November 18, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

บี.กริม ร่วมกับ WWF-ประเทศไทย และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เสริมทักษะให้แก่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนอุทยานแห่งชาติแม่วงก์และอุทยานแห่งชาติคลองลาน จำนวน 39 คน ด้วยการฝึกอบรมการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) หลักสูตรเทคนิคการลาดตระเวน ภายใต้ “โครงการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์และอุทยานแห่งชาติคลองลาน จ.นครสวรรค์ และ จ.กำแพงเพชร”

บี.กริม ซึ่งเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 140 ปี ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า และพร้อมให้การสนับสนุนช่วยเหลือเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทฯได้ให้ความสำคัญในการอนุรักษ์เสือโคร่ง เพราะในศตวรรษที่ผ่านมา จำนวนประชากรเสือโคร่งในผืนป่ารอบโลกลดลงอย่างน่าใจหาย บี.กริม จึงได้ให้การสนับสนุนโครงการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง ร่วมกับ WWF-ประเทศไทย โดยเน้นการสร้างเสริมประสิทธิภาพและเทคนิคการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าติดต่อกันเป็นระยะมากว่า 4 ปีแล้ว

โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการคือเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งในผืนป่าของไทย เพราะการมีเสือโคร่งในผืนป่า คือ ดัชนีชี้วัดที่บอกได้ว่าผืนป่าของประเทศไทยนั้นอุดมสมบูรณ์และน่าภูมิใจเพียงใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนต้องเผชิญกับผู้กระทำความผิดที่มาพร้อมวิธีการแปลกใหม่และทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การสนับสนุนด้านการฝึกอบรมเทคนิคลาดตระเวนเชิงคุณภาพให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าถือเป็นการเสริมสร้างทักษะ ช่วยให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ทั้งด้านความเข้มแข็ง ระเบียบวินัย สมรรถนะทางด้านร่างกายและจิตใจ เทคนิคการป้องกันตัว การใช้ทัศนสัญญาณในการสื่อสาร การจับกุมผู้กระทำผิด ตลอดจนการใช้และดูแลรักษาอาวุธอย่างถูกวิธี โดยมุ่งหวังให้เจ้าหน้าที่นำความรู้และเทคนิคที่ได้ไปใช้ในงานด้านการป้องกันและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หรืออาจนำไปถ่ายทอดให้กับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ในหน่วยงานต่อไป

นอกจากนั้น ยังได้มอบอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการปฏิบัติงานลาดตระเวนภาคสนามให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทั้งสองอุทยาน ฯ ด้วย เช่น เป้สนาม เปลมุ้ง ฟลายชีท ถุงกรองน้ำ เครื่องระบุทางภูมิศาสตร์ (GPS) แบตเตอรี่ กล้องถ่ายรูป แก๊สกระป๋อง เป็นต้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่จำเป็นระยะยาว คือการจัดการฝึกอบรมให้มีความต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกคนได้รับการฝึกฝนอย่างทั่วถึง ตลอดจนจัดหายุทโธปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีขวัญกำลังใจในการทำงานและสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

“บี.กริม เห็นว่า ปัจจุบันประชากรเสือโคร่งในประเทศไทย ลดลงกว่าร้อยละ 97 มีสาเหตุหลักมาจากการถูกล่าเพื่อความเชื่อและนำอวัยวะใช้ทำยา รวมถึงสัตว์ที่เป็นอาหารของเสือโคร่งก็ถูกล่าเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าที่ส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของผืนป่า เราเห็นใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานลาดตระเวนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ จึงอยากช่วยให้เขามีทักษะในการทำงานอย่างถูกต้องและปลอดภัย จึงให้การสนับสนุนโครงการนี้”

ทางด้าน ดร.รุ้งนภา พูลจำปา ผู้จัดการโครงการฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง อุทยานแห่งชาติแม่วงก์และอุทยานแห่งชาติคลองลาน กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF-ประเทศไทย) กล่าวว่า เสือโคร่งเป็นสัตว์ผู้ล่าที่คอยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ หากป่าใดมีเสือโคร่งแสดงว่าป่านั้นมีความอุดมสมบูรณ์ เพราะเสือโคร่งเป็นสัตว์ที่อยู่สูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร หากเสือโคร่งอยู่ได้ สัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็อยู่ได้ การอนุรักษ์เสือโคร่งจึงเปรียบได้กับการอนุรักษ์สัตว์ป่าชนิดอื่น ๆ และอนุรักษ์ระบบนิเวศไปด้วยพร้อม ๆ กัน ปัจจุบัน ประชากรเสือโคร่งมีจำนวนลดลงจากในอดีต เหลือประมาณ 3,890 ตัว จาก 13 ประเทศทั่วโลก

“ประเทศไทย มีประชากรเสือโคร่งอยู่ประมาณ 150 - 200 ตัว การนำเทคนิคลาดตระเวนเชิงคุณภาพมาอบรมแก่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า โดยช่วยให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ ความมั่นใจในการการปฏิบัติงานซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะสามารถช่วยในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดต่อทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า โดยเฉพาะเสือโคร่งซึ่งถือป็นสัตว์ที่ถูกคุกคามและมีประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง” ดร.รุ้งนภา กล่าว

Key point

  • มูลค่าการส่งออกไทยเดือน ก.ย. หดตัว -5.2%YOY โดยเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือน ในหลายหมวดสินค้า นำโดยหมวดสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัว -6.7%YOY เช่น รถยนต์ - อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-7.4%YOY) เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (-4.1%YOY) เคร่ืองใช้ไฟฟ้า (- 0.8%YOY) และโดยเฉพาะทองคำที่หดตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ -78.7%YOY จาก -66.6%YOY โดยเมื่อ พิจารณาการส่งออกที่ไม่รวมทองคำจะหดตัวที่ -0.8%YOY สำหรับหมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวที่ -1.6%YOY เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป กุ้งแปรรูป น้ำตาลทรายขาว และผลไม้ กระป๋องและแปรรูป อย่างไรก็ตาม สินค้าหมวดเกษตรยังขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 0.1%YOY ตามการ ขยายตัวของข้าว และผลิตภัณฑ์มันส าปะหลัง ขณะที่ยางพาราและน ้าตาลยังคงหดตัวจากผลของ ราคาที่ลดลงเป็นสำคัญ ทั้งนี้การส่งออกในภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2018 เติบโตที่ 8.1%YOY
  • การส่งออกไทยหดตัวในตลาดเอเชียเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการหดตัวของมูลค่าการส่งออก ไปยังจีน (-14.1%YOY) ฮ่องกง (-7.0%YOY) ไต้หวัน (-17.5%YOY) และเอเชียใต้ (-3.7%YOY) ขณะที่การส่งออกไปญี่ปุ่นขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 0.2%YOY จาก 14.6%YOY ในเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกันกับการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และ ASEAN-5 ที่ก็ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที 17.5%YOY และ 0.9%YOY จากในเดือนก่อนหน้าที่ 32.5%YOY และ 35.5%YOY ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกไปยังทวีปออสเตรเลียหดตัวที่ -19.3%YOY จากที่ขยายตัวได้ที่ 10.1%YOY ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปปรับตัวดีขึ้นเป็น 1.2%YOY และ 3.9%YOY จากในเดือนก่อนหน้าที่ 0.6%YOY และ -4.3%YOY ตามลำดับ
  • ผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อสินค้าส่งออกของไทย ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่อง โดยมูลค่าสินค้าส่งออกที่ถูกตั้งเก็บภาษีนำเข้าโดยสหรัฐฯ ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ (แผงโซลาร์) และเครื่องซักผ้า-เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ ที่ไทยส่งออกไปยัง สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน หดตัวที่ -78.2%YOY และ -87.6%YOY ตามลำดับ ทำให้มูลค่าการส่งออก ของสินค้ากลุ่มดังกล่าวในภาพรวมทุกตลาดส่งออกลดลง -38.3%YOY และ -44.6%YOY ตามลำดับ ทั้งนี้ การส่งออกเหล็ก-เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ไปสหรัฐฯ กลับมาหดตัว -16.1%YOY หลังจาก ขยายตัว 12.6%YOY ในเดือนก่อนหน้า แต่ในภาพรวมทุกตลาดส่งออกขยายตัวเร่งขึ้นจากเดือน ก่อนหน้าที่ 2.4%YOY เป็น 4.4%YOY ขณะที่ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม ยังขยายตัวได้ดีทั้งในภาพรวม และการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ 12.1%YOY และ 38.2%YOY ตามลำดับ
  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลชัดเจนมากขึ้น การส่งออกของไทยไปยัง จีนในเดือนนี้มีการหดตัวสูงที่ -14.1%YOY โดยส่วนหนึ่งคาดว่าเป็นผลกระทบมาจากมาตรการการ เก็บภาษีนำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อ 6 กรกฎาคม และ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา รวมมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่คาดว่าจะมีความ เกี่ยวข้องกับสินค้าที่จีน ถูกตั้งภาษีนำเข้ามามีการหดตัวชัดเจน เช่น แผงวงจรไฟฟ้า และส่วนประกอบ อุปกรณ์ ตู้เย็น-ตู้แช่แข็ง ซึ่งมูลค่าการส่งออกไปจีนหดตัวที่ -50.8%YOY และ -78.9%YOY ตามลำดับ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบไปยังจีนหดตัว -13.4%YOY ทั้งนี้ การหดตัวของการส่งออกไทยไปจีนยังอาจมีผลบางส่วนมาจากการที่เศรษฐกิจจีนมีการชะลอตัวลง อีกด้วย
  • มูลค่าการนำเข้าขยายตัวที่ 9.9%YOY ชะลอลงจากการเติบโตที่ 22.8%YOY ในเดือนก่อนหน้า นำโดยการชะลอลงของการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่เติบโต 11.5%%YOY ชะลอลงจาก 37.6%YOY และหมวดสินค้าทุนที่หดตัว -5.8%YOY จากที่ขยายตัว 6.2%YOY ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการลดลงของการนำเข้าหมวดเครื่องบินและส่วนประกอบ (-80.2%YOY) เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเติบโตเร่งขึ้นที่ 50.5%YOY จาก 33.8%YOY ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ การนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2018 เติบโตที่ 15.2%YOY

Implication

  • อีไอซีมองการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกไทยปี 2018 มีโอกาสต่ำกว่าที่ ประมาณการเดิมที่ 8.5% เนื่องจากตัวเลขการส่งออกในเดือนนี้ที่ออกมาต่ำกว่าตลาด คาดการณ์ค่อนข้างมาก (-5.2%YOY vs 5.6%YOY) และผลกระทบจากสงครามการค้ามีความชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น โดยสำหรับความเสี่ยงสงครามการค้าจะยังมีผลกระทบอีกระลอกจาก มาตรการการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา มูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป นอกเหนือไปจากผลกระทบจากส่วนที่มีการบังคับใช้ไปแล้วเมื่อ 6 กรกฎาคม และ 23 สิงหาคมที่ ผ่านมาที่ยังอาจมีผลต่อเนื่องในระยะต่อไป นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบจากการชะลอตัวของ เศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะจีนที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกที่ต่ำกว่าคาดอาจส่งผลถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมในปีนี้และปีหน้าได้
  • อีไอซีคาดว่ามูลค่าการน าเข้าทั้งปี 2018 จะขยายตัวที่ 15% การนำเข้าในช่วงที่เหลือ ของปี 2018 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่ยังมี แนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมถึงการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี การนำเข้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเพื่อส่งออกอาจชะลอลงหากภาคการส่งออกมี การเติบโตต่ำกว่าที่คาดในระยะต่อไป ทั้งนี้ดุลการค้า 9 เดือนแรกยังเกินดุลอยู่ระดับสูงที่ 2,838.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนถึงเสถียรภาพระหว่างประเทศของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี

 

โดย : จิรายุ โพธิราช (This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.)
         Economic Intelligence Center (EIC)
         ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
         EIC Online: www.scbeic.com

 

 

Kinesis Money ระบบเงินตราดิจิทัลที่อิงสินทรัพย์จริง ประกาศสร้างความร่วมมือกับ TicketSocket แพลตฟอร์มการจองตั๋ว ลงทะเบียน และจัดอีเวนต์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ สกุลเงินของ Kinesis จะถูกรวมเป็นตัวเลือกการชำระเงินบนแพลตฟอร์ม TicketSocket ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์แก่ทีมกีฬาอาชีพ บริษัททัวร์ และสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ทั่วโลก ดังนั้น ลูกค้าจึงสามารถซื้อตั๋วเข้าร่วมกิจกรรมระดับโลกได้โดยใช้สกุลเงินดิจิทัลของ Kinesis

สกุลเงินดิจิทัลของ Kinesis ผสานเสถียรภาพของทองคำและโลหะเงิน เข้ากับประสิทธิภาพของบล็อกเชนในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยน สกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้อิงกับทองคำแท่งจริงในอัตราส่วน 1:1 และได้รับการเก็บรักษาในตู้นิรภัยทั่วโลกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย สกุลเงินดังกล่าวสามารถถือครองหรือถ่ายโอนระหว่างกระเป๋าเงินดิจิทัลของ Kinesis ผ่านเครือข่ายบล็อกเชนที่ปลอดภัย ทั้งยังสามารถใช้จ่ายอย่างง่ายดายโดยใช้บัตรเดบิตได้ทุกที่ที่รับบัตร Visa/Mastercard

ความร่วมมือระหว่าง Kinesis และ TicketSocket ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำศักยภาพในการใช้งานสกุลเงินของ Kinesis ในโลกแห่งความจริง

คุณ Ryan Case ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ Kinesis Money กล่าวว่า "ผู้ถือครองสกุลเงินดิจิทัลอิงทองคำหรือโลหะเงิน ซึ่งมีเสถียรภาพและไม่เผชิญความเสี่ยงเหมือนกับสกุลเงินดิจิทัลที่อิงเงินกระดาษ สามารถใช้สกุลเงินเหล่านี้ในโลกแห่งความจริงได้มากขึ้น เช่น ใช้ซื้อตั๋วเพื่อชมการแสดงหรือการแข่งขันกีฬา เป็นต้น"

"ผู้ถือครองสกุลเงินของ Kinesis ไม่เพียงได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้สกุลเงินดังกล่าวในการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย"

คุณ Kai M. Blache ประธานของ TicketSocket กล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ร่วมมือกับ Kinesis เพื่อนำเสนอตัวเลือกการชำระเงินรูปแบบใหม่ให้แก่ลูกค้าของเรา และเราจะนำ Kinesis มาสนับสนุนประสบการณ์ในการจองตั๋วและการจัดอีเวนต์ตามความต้องการของลูกค้า"

คุณ Ryan สรุปว่า "ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้สกุลเงินดิจิทัลของ Kinesis ในโลกแห่งความจริง การที่ TicketSocket สนับสนุน Kinesis เป็นทางเลือกในการชำระเงิน ทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายสูงสุดในการปฏิวัติระบบเงินตราที่เราใช้กันในปัจจุบัน

 

นายณรงค์ศักดิ์  ปลอดมีชัย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลพร้อมกัน 5 กองทุน  ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว ซีเล็คท์ (ชนิดจ่ายเเงินปั) (SCBLTSED) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง(ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBPMO) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศ ซึ่งจะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 18 ตุลาคม 2561 นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ (SCBGPROP) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นญี่ปุ่น (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBNK225D) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้น LOW VOLATILITY (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBLEQ) โดยจะจ่ายในวันที่ 22 ตุลาคม 2561 นี้  รวมมูลค่ากว่า 33 ล้านบาท

โดยกองทุน SCBLTSED จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 24 เมษายน 2561 - วันที่ 30 กันยายน 2561 เป็นการจ่ายปันผลครั้งแรก นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561  ซึ่งกองทุนนี้เป็นกองทุนที่บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนหุ้นไทยที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีกองทุนภายใต้การบริหารที่ได้รับการจัดอันดับมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว และ 4 ดาว เน้นสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีข้อจำกัดการลงทุน  มีการใช้กลยุทธ์ที่ผสมผสานหลากหลายโมเดลการลงทุนให้เหมาะสมตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งในแต่ละโมเดลการลงทุนมีการคัดเลือกหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนมีความเชื่อมั่นว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนได้สูงที่สุด โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 5.26% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561)

กองทุน SCBPMO จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.6300 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - วันที่ 30 กันยายน 2561 นับเป็นครั้งที่ 5 รวมจ่ายปันผล 3.6200 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2541) มีนโยบายการลงทุนเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตยิ่งขึ้นในอนาคต โดยมี net exposure ในตราสารดังกล่าว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 4.00%  (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561)

สำหรับกองทุน SCBGPROP จะจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - วันที่ 30 กันยายน 2561 ในอัตรา 0.2396 บาทต่อหน่วย มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 ไปแล้ว 0.1556 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.0840 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 4 รวมจ่ายปันผล 0.4896 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559) โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 0.54%  (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF WORLD REAL ESTATE SECURITIES FUND ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80  ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งมีนโยบายเน้นบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนใน REIT ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock Investment Management (UK) Limited  ทั้งนี้กองทุนหลักเน้นลงทุนใน REITs และหุ้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้กองทุนมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว โดยกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น ที่พักอาศัย สำนักงาน โรงแรม และอาคารพาณิชย์ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการกระจายลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ มากกว่า 10 ประเทศทั่วโลก

ส่วนกองทุน SCBNK225จะจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - วันที่ 30 กันยายน 2561 ในอัตรา 0.3843 บาทต่อหน่วย มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ไปแล้ว 0.3033 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.0810 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 8 รวมจ่ายปันผล 2.7713 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2556) โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 15.81% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561) มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nikkei 225 Exchange Traded Fund (กองทุนหลัก) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน บริหารงานโดย Nomura Asset Management Co.,Ltd. จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และลงทุนในสกุลเงินเยน (JPY) มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุนทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีนิคเคอิ 225 และตราสารทุนที่กำลังจะมาเป็นส่วนประกอบของดัชนีนิคเคอิ 225 ในสัดส่วนการลงทุนเดียวกับจำนวนหุ้นในดัชนีนิคเคอิ 225 (Nikkei 225 Index หรือ Nikkei Stock Average)

และกองสุดท้ายกองทุน SCBLEQ จะจ่ายในอัตรา 0.1736 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2561 - วันที่ 30 กันยายน 2561 นับเป็นครั้งที่ 5 รวมจ่ายปันผล 0.8338 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559)  โดยมีผลการดำเนินงาน ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 8.41% (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561)  มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน  Low Volatility Equity Portfolio ชนิดหน่วยลงทุน (Share Class) I   สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) บริหารโดย AllianceBernstein L.P  เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักลงทุนในตราสารทุนที่โดยพื้นฐานมีความผันผวนคาดการณ์และความเสี่ยงขาลงคาดการณ์ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวม ซึ่งจัดการกองทุนจะคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าพอร์ตการลงทุนโดยการใช้แบบจำลองเพื่อคำนวณค่าความเสี่ยงและผลตอบแทนของหลักทรัพย์ รวมถึงใช้หลักการวิเคราะห์ และประสบการณ์ด้านการลงทุนที่ยาวนาน เพื่อให้ได้มาซึ่งพอร์ตการลงทุนที่ประกอบไปด้วยหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำที่สุด ในขณะที่มีคุณภาพด้านปัจจัยพื้นฐานดีที่สุด โดยจะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่อยู่ในตลาดที่พัฒนาแล้วเป็นหลัก

ในโอกาสที่ เอไอเอ ประเทศไทย ฉลองครบรอบ 80 ปี ในปีนี้ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเอไอเอ ประเทศไทยเตรียมส่งพนักงานและพลังตัวแทน 8 ท่าน เพื่อร่วมงาน Oxfam Trailwalker งานวิ่งเทรลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฮ่องกงซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 16-18 พฤศจิกายนนี้ Oxfam Trailwalker เป็นกิจกรรมวิ่งเพื่อระดมทุนให้กับ Oxfam ซึ่งเป็นองค์กรการกุศล ซึ่งเอไอเอ ฮ่องกงได้เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 และได้ร่วมระดมทุนให้กับ Oxfam แล้วรวมกว่า 14 ล้านบาท

สำหรับในปีนี้เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง 80 ปี เอไอเอ ประเทศไทย ไม่พลาดที่จะส่งตัวแทนนักวิ่งน่องเหล็ก 8 ท่าน นำโดย มร.ตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมกับพนักงานและตัวแทนอีก 7 ท่าน ร่วมท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง กับการวิ่งเทรลระยะ 100 กิโลเมตร ข้ามผ่านภูเขากว่า 23 ลูก เพื่อพิชิตเส้นทางธรรมชาติที่มีความชันสะสมสูงถึงกว่า 4,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ภายในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง อีกทั้งยังถือเป็นการแสดงพลังเพื่อมีส่วนร่วมในการระดมทุนสนับสนุนองค์กรเพื่อสังคมต่างๆ ให้ได้นำเงินบริจาคเหล่านี้ไปใช้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในยามจำเป็น นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น “Healthier, Longer, Better Lives” ซึ่งสำหรับผู้ที่ประสงค์ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนเพื่อนำเข้ามูลนิธิ Oxfam ในครั้งนี้ สามารถคลิกบริจาคให้กับทีมนักวิ่งจากเอไอเอ ประเทศไทยได้ที่ http://bit.ly/AIATHTeam1 หรือ http://bit.ly/AIATHTeam2

ดร. เยอร์เกน มายน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้าย) มอบหนังสือสำหรับเยาวชน “จุดประกายความคิด เพื่อชีวิตที่สดใส” จำนวน 250 เล่ม ให้แก่โรงเรียนสัจจพิทยา โดยมีนางปรารถนา ลิมะหุตะเศรณี ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ เป็นผู้รับมอบ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกแก่เยาวชนเรื่องการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี
การมอบหนังสือนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมส่งเสริมวิชาการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมศึกษา เนื่องในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประจำปี 2561 

นอกจากนี้ โคเวสโตร ประเทศไทย ยังได้ร่วมมือกับสถานทูตสาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย จัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อให้ความรู้เรื่องการกำจัดขยะ การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างความยั่งยืน ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

 

 

ดร.เยอร์เกน มายน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด นำทีมพนักงาน จัดกิจกรรมอาสาสมัครให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม แก่นักเรียนโรงเรียนสัจจพิทยา พร้อมมอบหนังสือสำหรับเยาวชน “จุดประกายความคิด เพื่อชีวิตที่สดใส” เนื่องในวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

บริษัท ไทยซัมซุง ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำพนักงานจิตอาสาของไทยซัมซุงประกันชีวิต และพนักงานจิตอาสาของซัมซุงประกันชีวิต จากประเทศเกาหลี รวมกว่า 50 ชีวิต ร่วมปลูกป่าชายเลนถาวร ณ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 6 จ.เพชรบุรีในโครงการ “Green Global Project...We love Thailand” ครั้งที่ 11

 

 

ซัมซุงประกันชีวิต ประเทศเกาหลี และ ไทยซัมซุงประกันชีวิต เห็นถึงความสำคัญในการดำเนินกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้คำขวัญ “We Love & Share” ปลูกฝังจิตสำนึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในรูปแบบ “จิตอาสา” นำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยได้ดำเนินการปลูกป่าชายเลนถาวรในโครงการ Green Global Project…We love Thailand” เพื่อรักษาและคืนความสมดุลแก่ระบบนิเวศป่าชายเลนของไทย และยังเป็นการรักษาพื้นที่ชายฝั่งทะเลและแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำอีกทางหนึ่ง  

 

 

“โครงการ Green Global Project…We love Thailand  ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ซึ่งที่ผ่านมา โครงการนี้จัดขึ้นมาแล้ว 10 ครั้ง ได้ปลูกพันธุ์ไม้ป่าชายเลนต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 7,900 ต้น สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 ของโครงการฯ และได้ปลูกต้นโกงกางรวม 2,000 ต้น  โดยมีพนักงานจิตอาสาจากซัมซุงประกันชีวิตประเทศเกาหลี และพนักงานจิตอาสาของไทยซัมซุงประกันชีวิตกว่า 50 คน ร่วมลงมือลงแรงกันอย่างเต็มที่ ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการฯ จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนที่อยู่โดยรอบป่าชายเลนแห่งนี้ในระยะยาว  

 

 

สำหรับกิจกรรมในวันที่สอง พนักงานจิตอาสาจากทั้งสองประเทศ ได้เดินทางไปยังโรงเรียนปัญญาวุฒิกร มอบอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้และเงินทุนสนับสนุนด้านการศึกษา รวมทั้งจัดทำและเตรียมอาหารกลางวันให้แก่น้อง ๆ นักเรียน ในช่วงบ่ายได้แบ่งกลุ่มลงมือลงแรงในกิจกรรมจิตอาสา ทั้งปรับปรุงและทาสีเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น รวมทั้งจัดเตรียมแปลงผักสวนครัวกินได้ให้กับทางโรงเรียนอีกด้วย

 

 

แม้ว่าโครงการที่เกิดขึ้น จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนของประเทศ แต่ซัมซุงประกันชีวิตและไทยซัมซุงประกันชีวิตเชื่อว่า โครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างจิตสำนึกร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติให้เกิดขึ้นในสังคม โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินกิจกรรมและสานต่อนโยบายด้าน CSR อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งในการดำเนินธุรกิจและเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมควบคู่กันไป

เอปสัน ผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์และผู้นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของโลก เปิดตัวอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ซีรี่ส์ใหม่ WF-C5000 สำหรับลูกค้าเอสเอ็มอี ได้แก่ รุ่น WF-C5290 และ WF-C5790 ที่ให้ความเร็วกว่าพิมพ์เทียบเท่าเลเซอร์ พรินเตอร์แต่มีต้นทุนการพิมพ์ที่ประหยัดกว่าเลเซอร์ถึง 50%

WF-C5000 series อิงค์เจ็ทพรินเตอร์มาพร้อมกับหัวพิมพ์ PrecisionCore ที่ให้งานพิมพ์คุณภาพสูง ด้วยความเร็วในการพิมพ์ 24 แผ่น/นาที สามารถรองรับปริมาณงานพิมพ์ต่อเดือนได้ถึง 45,000 แผ่น  มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการพิมพ์ 2 หน้าแบบอัตโนมัติ (Auto-Duplex) ที่มีความเร็ว 15 ภาพต่อนาที (สำหรับ A4)  จึงช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาในการพิมพ์   รวมถึงยังมีชุดระบบหมึก RIP (Replaceable Ink Pack) ที่ออกแบบมาให้สามารถเปลี่ยนได้ง่าย  ไม่ยุ่งยาก และเปลี่ยนเฉพาะสีที่หมด   ซึ่งหมึกพิมพ์แต่ละชุดสามารถรองรับงานพิมพ์ได้ถึง 3,000 แผ่นสำหรับการพิมพ์ขาวดำและสี   ทั้งยังเป็นหมึกกันน้ำ DuraBrite Pigment Ink ขนาดความจุสูง สำหรับพิมพ์งานจำนวนมากแบบต่อเนื่อง  จึงไม่ต้องเสียเวลาในการเปลี่ยนหมึกบ่อยๆ รองรับการพิมพ์ได้มากถึง 10,000 แผ่น  นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อได้หลากหลาย ทั้ง Ethernet, Wi-Fi, Wi-Fi Direct, NFC และ USB 2.0   รวมทั้งยังสามารถสั่งพิมพ์ผ่านมือถือด้วยแอพพลิชั่น Epson Connect  นอกจากนี้  WF-C5000 series ยังประหยัดค่าไฟได้มากกว่าการพิมพ์ด้วยเลเซอร์พรินเตอร์ถึง 90% และได้รับมาตรฐาน Energy Star® ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย  ดังนั้น WF-C5000 series จึงเป็นอิงค์เจ็ทพรินเตอร์เพื่อเอสเอ็มอีที่ต้องการมองหาผู้ช่วยงานพิมพ์แบบมืออาชีพโดยเฉพาะ  สนใจข้อมูลเพิ่มเติม www.epson.co.th  หรือ เอปสัน คอล เซ็นเตอร์ 0-2685-9899

นับจากปี 2553 ทีเอ็มบี ได้ริเริ่มกิจกรรมเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืนขึ้น ภายใต้แนวคิด Make THE Difference   เปลี่ยน... เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น โดยมุ่งเน้นจุดประกายความคิดสร้างสรรค์  สร้างประโยชน์ให้กับชุมชน และส่งมอบสิ่งดีๆ กลับสู่สังคม ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างพนักงานทีเอ็มบีทั่วประเทศ ลูกค้า เยาวชน และชุมชน โดยมีพนักงานเป็นผู้จุดประกายและลงมือ “เปลี่ยน” ชุมชนให้ดีขึ้น

เริ่มจากการเข้าไปในชุมชนที่อยู่ใกล้สาขาเพื่อสำรวจปัญหาต่างๆ  จุดประกายให้คนในชุมชนออกมา ร่วมกับทีมอาสาสมัคร  ช่วยกันคิด วางแผน และกำหนดแนวทางในการ “เปลี่ยน”  เพื่อให้เหมาะกับชุมชนหรือตอบสนองความต้องการของชุมชนนั้น ซึ่งกิจกรรมเปลี่ยนชุมชนเพื่อความยั่งยืน  มุ่งสร้างประโยชน์ให้ชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี สำหรับในปีนี้มีโครงการที่เกิดขึ้นจากการจุดประกายของพนักงานทีเอ็มบีจำนวน 37 โครงการ และ “โครงการ ฟื้นฟูตำนานด่านวัดขนอน”  ซึ่งเป็นโครงการที่ 3 ของเขตราชบุรี ก็เป็นอีก 1 ในโครงการของปี 2561 นี้เช่นกัน

 

สำหรับวัดขนอน อ.โพธาราม จังหวัดราชบุรีนั้น  เป็นวัดที่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมการแสดงหนังใหญ่ เป็น 1  ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลกในด้านการฟื้นฟูวัฒนธรรม ประกาศโดยยูเนสโก มีการแสดงหนังใหญ่เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เดิมบริเวณหน้าวัดขนอนติดกับแม่น้ำเป็นที่ตั้งด่านเก็บภาษีอากรทางเรือ และเป็นตลาดที่แลกเปลี่ยนสินค้า แต่ในปัจจุบันแม่น้ำมีความตื้นเขินความเป็นมาในด้านของด่านวัดขนอนจึงเลือนหายไป

 

 พระครูพิทักษ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดขนอน เล่าโดยสรุปว่า โครงการฟื้นฟูตำนานด่านวัดขนอนครั้งนี้เป็นเหมือนการ “สานต่อลมหายใจให้ชุมชน”  นอกเหนือจากการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมการแสดงหนังใหญ่วัดขนอนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในท้องถิ่น และสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ตลอดจนส่งเสริมกิจกรรมของกลุ่มเยาวชนในด้านการอนุรักษ์ศิลปะแขนงต่างๆ โดยตลาดที่เคยรุ่งเรืองในอดีตอันเป็นตำนานด่านวัดขนอนนั้น จะสามารถเติมเต็มและเกื้อหนุนซึ่งกันและกันกับการแสดงหนังใหญ่วัดขนอน ที่แม้จะขึ้นชื่อในการอนุรักษ์และสืบสานมรดกไทย แต่การเข้าถึงมหรสพชนิดนี้นั้นยากกับการเจาะเข้าสู่กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว การมีตลาดด้วยนั้นจะเป็นการดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวในวัยนี้ให้เพลิดเพลินมากขึ้นกับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ มีสิ่งของดีๆ ให้เลือกในการจับจ่าย นอกจากการมาศึกษาและดูมหรสพหนังใหญ่แล้ว ยังเป็นการเพิ่มรายได้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย

 

นางภัทรวดี ปานเพ็ชร ผู้จัดการเขตธุรกิจสาขาราชบุรี ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “อาสาสมัครทีเอ็มบีที่เข้าร่วมพัฒนาชุมชนฯ ในครั้งนี้  เป็นพนักงาน สาขาราชบุรีที่มีจิตอาสาตั้งใจจะพัฒนาชุมชนให้ได้ประโยชน์ ผ่านการทำกิจกรรมที่มีอยู่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยสนับสนุนเยาวชนในชุมชนอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น และจัดการระบบหน้าที่ต่างๆ ให้แก่เยาวชน ทำหน้าที่นักสื่อสารข้อมูลท้องถิ่น เพื่อนำเที่ยวแก่นักท่องเที่ยว ช่วยพัฒนาการจัดการให้แก่ชาวบ้านที่มาค้าขาย และทำให้ตลาดด่านขนอนเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีการจัดทำ QR Code เพื่อให้นักท่องเที่ยวสแกน และรับทราบถึงประวัติความเป็นมาของวัดขนอน จัดทำป้ายแผนที่บอกเส้นทางท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมครบทุกสถานที่ในชุมชนฯ ตลอดจนปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณรอบวัดขนอน และตลาดด่านขนอน ให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น โดยเราต้องการให้ทุกอย่างที่เราทำนี้เป็นวงจร เป็นความยั่งยืน ที่คนในชุมชนจะได้ประโยชน์”

 

 นายจฬรรณ์ ถาวรนุกูลพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการแสดงหนังใหญ่ วัดขนอน เล่าต่อว่า เรื่องของการอนุรักษ์หนังใหญ่วัดขนอนนั้นทำการต่อสู้เพื่อการอนุรักษ์มากว่า 20 ปี โดยมีต้นทุนการแสดงที่ทางวัดขนอนได้ช่วยออกทุนในการทำการแสดงเล็กๆ ก่อน จนหางบประมาณมาทำเป็นโรงละครและลานแสดงที่ดีขึ้นกว่าเดิม  แต่เมื่อนักท่องเที่ยวมาดูหนังใหญ่แล้วกลับไป ไม่ได้ท่องเที่ยวดูสิ่งอื่นๆ ของชุมชน จึงมาคิดร่วมกันว่า ชุมชนเคยมีตลาดด่านขนอน จึงได้จำลองขึ้นมาใหม่ในบางส่วน และให้ชาวบ้านขายของ เพื่อเป็นการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา ซึ่งตลาดด่านขนอนนั้น เป็นตลาดที่ชาวบ้านโพธารามจะนำอาหารพื้นเมือง ขนม สินค้าพื้นบ้าน งานทำมือ มาขายให้แก่นักท่องเที่ยวในราคาย่อมเยา ซึ่งตลาดจะเปิดให้เข้าชมทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. โดยจะมีการแสดงหนังใหญ่แสดงทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์  วันละ 1 รอบ  ในช่วงเวลา 11.00 น.

 

สำหรับกิจกรรม เปลี่ยน ชุมชนเพื่อความยั่งยืนโดยอาสาสมัครทีเอ็มบี ได้ค้นพบความต้องการที่แท้จริงของชุมชนและสามารถแบ่งความต้องการออกเป็น 5 ด้าน เพื่อให้ทำงานตอบโจทย์ของชุมชนได้ถูกจุด ได้แก่

โครงการสร้างเสริมสุขภาวะสิ่งแวดล้อม โครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการหรือมีความต้องการพิเศษ โครงการด้านอนุรักษ์หรือฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม โครงการสร้างอาชีพและส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการด้านการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนและทั้งหมดนี้คือ หนึ่งในโครงการเพื่อสังคมของทีเอ็มบี ภายใต้แนวคิด Make THE Difference ที่สร้างสรรค์และส่งมอบสิ่งดีๆ ให้ชุมชน พัฒนาและอยู่ได้อย่างยั่งยืน....   

 

สามารถติดตามกิจกรรมดีๆ ของอาสาสมัครทีเอ็มบี เพื่อร่วมสร้างแรงบันดาลใจ หรือสนับสนุนการ “เปลี่ยน” เพื่อสังคมที่น่าอยู่ ได้ที่   

 https://www.tmbfoundation.or.th,  https://www.instagram.com/makethedifference_by_tmb

ศูนย์สร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (IDE Center by UTCC) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีขับเคลื่อนนโยบายนวัตกรรมจัดกิจกรรมพัฒนาค่าย Design Thinking ให้กับอาจารย์ผู้สอนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1-4 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมานำโดย ดร.เอ็ดเวิร์ด รูเบซ ผู้อำนวยการหลักสูตร ศูนย์การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (IDE Center by UTCC) อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผู้ประกอบการและผู้อำนวยการหลักสูตร

โดยวัตถุประสงค์ของจัดอบรมหลักสูตรครั้งนี้เพื่อเป็นแกนกลางในการพัฒนาศักยภาพอาจารย์ผู้สอน และระบบพี่เลี้ยง ในการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมในมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยให้คำปรึกษาแก่นิสิต นักศึกษาและนักวิจัยออกแบบและพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมเสริมหลักสูตรด้านนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการเป็นไปตามนโยบายสนับสนุนมหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ นำเอาแนวคิด“Design Thinking”มาฝึกและพัฒนาผู้เข้าร่วมกิจกรรม ตามกระบวนการ ได้แก่ “ Emphatize, Define, Prototype, Ideate และ Test” โดยเริ่มจากการเรียนรู้เพื่อเข้าใจถึงปัญหาอย่างละเอียดและเก็บข้อมูลส่วนสำคัญเชิงลึกของปัญหานำมาหาบทสรุปเมื่อเราได้บทสรุปแล้วก็จะนิยามความต้องการหรือปัญหาที่เกิดขึ้นและสร้างทางเลือกหรือวิธีแก้ไข จากนั้นแชร์ไอเดีย เพื่อดูผลลัพธ์ว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้คำตอบก็นำมาพัฒนาวิธีแก้ไขนั้นให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ IDE Center by UTCC ยังมีกิจกรรมดีๆ ที่จะช่วยสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ผู้ที่สนใจเป็นผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (IDE Center by UTCC)  หรือผ่านทาง www.idecenter.utcc.ac.th และ www.facebook.com/idecenter สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-697-6867 ในเวลาทำการ

Page 3 of 7
X

Right Click

No right click