

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จอีกครั้งด้วยการได้รับรางวัล Top Employer 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ แอสตร้าเซนเนก้า ในการมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยนวัตกรรม การเปิดกว้าง และการให้ความสำคัญกับพนักงาน เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเติบโตได้ทั้งในด้านการทำงาน และชีวิตส่วนตัวอย่างเต็มประสิทธิภาพ
แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นในการสร้างสิ่งแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมให้พนักงานสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง โดยสนับสนุนความหลากหลายและการมีส่วนร่วม บริษัทฯ เปิดกว้างในการรับฟังมุมมองที่แตกต่าง เพื่อให้บุคคลทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะมีแนวคิดที่แตกต่างกันเช่นไรก็ตามได้รับแรงบันดาลใจและการสนับสนุนในการทำงานร่วมกัน ความมุ่งมั่นนี้ยังรวมถึงการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ผ่านโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานอย่างต่อเนื่อง และการสร้างภาวะผู้นำที่เน้นการสร้างโอกาสทางอาชีพอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคน
องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างสถานที่ทำงานที่ดีเยี่ยมของแอสตร้าเซนเนก้า คือ การผสานนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการดำเนินงานของบริษัท โดยยึดถือแนวปฏิบัติการใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรมเพื่อช่วยสนับสนุนกระบวนการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพ โดยถือเป็นการพัฒนาวิธีการทำงานขององค์กรอย่างมีนัยยะสำคัญ
อีกหนึ่งจุดเด่นของแอสตร้าเซนเนก้าในการดูแลพนักงานและให้ความสำคัญกับการดูแลครอบครัวอย่างเปิดกว้าง และยืดหยุ่นมากขึ้นก็คือ นโยบายการให้พนักงานสามารถลาหยุดเพื่อดูแลครอบครัว โดยมอบสิทธิ์การลาที่ขยายระยะเวลา รวมถึงการกำหนดรูปแบบการทำงานที่มีความยืดหยุ่นช่วยให้พนักงานสามารถสร้างความสมดุลระหว่างความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัว และเป้าหมายทางสายอาชีพได้ ตอกย้ำถึงความสำคัญของสวัสดิการ และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานซึ่งทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets ได้กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “แอสตร้าเซนเนก้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล Top Employer ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 สำหรับแอสตร้าเซนเนก้า นวัตกรรมไม่ได้หมายถึงเพียงการพัฒนาวิธีรักษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิต แต่ยังหมายถึงการสร้างสรรค์พื้นที่ในการทำงานให้เป็นพื้นที่แห่งการเติบโตอย่างแท้จริง โดยการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม ของพนักงาน ความยืดหยุ่นในการทำงาน และการสร้างแรงบันดาลใจ เราพยายามสร้างองค์กรที่เอื้อให้ทุกคนมีเครื่องมือ และสภาพแวดล้อมที่จำเป็นในการเติมเต็มศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่”
ความสำเร็จนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทผู้นำของแอสตร้าเซนเนก้าในด้านสถานที่ทำงานที่ดีเยี่ยม ผ่านโครงการที่ส่งเสริมความหลากหลาย การขับเคลื่อนนวัตกรรม และการสนับสนุนพนักงานในด้านต่างๆ แอสตร้าเซนเนก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นต้นแบบในการสร้างสถานที่ทำงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าและสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรของบริษัทฯ ทุกคน
บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เดินหน้าจับมือโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ต่อยอดความสำเร็จจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดตั้งแต่ปี 2566 เพื่อให้ประชาชนภายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงการตรวจหาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ในปีนี้เราได้ขยายขอบเขตความร่วมมือสู่การวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยเฉพาะราย รวมถึงการสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่ครอบคลุม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มดำเนินการในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปอดและมะเร็งตับเป็นกลุ่มนำร่อง ทั้งยังช่วยสนับสนุนการเข้าถึงการตรวจหายีนส์กลายพันธุ์และร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะแรกเริ่มซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลศูนย์ของภาคตะวันออก พื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล 8 โรงพยาบาล ครอบคลุมผู้ป่วยในจังหวัดจันทบุรี ตราด สระแก้ว และ 3 อำเภอของจังหวัดระยอง อาคารศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “มะเร็งรักษาหายได้ หากได้รับโอกาสในการรักษา” โดยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เข้ามารับการรักษาที่ศูนย์แห่งนี้อยู่ที่ประมาณ 2,000 คนต่อปี และพบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่สูงถึง 200 คน ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในระยะสุดท้าย จากความร่วมมือกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประกอบการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในปี 2566 ที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า และโรงพยาบาลในเครือข่าย ส่งผลให้พบผู้ป่วยในระยะแรกเริ่มได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงขยายไปสู่โรคปอดอื่น ๆ เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด วัณโรค และ โรคหัวใจ เช่น
หัวใจล้มเหลว เป็นต้น นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีศูนย์ Clinical Research Center ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก เพื่อศึกษาวิจัยยาใหม่ในผู้ป่วยมะเร็ง
นายแพทย์ธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในภาคตะวันออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับโรคมะเร็งซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย การลงนามความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระปกเกล้าเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้มีความครอบคลุมการพัฒนาในทุกมิติ ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และการคัดกรองโรคในระยะเริ่มต้น การพัฒนาระบบการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การรักษาที่แม่นยำเฉพาะบุคคลด้วยการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม ไปจนถึงการวิจัยระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งปอดและมะเร็งตับ ซึ่งพบมากในประชากรไทย นอกจากนี้ เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ผ่านการอบรมและสัมมนาวิชาการ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และเพื่อให้โครงการนี้สามารถเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในระดับประเทศต่อไปในอนาคต”
ด้านนายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เผยว่า “ปัจจุบัน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญมากในประเทศไทย โดยมีโรคมะเร็งเป็นปัญหาหลัก ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลพระปกเกล้านี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้นำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยมาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของการคัดกรองมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพและขยายผลไปสู่การตรวจในกลุ่มมะเร็งตับ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการทำงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้าแห่งนี้ให้สามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น”
“และเนื่องจากสถิติการตรวจพบมะเร็งในคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี แอสตร้าเซนเนก้าเล็งเห็นความสำคัญของการผลักดันให้คนไทยเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต เพราะการตรวจพบจะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้รวดเร็วขึ้น สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค และเพิ่มโอกาสในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมแก่แพทย์ได้ แอสตร้าเซนเนก้าคาดหวังว่าการร่วมมือกับ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ในครั้งนี้จะส่งเสริมการยกระดับคุณภาพชีวิตและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทย และด้วยเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปอด โครงการนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าที่จะช่วยให้คนไทยห่างไกลโรคร้าย เพราะสุขภาพที่ดีของทุกคนคือจุดมุ่งหมายที่เรายึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด” นายโรมัน กล่าวทิ้งท้าย
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 9 ธันวาคม 2567 – แอสตร้าเซนเนก้า บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค เข้ารับรางวัล Most Innovative Company (รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม) จาก สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หรือ British Chamber of Commerce Thailand (BCCT) โดยรางวัลนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยมายาวนานกว่า 40 ปี ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น โครงการ Lung Ambition Alliance และ การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัล "Chronic Kidney Disease (CKD) Risk Score" ซึ่งได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพที่ขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น โดยโครงการด้านนวัตกรรมดังกล่าว ได้มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการตรวจหาความเสี่ยงของโรคในระยะเริ่มต้น ตอกย้ำพันธกิจของบริษัทที่มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
โครงการด้านการพัฒนาสุขภาพต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้เข้ามาพลิกโฉมรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิม ช่วยให้การตรวจหาโรคสามารถทำได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รวมถึงการจัดทำแผนการรักษาที่ออกแบบให้เหมาะสมเฉพาะบุคคลได้มากขึ้น โดยโครงการ Lung Ambition Alliance ที่ได้ริเริ่มร่วมกับ Qure.ai ในปี 2565 ได้มีการนำเครื่องมือ Chest AI มาใช้ เพื่อคัดกรองสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปอด โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ด้วยจุดมุ่งหมายในการตรวจหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นให้แก่ประชาชนจำนวน 1 ล้านคนภายในปี 2569 โดยขณะนี้ได้ดำเนินการคัดกรองไปแล้วกว่า 302,682 คน และพบอัตราการตรวจพบมะเร็งปอดที่ 0.1% นอกจากนี้ เครื่องมือดิจิทัล CKD Risk Score ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 ก็สามารถดำเนินการคัดกรองไปแล้วถึง 130,000 ครั้ง โดยตั้งเป้าคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงโรคไตเรื้อรัง 1 ล้านคนภายในปี 2568 ทั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนานวัตกรรมหรือโซลูชันด้านสุขภาพที่มุ่งเน้นในการดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก พร้อมปรับเปลี่ยนจากวิธีการดูแลรักษาแบบดั้งเดิมไปสู่แนวทางที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และ ขอขอบคุณทาง BCCT สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าในการนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้และต่อยอด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และเสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ดีในประเทศไทย ขอขอบคุณทีมงานแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งทุกคนสำหรับความทุ่มเทจนเกิดผลสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจในครั้งนี้ เราจะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคนในอนาคตต่อไป”
แอสตร้าเซนเนก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะต่อยอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ในการพัฒนายารักษาและโซลูชันที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย ระบบการดูแลสุขภาพ และสังคมโดยรวม วิสัยทัศน์ของบริษัทในการริเริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถต่อยอดการใช้งานได้จริง การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างมีนัยยะสำคัญต่อสังคม ความสามารถในการขยายผลอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการสร้างผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งล้วนแล้วแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จากการดูแลเชิงรักษาสู่การดูแลเชิงป้องกัน ตอกย้ำ พันธกิจของบริษัท เพื่อการพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์อย่างเต็มประสิทธิภาพ
บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมพันธมิตรชั้นนำ เดินหน้าจัดงาน “Rethink Pink We Care” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ภายใต้แนวคิด “ห่วงใยผู้หญิงไทย ห่างไกลมะเร็งเต้านม” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และเฝ้าระวังเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ไปจนถึงการดูแลตนเองเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง หวังลดจำนวนผู้ป่วยและความรุนแรงของโรคในประเทศไทย งานนี้จัดขึ้น ณ SCBX NEXT STAGE @ NEXT TECH ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมีประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายมากมาย
แอสตร้าเซนเนก้า ในฐานะบริษัทผู้วิจัยและพัฒนายาระดับโลก เดินหน้าสานต่อกิจกรรม “Rethink Pink We Care” ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนที่เข้าร่วมงานใน 2 ปี
ที่ผ่านมา โดยกิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงความรุนแรงของโรคมะเร็งเต้านมที่มักพบในผู้หญิง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของหญิงไทย มีเป้าหมายเพื่อมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องครอบคลุมตั้งแต่การสังเกตร่างกายเบื้องต้น เห็นความสำคัญของการตรวจคัดกรองโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ไปจนถึงแนวทางรักษา
ในปัจจุบันและการดูแลตนเองเพื่อสุขภาวะที่ดี ในการส่งมอบองค์ความรู้เหล่านี้ให้ประชาชน แอสตร้าเซนเนก้าจึงได้ร่วมมือกับศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมนี้ขึ้น
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า
“จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่ามะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งชนิดที่พบบ่อยที่สุดในหญิงไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเก็บสถิติในปี 2565 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจำนวน 38,559 คนจากทั่วประเทศ ปัจจุบันสาเหตุของโรคเกิดได้ทั้งจากพันธุกรรมและพฤติกรรมเสี่ยง แอสตร้าเซนเนก้าตระหนักถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เราจึงมุ่งทำการศึกษาวิจัย พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยอย่างตรงจุดและช่วยลดความรุนแรงของโรคในอนาคต ในประเทศไทยเราได้ร่วมมือกับศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ผ่านโครงการ ““Rethink Pink We Care” เพื่อส่งมอบองค์ความรู้ในการป้องกัน แนวทางการวินิจฉัย การกระตุ้นให้เข้ารับการตรวจคัดกรองแต่เนิ่นๆ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ภารกิจทั้งหมดนี้มีเป้าหมาย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ”
ศ.นพ. มานพ พิทักษ์ภากร สาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า “การตรวจยีนหรือ Genomics ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ไทยมากขึ้น ตั้งแต่การป้องกันโรค การตรวจคัดกรอง วินิจฉัย รวมไปถึงการรักษา ในกลุ่มโรคที่หลากหลาย ซึ่งโรคมะเร็งถือเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จึงช่วยในการค้นหาความเสี่ยงภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี สำหรับสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน
บีอาร์ซีเอ 1 (BRCA1) และ บีอาร์ซีเอ 2 (BRCA2) จากสถิติพบว่าผู้ที่มียีนกลายพันธุ์กว่า 80% มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูง ซึ่งประโยชน์ของการตรวจคัดกรองด้วยยีนนี้คือมีความแม่นยำสูงหากตรวจพบความเสี่ยงเร็วก็จะช่วยวางแผนการรักษาได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความรุนแรงของโรคช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นได้ สำหรับรูปแบบการรักษาในปัจจุบันมีอยู่หลากหลาย ทั้งการผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีที่ใช้รักษาผู้ป่วยมานาน แต่ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัยในปัจจุบัน หากตรวจพบก้อนเนื้อเร็ว การผ่าตัดก็จะเกิดเพียงแผลขนาดเล็ก ซึ่งเป็นผลดีกับผู้ป่วยในการฟื้นตัว นอกจากนี้ยังมีการใช้เคมีบำบัด การฉายแสง ภูมิคุ้มกันบำบัด และยามุ่งเป้า ซึ่งการเลือกรูปแบบการรักษานี้จะอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาและการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยด้วย”
ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำ โครงการ และสถาบัน
เพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมากมาย ได้แก่ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด สถานวิทยามะเร็งศิริราช (SiCA) โครงการ Art for Cancer ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย (Thailand Breast Cancer Community) แบรนด์เอนิต้า (ประเทศไทย) จำกัด ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) นอกจากกิจกรรมบนเวทีและการออกบูธนิทรรศการแล้ว ยังได้รับความร่วมมือจาก แบรนด์ลา โรช-โพเซย์ ภายใต้บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ที่มีการดำเนินพันธกิจยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวผ่านโครงการ “ลา โรช-โพเซย์ เคียงข้างผู้ป่วยมะเร็ง” (Cancer Support by La Roche-Posay) โดยร่วมมือกับมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง มีเป้าหมายช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง การให้คำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังจากผลกระทบจากการรักษา และการบริจาคผลิตภัณฑ์ ลิปิการ์ โบม เอพี+เอ็ม เพื่อดูแลผิวอย่างอ่อนโยนให้กับผู้ป่วยมะเร็ง