปิด 5 ทำเลเหมาะในการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อสัตว์เลี้ยง ตอบโจทย์กับความต้องการที่อยู่อาศัยของ Pet Parents ที่มีกำลังซื้อสูง

LPN ลุยเปิดการขาย 3 โครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพ โครงการ พาร์ค 168 อ่อนนุช 19, โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า และ โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,067 ล้านบาท ชูจุดเด่นทำเลดี คุ้มค่า น่าอยู่ ไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อเพื่อการลงทุน ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน พร้อมเติมเต็มคุณภาพชีวิต (Well-Being) ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง โดยทั้ง 3 โครงการได้รับอนุมัติผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA Approved” จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นที่เรียบร้อย สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่สนใจโครงการ พร้อมเปิด Sales Gallery ให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ‘ปัจจุบันทั้ง 3 โครงการ ได่แก่ โครงการ พาร์ค 168 อ่อนนุช 19, โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า และ โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. ได้ผ่านการอนุมัติ EIA Approved” แล้ว เชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมคุณภาพที่มาพร้อมกับความ ‘น่าอยู่’ ซึ่งทั้ง 3 โครงการนี้ เปิดตัวไปเมื่อปี 2566 และมีการเปิดจองรอบ Pre-Sale สร้างกระแสตอบรับดีจากลูกค้าที่สนใจ เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยในแต่ละทำเลทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดมีจำนวนมาก เพราะใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย อีกทั้งโครงการยังใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมใหญ่อย่างอมตะนคร จ.ชลบุรี ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อเป็นการลงทุนในระยะยาวได้ โดยหลังจากนี้บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมเร่งงานก่อสร้างโครงการ เพื่อให้แล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ตามกำหนดอย่างแน่นอน’

รายละเอียดโครงการ

1.โครงการ พาร์ค 168 อ่อนนุช 19 (PARK 168 ONNUT19) คอนโด Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร ตั้งอยู่บนที่ดิน 7 ไร่ เศษ จำนวนห้องพักอาศัยรวม 761 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,634 ล้านบาท โครงการมีทางเข้า-ออก อยู่ทางทิศใต้ติดถนนอ่อนนุช แบ่งเป็น 3 อาคาร A, B และ C เดินทางสะดวก ใกล้ BTS อ่อนนุช ได้ทั้งรถยนต์และรถสาธารณะ หาของกินง่าย ภายในโครงการออกแบบมาในสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลาง ด้วยโทนสีครีมหรือวัสดุลายไม้ จัด Landscape ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสวนญี่ปุ่น เช่น Dry Garden (Karesansui), Tea Garden (Chaniwa) เป็นต้น พรั่งพร้อมด้วย facilities อย่างครบครัน อาทิ สวนส่วนกลางขนาดใหญ่, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบเกลือ และพื้นที่นั่งเล่น J Park Indoor and Outdoor Living เป็นต้น ขนาดห้องเริ่มต้น 23.5 – 34.5 ตร.ม.  ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท

 

2.โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า (PLACE 168 PINKLAO) โครงการคอนโด High Rise 4 อาคาร สูง 23 – 27 – 27 – 28 ชั้น จำนวน 807 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ติดถนนบรมราชชนนี ต้นปิ่นเกล้า ใกล้ห้าง Central ปิ่นเกล้า เพียง 500 เมตร MRT สถานีบางยี่ขัน 750 เมตร และ ใกล้โรงพยาบาลศิริราช มูลค่าโครงการ 2,308 ล้านบาท โดยมีการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเน้นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ส่วนพักผ่อนที่มาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน อาทิ Co – Living Space , ฟิตเนส , สระว่ายน้ำ , Jogging Track รอบโครงการ, ห้อง E-Sport และห้อง Sky Lounge ในทุกอาคาร โดยมีรูปแบบห้องให้เลือกตั้งแต่ สตูดิโอ, 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท*  มีโปรฯ พร้อม เฟอร์ฯ ครบ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า*

 

3.โครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. (EARN by LPN) คอนโดมิเนียม Low Rise แบรนด์ใหม่จาก LPN ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปท์ ‘เปิดรับชีวิตดีๆ อยู่เอิร์นเพลินทุกวัน’ เจาะกลุ่มนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ฟังก์ชันห้องที่สามารถรองรับการใช้งานได้หลายรูปแบบ พร้อมส่วนกลางที่ตอบรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกไลฟ์สไตล์ เดินทางสะดวกใกล้นิคมอมตะซิตี้  ตั้งอยู่ในซอยเรืองอร่าม ตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ 3 งาน ประกอบด้วย อาคารพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร, อาคารสูง 6 ชั้น 1 อาคารโดยมีจำนวนห้องพักอาศัยรวม 1,810 ยูนิต รูปแบบสตูดิโอ และแบบ 1 ห้องนอน เริ่มต้น 24 - 36 ตรม. และพื้นที่ร้านค้า 14 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,124 ล้านบาท รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันใกล้โรบินสันไลฟ์สไตล์ เพียง 3 กม. เดินทางสะดวกสบายเชื่อมต่อเส้นทางหลักได้หลายสาย ราคาเริ่มต้น 980,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ Sales Gallery ทั้ง 3 โครงการ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร LPN Call Center 02-689-6888  ช่องทางออนไลน์ www.lpn.co.th Facebook: LPN Connect, 168 by LPN / LINE OA : @LPNDEV

ผุดแคมเปญ ‘LPN ดูแลให้’ และ ‘LPN เคลียร์ให้’แก้เกมยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง

แอล.พี.เอ็น. เดินหน้าสร้างสมดุลในการบริหารพอร์ต ทั้งการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ในปี 2567 ภายใต้การนำทัพของ “อภิชาติ เกษมกุลศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวทางการบริหารบริษัทภายหลังจากการเข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า แอล.พี.เอ็น. เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจอย่างครบวงจร (Self-fulfillment) นอกเหนือจากการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยทั้งประเภทอาคารชุดและบ้านพักอาศัยแล้ว แอล.พี.เอ็น. ยังมีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสร้างรายได้ให้กับบริษัท ทั้งบริษัทบริหารจัดการโครงการอย่าง บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทที่ให้บริการด้านงานวิศวกรรมอย่าง บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) และบริษัทด้านรักษาความปลอดภัยอย่าง บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) เป็นต้น แต่ละบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

“ผมในฐานะ CEO มีหน้าที่ในการมองไปข้างหน้า (Looking Forward) ไปยังธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ ที่เรามีความเชี่ยวชาญ เพื่อเฟ้นหาธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาวให้กับ ผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างสมดุลในการเติบโตให้กับธุรกิจ (Rebalance for Sustainable Growth) ในระยะยาว ด้วยการทำงานที่สอดประสานกันในทุกภาคส่วนของธุรกิจ (Harmonization)” นายอภิชาติ กล่าว

โดยภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ มีแนวทางในการสร้างความสมดุลใน 3 มิติ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ    ไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ (Stronger Together) ได้แก่

  • Rebalance Portfolio การสร้างความสมดุลในการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการ งานบริการ ไปจนถึงงานวิจัยและพัฒนา นำจุดแข็งของแต่ละหน่วยธุรกิจมาเสริมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมๆ กัน โดยแนวทางในการทำงานปีแรกของการเข้ามาดำรงตำแหน่งคือ การพัฒนาจุดแข็งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (5C) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงและเติมเต็มข้อจำกัดของแอล.พี.เอ็น. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยหลักๆ คือ การสร้างความสมดุลของ Portfolio โดยการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าที่ขายแล้ว รอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Price Strategy) และการเพิ่มอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม (Incentive) ให้กับหน่วยงาน รวมถึงเครือข่ายการขาย  ของบริษัทเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยมีเป้าหมายที่จะขายสินค้าคงเหลือที่มีอยู่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 4,500 - 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่ขายได้ 4,000 ล้านบาทในปี 2566 โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2567 ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับยอดขายที่ 10,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566
  • Rebalance Resource การสร้างสมดุลโดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาจัดสรร และสร้างมูลค่าให้กับองค์กรด้วยการนำความเชี่ยวชาญของแต่ละส่วนงาน มาสนับสนุนการบริหารงานและการจัดการของแอล.พี.เอ็น. ให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเป็นแนวทางของการพัฒนาองค์กรในระยะยาว ปัจจุบัน แอล.พี.เอ็น. มีบริษัทในเครือที่กำลังเติบโตอยู่หลายบริษัท ซึ่งทำงานเกื้อหนุนกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการพัฒนาสินค้า ไปจนถึงการบริการหลังการขายอย่างครบถ้วน หรือเรียก    ได้ว่าเป็น LPN Completed Ecosystem อันได้แก่
  • บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) รับผิดชอบด้านงานวิจัย การศึกษาพื้นที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่บริษัท / บริษัทในเครือ รวมถึงบริษัทอื่นๆ ภายนอก นอกจากนั้น บริการให้คำปรึกษาและวิจัยด้าน GREEN หรือ Sustainable Development และ BIM (Building Information Modeling) อีกด้วย
  • บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) รับผิดชอบงานบริการด้านวิศวกรรม และบริการที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมไปถึงการควบคุมงานก่อสร้าง โดยมุ่งเน้นการส่งมอบคุณค่าผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า
  • บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) รับผิดชอบการบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ครอบคลุมตั้งแต่ 1) งานบริหารชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาคุณค่าของโครงการ 2) งานบริหารอาคารพักอาศัย สำนักงาน อาคารเชิงพาณิชย์ / การบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลาง การวางระบบ – บริหารจัดการอาคารชุด 3) รับผิดชอบในการบริหารทรัพย์สินประเภทห้องชุดพักอาศัย ที่ผู้ซื้อ (นักลงทุน) ต้องการจัดหาผู้เช่าและผู้ซื้อ นอกจากนั้น ยังดำเนินการตรวจคัดกรองผู้เช่าเพื่อความปลอดภัยในชุมชน
  • บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC) รับผิดชอบด้านงานบริการชุมชนอย่างครบวงจร โดยให้บริการด้านการดูแลรักษาความสะอาดเป็นหลัก ทั้งในโครงการที่แอล.พี.เอ็น. พัฒนาขึ้น และโครงการอื่นๆ ภายนอก
  • บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาความปลอดภัยแบบบูรณาการ ทั้งจากบุคลากรที่มีคุณภาพและมืออาชีพ ระบบอิเล็กทรอนิกส์และงานระบบ โดยจัดให้มีมาตรฐานความปลอดภัย และนำเสนอบริการตามระดับความต้องการลูกค้า (Service Level Agreement หรือ SLA) เป็นต้น และยังครอบคลุมไปถึงงานบริการทำความสะอาด ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าในอาคารเชิงพาณิชย์ประเภทอื่นๆ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
  • Rebalance Stakeholders’ Wealth ภายใต้แนวทางการบริหารในการสร้างความสมดุลทั้งสองมิติแรก จะนำไปสู่การสร้างสมดุลในการให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งนักลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม นอกจากนั้น ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตด้วยการนำบริษัทในเครือที่มีผลการดำเนินงานที่ดี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยเฉพาะบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการชุมชน และทรัพยากรอาคาร ปัจจุบัน ได้เข้าบริหารจัดการชุมชนกว่า 260 โครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ครอบคลุมประชากรมากกว่า 300,000 คน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแผนคาดว่าจะนำ แอล พี พีฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในปีนี้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดทุน และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆในช่วงเวลาเสนอขายอีกครั้ง

โดยคาดว่าการนำ แอล พี พีฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นการแยกธุรกิจบริการออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะช่วยให้ แอล.พี.เอ็น. รับรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจบริการ ที่ปัจจุบันรวมอยู่ในผลกำไรการดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น.กว่าร้อยละ 40 และยังเป็นการส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 แอล พี พี มีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 139 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตทางรายได้กว่าร้อยละ 80 และการเติบโตทางกำไรสุทธิกว่าร้อยละ 23 ภายใน 3 ปี ทำให้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ แอล พี พีฯ มีแผนการการลงทุนในบริษัทพันธมิตร เพื่อขยายงานบริการวิศวกรรมและที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจบริหารชุมชนและทรัพยากรอาคาร โดยพัฒนาระบบ Application รองรับการบริการผู้อยู่อาศัย และเชื่อมต่อพันธมิตรที่ให้บริการเกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตได้ตลอด 24 ชม. และนับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เสริมสร้างให้แอล.พี.เอ็น. สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น และสร้างความสมดุลด้านรายได้ให้กับองค์กร เนื่องจากในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น. อยู่ในภาวะถดถอยจากเดิม ในการทำกำไรที่ 1,256 ล้านบาท ในปี 2562 มาอยู่ที่ระดับ 353 ล้านบาทในปี 2566  ในขณะเดียวกัน แอล.พี.เอ็น. มีแผนที่จะนำบริษัทในเครือ ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีเข้าระดมทุนในหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อสร้างความสมดุลในการบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

“ในฐานะที่ผมมีความเชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ทำให้ผมให้ความสำคัญกับการบริหารโครงสร้างทางการเงินและขณะเดียวกันกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย แอล.พี.เอ็น. เป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน เราสามารถที่จะบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนของเราให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร และเป็นการเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรทั้งหมด (Stakeholders) ทั้งผู้ลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ และ Supply Chain” นายอภิชาติ กล่าวเสริม

สำหรับแผนการลงทุนในปี 2567 นายอภิชาติ กล่าวว่า บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 6,520 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการ มูลค่า 980 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 5 โครงการ มูลค่า 5,540 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เป็นหลัก

“80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Products: GDP) อยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนอีก 20% อยู่ในต่างจังหวัด โดยการพัฒนาโครงการของแอล.พี.เอ็น. จะให้ความสำคัญกับพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่โดยรอบกรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงมากกว่าที่จะขยายไปในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยเรามีการซื้อที่ดินในจังหวัดนครปฐมเพื่อพัฒนาโครงการ และเรามีแผนที่จะร่วมทุนกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 ราย ทั้งการลงทุนในลักษณะ  ร่วมทุน และการลงทุนแบบ Turnkey” นายอภิชาติ กล่าว

ในขณะที่บริษัทมีงบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินในปี 2567 ที่ 1,000 - 2,000 ล้านบาท โดยมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ / การกู้จากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 1,500 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการดำเนินงานของ แอล.พี.เอ็น.

“ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 แอล.พี.เอ็น. มีทุนจดทะเบียน 1,454 ล้านบาท บริษัทมีกําไรสะสมมาตลอด 30 ปี ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 11,959 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจอื่นๆ ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ได้ในระยะยาว ในขณะที่ผลการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2566 แอล.พี.เอ็น. มีรายได้จากการขายและบริการ 7,407 ล้านบาท ลดลงประมาณ 28 % จากรายได้จากการขายและบริการที่ 10,276 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 353 ล้านบาท ลดลง 42 % จากกำไรสุทธิที่ 612 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ให้จ่ายเงินปันผล 0.13 บาทต่อหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.08 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ทำให้ต้องจ่ายอีก   0.05 บาท ต่อหุ้น ในวันที่ 17 เมษายน 2567” นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติม

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ บอร์ดมีมติแต่งตั้ง นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) แทนนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ เนื่องจากเกษียณอายุ ซึ่งมีผลวันที่ 31 มกราคม 2567 โดยนายอภิชาติ เข้ามารับตำแหน่ง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ตามที่ได้มีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ เป็นผู้บริหารที่เปี่ยมประสบการณ์และความรอบรู้ในหลากหลายธุรกิจ มีความเฉียบคม  ทางความคิด และมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านการบริหารการเงิน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับสถาบันชั้นนำหลายแห่ง อาทิ กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สาย Treasury and Banking Operations Group ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเชีย จำกัด และบริษัท ลีซซิ่งไอซีบีซี (ไทย) จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน   บริษัท สามารถ ไอ–โมบาย จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ นายอภิชาติ เข้าร่วมงานกับ LPN ตั้งแต่ปี 2561 โดยดำรงตำแหน่ง กรรมการบริษัท กรรมการบริหาร กรรมการบริหารความเสี่ยง และหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในช่วงที่ผ่านมา โดยการเข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ LPN จึงเป็นโอกาสและความท้าทายที่จะได้ผลักดัน และขับเคลื่อนองค์กรให้มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น พันธมิตร และนักลงทุน พร้อมทั้งการดูแลลูกค้าด้วยการพัฒนาความ “น่าอยู่” ในทุกมิติเพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นเจตนารมณ์และความภาคภูมิใจของ LPN ตลอดระยะการดำเนินธุรกิจมากว่า 3 ทศวรรษ

ภายใต้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้สะท้อนภาพความมุ่งมั่นว่า LPN ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ มาตลอด 35 ปี ยังคงยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในเมือง ที่บูรณาการอย่างครบถ้วนและครบวงจร ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการคุณภาพในราคาที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นความท้าทาย และก้าวย่างสำคัญของ LPN กับผู้นำทัพคนใหม่ ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกลยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจที่ได้วางไว้

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click