December 13, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 810

ICO VS. IPO

February 05, 2018

ICO เป็นของใหม่ที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้และเร็วๆ นี้ก็จะมีการออก ICO ของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยเกิดขึ้น ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงออกอินโฟกราฟฟิกเพื่อช่วยทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ICO โดยเปรียบเทียบกับ IPO ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีในตลาดทุน แม้ปัจจุบันเกณฑ์ในการกำกับดูแล ICO ยังไม่ออกมาแต่อินโฟกราฟฟิกชุดนี้ก็เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเบื้องต้นสำหรับผู้ที่สนใจ

   ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย แจ้งผลประกอบการปี 2560 ซึ่งยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ 19,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเน้นความรอบคอบในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการตั้งสำรองฯ จำนวน 8,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน ขณะที่สัดส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.35% จาก 2.53% ส่งผลให้สัดส่วนสำรองต่อ NPL (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 143% ซึ่งหลังจากตั้งสำรองฯ และภาษี ธนาคารรายงานกำไรสุทธิที่ 8,687 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6%

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่า “ธนาคารยังคงเน้นการขยายธุรกิจผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ (Need Base) และไม่ยุ่งยากซับซ้อน (Simple & Easy) ให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบ โดยในปี 2560 ธนาคารสามารถขยายฐานสินเชื่อเพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว ซึ่งหลักๆ มาจากสินเชื่อลูกค้าบุคคล โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เป็นผลจากการที่ธนาคารปรับปรุงกระบวนการนำเสนอสินเชื่อให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจ พบว่าธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเติบโตได้ดี ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอี แม้ภาพรวมทั้งปียังชะลอตัว แต่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในไตรมาส 4”

“ทางด้านเงินฝาก ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการขยายฐานเงินฝากลูกค้าบุคคลเป็นหลัก ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝาก All Free ที่ให้ประโยชน์ด้านการทำธุรกรรม และเงินฝาก No Fixed ที่ให้ประโยชน์ด้านการออม ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นได้จากเงินฝาก “ทีเอ็มบี ออลล์ ฟรี” (TMB All Free) ที่เพิ่มขึ้นกว่า 51% หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท จากปีที่แล้ว และเงินฝาก “ทีเอ็มบี โน-ฟิกซ์” (TMB No-Fixed) ที่ขยายตัว 16% หรือ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยภาพรวมเงินฝากเติบโต 2% จากปีก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการบริหารสภาพคล่องของธนาคาร”

อย่างไรก็ดี ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ลดลงเล็กน้อยจาก 3.17% มาอยู่ที่ 3.13% เนื่องจากสินเชื่อเอสเอ็มอีซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูง ในภาพรวมทั้งปียังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 24,734 ล้านบาท คงที่จากปีก่อน สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย มีจำนวน 12,705 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% ปัจจัยหนุนหลักคือรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ขยายตัว 32% โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มลูกค้าบุคคลจากค่าธรรมเนียมจากการขายกองทุนรวมและแบงก์แอสชัวรันส์ซึ่งเติบโตได้ 76% และ 71% ตามลำดับ

ปิติ กล่าวเสริมว่า “การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ค่าธรรมเนียมลูกค้าบุคคล สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และการพัฒนาบริการในทุกๆ ช่องทางของทีเอ็มบี อย่างเช่นในปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ยกระดับการให้บริการด้านกองทุนรวมให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยนอกเหนือจาก TMB Open Architecture ที่คัดสรรกองทุนเด่นจาก บลจ.ชั้นนำ 8 แห่ง มานำเสนอให้กับลูกค้าแล้ว ธนาคารยังได้เพิ่มบริการที่ปรึกษาด้านการลงทุน (TMB Advisory) ผ่านระบบ VDO Conference รวมทั้งเพิ่มช่องทางการซื้อขายกองทุนผ่านแอพพลิเคชั่น TMB TOUCH เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าในยุคดิจิทัล”  

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMB

โดยรวม ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 37,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2559 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 17,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวทางธุรกิจเป็นหลัก ทำให้ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ อยู่ที่ 19,736 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 6% ซึ่งเอื้อให้ธนาคารสามารถเพิ่มระดับการรองรับความเสี่ยง ด้วยการตั้งสำรองฯ สูงขึ้น แม้ NPL จะลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ในปี 2560 ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 8,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า ทำให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 143% ขณะที่ NPL หรือสินเชื่อด้อยคุณภาพจะลดลงเป็นจำนวน 84 ล้านบาท มาอยู่ที่ 17,521 ล้านบาท ทำให้สัดส่วน NPL หรือ NPL ratio ลดลงจาก 2.53% มาอยู่ที่ 2.35% ซึ่งหลังหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิเป็นจำนวน 8,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ ทีเอ็มบียังคงสถานะเงินกองทุนในระดับสูง สะท้อนได้จากอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ภายใต้เกณฑ์ Basel III ที่อยู่ที่ 17.3% และ 13.2% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 9.75% และ 7.25% ตามลำดับ

ปิติสรุปว่า “ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในปี 2560 สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงภายใต้แนวทาง “Need-Based Bank” กับ “Simple & Easy” และสำหรับปี 2561 ทีเอ็มบีก็ยังคงเน้นการขยายฐานเงินฝากเพื่อการทำธุรกรรม (Transactional Banking) ทั้งจากลูกค้าบุคคลและเอสเอ็มอีขนาดเล็ก รวมทั้งพัฒนาช่องทางดิจิทัลเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของลูกค้า Digital Banking และแน่นอนว่าธนาคารก็จะยังคงรักษาระดับความสามารถในการรองรับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับสูง พร้อมกับบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

 

 

 

         เมื่อต้นปีที่ผ่านมา “น้ำดื่มสิงห์”  เปิดตัวแคมเปญ “A Part Of You” โดยใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing ดึง 5 ตัวแทนกลุ่มผู้นำความคิดและไลฟ์สไตล์ จากวงการภาพยนตร์ ดนตรี เน็ตไอดอล ได้แก่ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์, เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคา, วิโอเล็ต วอเทียร์ และวง South side มาเป็น “แบรนด์อินฟลูเอนเซอร์” ครั้งแรก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เพิ่มความผูกพันแบรนด์ (Engagement) ควบคู่การเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างมาก

          ล่าสุดน้ำดื่มสิงห์ได้สร้างกระแสในโลกออนไลน์ โดยการดึง “เจ้านาย” จิณเจษฎ์ วรรธนะสิน มาเป็นพรีเซ็นตอร์ พร้อมใช้วิธีการทำตลาดด้วยการลงพื้นที่ประชิดกลุ่มเป้าหมาย สร้างสิ่งที่ “เหนือความคาดหมาย” ความประทับใจให้กับผู้บริโภคและตลาดอย่างยอดเยี่ยม

          ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า การทำตลาดของด้วยการดึงผู้ทรงอิทธิพล (Influencer) มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ จะต้องเป็นคนที่มีเสน่ห์ (engaging personality) คาแร็คเตอร์ ธรรมชาติ เข้าถึงง่าย แต่การเปิดตัวจะต้องคิดนอกกรอบ เพื่อสร้างความแตกต่าง ความแปลกใหม่ให้กับตลาด เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเกิดการจดจำแบรนด์มากยิ่งขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดน้ำดื่มที่มีทั้งแบรนด์เก่า แบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง

           “เจ้านาย” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของน้ำดื่มสิงห์ เปิดตัวด้วยการสร้างเซอร์ไพรส์ ณ จุดขายจริง รับกับกระแสฟีเวอร์ในตัวของเจ้านาย โดยการเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ของน้ำดื่มสิงห์ มีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ ต้องการเพิ่ม Engagement กับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ หรือเป็น Young Generation มากขึ้น จากเดิมน้ำดื่มสิงห์เจาะกลุ่มเป้าหมายครอบครัว ทุกเพศทุกวัย และต้องการสร้างความแตกต่างของแบรนด์ให้ฉีกออกจากคู่แข่ง ให้เป็นแบรนด์อันดับแรกในใจของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อน้ำดื่ม และการใช้เจ้านายเป็นพรีเซ็นเตอร์ ถือว่าสร้างสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เป็น Beyond expectation ให้ผู้บริโภคและตลาดได้จริงๆ

          ธิติพรขยายความต่อว่า “เราเชื่อมั่นว่าในยุคนี้ ความแปลกใหม่ ทันสมัย หรือความล้ำ (innovation) เป็นสิ่งสำคัญ  ตั้งแต่ต้นปี 2561 น้ำดื่มสิงห์จะให้เน้นนำเสนอความแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านของตัวผลิตภัณฑ์, การสื่อสารการตลาด อย่างที่ได้เริ่มเห็นกันไปแล้วจากกิจกรรม on ground to online ของพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดนี้ และยังมีกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งอยากให้ติดตามกัน รวมถึงการจัดรายการส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่    บน Platform ใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องโดนใจวัยรุ่น รวมทั้งกลุ่มแมสด้วย

          “นอกจากนั้น ช่องทางการจัดจำหน่ายและระบบการจัดจำหน่ายซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง ในยุคการตลาดแบบ Digital  นี้ เราเชื่อว่าการเพิ่มความพึงพอใจในความสะดวกสบายในการจัดส่งเป็นสิ่งสำคัญ สินค้าต้องถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ ที่สำคัญคือต้องง่ายแค่ปลายนิ้ว  ดังนั้น ในปีหน้า(2561) เตรียมพบกับช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ ของน้ำดื่มสิงห์ได้” 

           ภาพรวมตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเชิงปริมาณ 4,300 ล้านลิตร มีอัตราการเติบโตประมาณ 10% แบ่งตามบรรจุภัณฑ์เป็นน้ำดื่มขวด PET 90% มีอัตราการเติบโต 11.5% แบบขวดแก้ว 10% แนวโน้มตลาดหดตัวลงเล็กน้อย น้ำดื่มสิงห์มีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยรวม 21% เมื่อแบ่งตามบรรจุภัณฑ์ แบบขวด PET มีส่วนแบ่งทางการตลาด 20% และแบบขวดแก้วมีส่วนแบ่งตลาด  45.2%  ในปีหน้า น้ำดื่มสิงห์ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดรวมเพิ่มเป็น 23%  

          “ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องปีละ 10% จากกระแสผู้บริโภครักสุขภาพ น้ำดื่มสิงห์ มีสโลแกนติดหูว่า “น้ำดื่มสะอาด น้ำดื่มสิงห์” เราชูจุดขายในเรื่องของความสะอาดและ แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ อยู่คู่ครอบครัว และเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยมาอย่างยาวนาน อีกทั้งน้ำดื่มสิงห์ยังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกจากสถาบัน NSF International สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะช่วยเสริมความแกร่งให้กับแบรนด์ด้านความน่าเชื่อถือ ตอกย้ำกลยุทธ์ Functional Marketing อีกด้านเรามุ่งสร้างความพึงพอในตราสินค้า (Brand Preference) และเพิ่ม Engagement กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลยุทธ์การทำตลาดเหล่านี้จะทำให้น้ำดื่มสิงห์เป็นผู้นำตลาดอย่างยั่งยืน ส่วนปีนี้คาดว่ายอดขายน้ำดื่มสิงห์จะเติบโต 10%”ธิติพร กล่าว

 รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยในงาน The Flagship Summit : Future Fast – Forward ว่า ปี 2561 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงและเป็นปีแห่งโอกาส เพราะการเปลี่ยนแปลงเท่ากับโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งคาดการณ์ว่าภาพรวม GDP เศรษฐกิจไทยในปีหน้าน่าจะเติบโตที่ 4.5% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาท และการเลือกตั้ง

โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ และการสนับสนุนจากรัฐบาล ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจส่งออกด้านเกษตร อาหาร ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่อยู่ตามแนวโครงการรถไฟฟ้า

ในขณะที่อุตสาหกรรมสื่อสารบันเทิง ธุรกิจการเงิน ธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคม ธุรกิจค้าปลีก จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการก้าวล้ำของเทคโนโลยี AI, Fintech, Algorithmic Trading, Blockchain, Smart Data ข้อมูลที่แปลงสภาพมาจาก Big Data ที่พร้อมสำหรับนำไปใช้งาน นอกเหนือจากนี้ยังมี ช่องว่างระหว่างวัยในองค์กร, เทรนด์ธุรกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภค เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ ดังนั้นองค์กรธุรกิจจึงต้องมีการปรับตัว ด้วยการเรียนรู้เทรนด์ทางกลยุทธ์ เช่น การสร้างตลาดใหม่ โดยที่ตลาดเดิมยังคงอยู่ สร้างความต้องการใหม่ๆ และการเพิ่มศักยภาพและผสมผสานการใช้งานเทคโนโลยี Digital Transformation หรือกลยุทธ์ในการสร้าง Shared Value รวมถึงการนำเอา Smart Data มาช่วยวางแผนกลยุทธ์ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล ในขณะที่ต้องศึกษา Business Model ใหม่ๆ เช่น 020 (online to offline) ที่กำลังมาแรง ซึ่งการเรียนรู้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ หรือพนักงานในองค์กรก็ตาม ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องปรับตัว รวมถึงเร่งการลงทุนในด้านเทคโนโลยี และมองหาโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจ

ผู้นำองค์กรในปี 2561 จะต้องเป็นคนถ่อมตัวทางปัญญา พร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา และยังต้องทันสมัย รู้ทันไม่หยุดนิ่งที่จะติดตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ รวมถึงเปิดใจยอมรับ เรียนรู้ต่อความแตกต่าง วิธีการใหม่ๆ หรือความล้มเหลว และยังต้องตัดสินใจจากข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ข้อมูลใหม่ๆ ทำงานเป็นทีม ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง และต้องมีการเคลื่อนไหว หรือมีการตัดสินใจที่รวดเร็ว

รศ.ดร.พสุ ให้สัมภาษณ์กับ MBA เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนการสอนของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ในปี 2561ว่า จะเน้นด้านนวัตกรรมทางด้านการเรียนการสอน ปรับปรุงสื่อออนไลน์ของคณะเพื่อให้บริการกับประชาชนทั่วไปและหน่วยงานธุรกิจเพิ่มเติมจากที่ให้ความรู้กับนิสิตของคณะ

ทางด้านการวิจัยจะเน้นงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงมากขึ้น เป็นงานวิจัยที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ เช่น  ผู้นำในยุคดิจิทัลจะมีวิธีการปรับตัวอย่างไร เป็นต้น

ในส่วนของหลักสูตร คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชียกตัวอย่างว่า จะเห็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของหลักสูตร MBA โดยจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Victoria ประเทศแคนานา มหาวิทยาลัย Glasgow ประเทศสก็อตแลนด์ เปิดหลักสูตร Master of Global Business  (MGB)  ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับความรู้ในระดับสากลเพิ่มมากขึ้น  

 

 

 นับเป็นการร่วมมือระหว่าง 2 อุตสาหกรรม เพื่อดึงความโดดเด่นของแต่ละองค์กรให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงเปิดช่องทางการตลาด  และเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคต

  โดยดีแทค และ ทีคิวเอ็ม ร่วมเป็นพันธมิตรครั้งแรกด้วยแคมเปญมอบของขวัญในช่วงเทศกาลแห่งความสุข “The Gift of Happiness” มอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้ลูกค้าแบบจัดเต็มสำหรับลูกค้าของดีแทคและทีคิวเอ็มผ่านช่องทางการขายของทีคิวเอ็ม เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

 ปริศนา รัตนสุวรรณศรี ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดธุรกิจโพสต์เพด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า การผนึกกำลังกันเป็นพันธมิตรระหว่างดีแทคและ ทีคิวเอ็มในครั้งนี้   เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ดีแทคเชื่อว่าความร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจต่างๆที่จะช่วยนำเอานวัตกรรม สินค้าและบริการที่ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดีแทคต้องการสร้างประสบการณ์บริการดิจิทัลให้กับลูกค้า ความร่วมมือกับทีคิวเอ็มในครั้งนี้ จะมอบสิทธิประโยชน์ที่เป็นการกระตุ้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ของดีแทคเพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นในส่วนของสิทธิพิเศษที่มีความเชื่อมโยงกันกับงานประกันภัย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมทั้งยังเป็นการมอบสิทธิพิเศษ ตอบแทนกลุ่มลูกค้าเดิมที่ให้ความไว้วางใจใช้บริการกับดีแทคด้วยดีเสมอมา

 ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์สื่อสารเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แคมเปญมอบของขวัญในช่วงเทศกาลแห่งความสุข จึงเป็นการขยายความร่วมมือระหว่างโบรคเกอร์ประกันภัยไปสู่ลูกค้ากลุ่มสื่อสาร ซึ่งที่ผ่านมาดีแทคเป็นองค์กรหนึ่งที่เห็นความสำคัญของการส่งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าและมีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวทีคิวเอ็มและดีแทคได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในทางธุรกิจที่แต่ละฝ่ายจะสามารถทำได้ในแง่ของการประกันภัยและบริการจากเครือข่ายดีแทค ซึ่งมีหลายส่วนงานของทั้งสององค์กรที่สามารถเป็นพันธมิตรกันแล้วส่งมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าได้ โดยในส่วนของทีคิวเอ็มจะเป็นเรื่องของการประกันภัยในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นไฮไลท์ของช่วงเทศกาลส่งความสุขนี้ อาทิ ประกันรถยนต์ ประกันเดินทาง ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนและร่วมส่งความสุขแบบคูณสองให้ลูกค้าของทั้งทีคิวเอ็มและดีแทค

 สำหรับแคมเปญมอบของขวัญในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ลูกค้าของดีแทคและทีคิวเอ็มจะได้พบกับแพคเก็จพิเศษมากมาย ได้แก่ สำหรับสมาชิก BLUE MEMBER จะได้แถม พ.ร.บ. รถเก๋งส่วนบุคคล 50 สิทธิ์ ต่อเดือน ส่วนสมาชิก GOLD MEMBER เมื่อซื้อประกันรถเก๋งส่วนบุคคลกับทีคิวเอ็มตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป จะได้รับแถม พ.ร.บ. ขณะที่สมาชิก SILVER MEMBER เมื่อซื้อประกันรถเก๋งส่วนบุคคลตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป จะได้รับโค๊ต มูลค่า 323 บาท สำหรับซื้อ พ.ร.บ.   

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในช่องทางออนไลน์ระหว่างการเดินทางของลูกค้า หากซื้อประกันเดินทางกับทีคิวเอ็มจะได้รับซิม GO! อินเตอร์ มูลค่า 399 บาท ไว้ใช้เดินทางท่องเที่ยวถึง 23 ประเทศทั่วโลก และอีกหนึ่งแพ็กเกจที่เป็นเสมือนการส่งมอบความห่วงใยไปยังบุคลากรวัยทำงานให้มีความอุ่นใจและมั่นใจตลอดการทำงานเพื่อให้ผลงานมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อเปิดเบอร์ซิมนิคมมงคลกับดีแทค จะได้รับความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลจากทีคิวเอ็มมูลค่า 100,000 บาท ฟรี ระยะเวลา 3 เดือน

 และยังมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า TQM รับสิทธิ์พิเศษเปิดเบอร์โทรศัพท์ของดีแทคใหม่ประเภทรายเดือน รวมถึงเบอร์สวยและเบอร์มงคลที่คัดสรรมาแล้ว โดยค่าแพ็กเกจรายเดือนลดสูงสุดถึง 50% ซึ่งเป็นข้อเสนอพิเศษสุดๆ ที่ให้สำหรับลูกค้า TQM เท่านั้น นอกจากนี้ดีแทคยังแถมเน็ตความเร็วสูงสุด 3 GB ต่อเดือน นาน 3 เดือน ฟรี อีกด้วย

ทั้งนี้สิทธิพิเศษในแคมเปญมอบของขวัญในช่วงเทศกาลแห่งความสุข จะเริ่มให้บริการลูกค้าตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 60 – มิ.ย. 61 สามารถติดตามรายละเอียดได้ทาง dtac reward หรือ www.tqm.co.th และช่องทางการสื่อสารทาง LINE Facebook ของดีแทคและทีคิวเอ็ม

 

จากรายงาน EIC Research Series “แม่ค้าขยับ รับลูกค้าพร้อมเปย์ ด้วย e-Payment” รวมรวมแนวโน้มการจับจ่ายแบบไร้เงินสดของประเทศไทย ประโยชน์ และรูปแบบที่กำลังจะมาของ e-Payment  หลังจากที่ภาครัฐและเอกชนต่างพุ่งเป้าไปที่การสนับสนุนให้ร้านค้าและประชาชนหันมาใช้ e-Payment ไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิต/เดบิต Mobile Banking หรือ e-Wallet แทนการใช้เงินสด เนื่องจากการเป็นสังคมไร้เงินสดจะเกิดประโยชน์มากมาย เช่น การช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรมและการบริหารจัดการเงินสด อีกทั้งยังสามารถต่อยอดนวัตกรรมทางการเงินได้หลากหลายในอนาคต ทั้งนี้ จากการประเมิน
ของ VISA พบว่า หากกรุงเทพมหานครสามารถก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้จะเกิดประโยชน์เป็นมูลค่ากว่า 1.25 แสนล้านบาทต่อปี โดยประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับภาคธุรกิจ


หมายเหตุ: มูลค่าอานิสงส์ที่จะได้รับ หากประชาชนทั้งหมดสามารถใช้ e-Payment ได้ในระดับเดียวกันกับกลุ่มที่มีการใช้ e-Payment มากที่สุด 10% แรกในกรุงเทพฯ

ที่มา: รายงาน Cashless Cities โดย VISA

ตัวอย่างการรับ-จ่ายเงินในรูปแบบ QR Code

ธนาคารและผู้ให้บริการอื่นๆ ต่างจัดโปรโมชั่นหนัก เพื่อผลักดันให้มีผู้ใช้บริการ e-Payment ของตนมากขึ้น

 

e-Payment ช่วยธุรกิจเพิ่มยอดขาย-ลดต้นทุน

จากการศึกษาของ Roubini ThoughtLab พบว่าการรับเงินผ่าน e-Payment สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วธุรกิจขนาดเล็กจะมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 17% หลังจากเริ่มรับชำระเงินผ่าน e-Payment เนื่องจากธุรกิจเหล่านั้นจะไม่พลาดโอกาสในการขาย หากผู้บริโภคไม่ได้พกเงินสดไว้เพียงพอต่อการซื้อสินค้า อีกทั้งธุรกิจบางส่วนยังสามารถขยายตลาดไปยังลูกค้าออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของตน สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่จะมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 22% เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่สามารถต่อยอดข้อมูล e-Payment เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อนำเสนอราคาและโปรโมชั่นได้อย่างตรงกลุ่ม อีกทั้งยังสามารถเสนอกลยุทธ์ loyalty program เพื่อสนับสนุนให้ผู้บริโภคกลับมาใช้บริการของตนอีก อย่างไรก็ดี การต่อยอด e-Payment เพื่อทำการตลาดนั้นไม่จำกัดอยู่เพียงธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ร้านค้าในจีนที่นิยมให้บริการรับชำระเงินผ่านมือถือ เพราะร้านค้าเหล่านั้นสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (customer engagement) ได้โดยการแนะนำให้ลูกค้ากดติดตาม page ของร้านค้า เพื่อให้ร้านค้าสามารถส่งคูปองส่วนลด และโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับลูกค้าได้

 

e-Payment ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้าอย่างไร?

นอกจากนี้ การใช้ e-Payment แทนเงินสด จะช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลาในการดำเนินการรับ-จ่ายเงิน และประหยัดต้นทุนโดยตรงที่ธุรกิจต้องใช้ในการบริหารเงินสด ไม่ว่าจะเป็นการจ้างพนักงานให้ไปขึ้นเช็ค เฝ้าเงินสดที่ร้าน ตรวจสอบเงินสด หรือแม้กระทั่งการป้องกันการโจรกรรม ทั้งนี้ จากการศึกษาของ VISA พบว่า ในกรุงเทพฯ ธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่มีแนวโน้มที่จะใช้ e-Payment ในการรับ-จ่ายเงินมากกว่าธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะในส่วนของการจ่ายเงินที่ธุรกิจขนาดเล็กมากกว่าครึ่งยังใช้เงินสด ซึ่งอาจเป็นเพราะธุรกิจเหล่านั้นมีลูกจ้างเพียงไม่กี่ราย และส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างรายวัน ซึ่งคุ้นชินกับการได้รับค่าจ้างเป็นเงินสดมากกว่า อย่างไรก็ดี หากการดำเนินการดังกล่าวใช้ระบบ e-Payment ก็จะช่วยประหยัดทั้งเวลา และต้นทุนของธุรกิจในการดูแลเงินสดให้กับธุรกิจได้

สัดส่วนของการ “รับ” เงินผ่าน e-Payment เทียบกับเงินสดของธุรกิจในกรุงเทพมหานคร (มูลค่า)

สัดส่วนของการ “จ่าย” เงินผ่าน e-Payment เทียบกับเงินสด (มูลค่า)

หมายเหตุ: นิยามขนาดธุรกิจ ดังนี้ ธุรกิจขนาดเล็กมีการจ้างงานน้อยกว่า 20 คน ธุรกิจขนาดกลางมีการจ้างงาน 20-50 คน ธุรกิจขนาดใหญ่มีการจ้างงาน 50-200 คน

ที่มา: รายงาน Cashless Cities โดย VISA

 

การชำระเงินด้วย QR Code มีต้นทุนต่ำ และจะได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค

สำหรับร้านค้า การรับชำระเงินด้วย QR Code มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเครื่อง EDC ที่ใช้รับบัตรเครดิต/เดบิต เนื่องจากการใช้เครื่อง EDC จะต้องมีการติดตั้งเครื่องและระบบ อีกทั้งยังมีค่าธรรมเนียม 1.5-3.5% ที่จะคิดในฝั่งผู้ขาย ขณะที่การรับเงินผ่าน QR Code นั้นเป็นการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน โดยผูกกับระบบ PromptPay ซึ่งจะไม่มีค่าธรรมเนียมหากโอนเงินไม่เกิน 5,000 บาท อีกทั้งเหล่าธนาคารและผู้ให้บริการอื่นๆ ต่างแข่งขันเพื่อให้บัญชีของตนเป็นบัญชีหลักของร้านค้า ผู้ให้บริการส่วนใหญ่จึงยังไม่คิดค่าธรรมเนียมกับร้านค้า และทำให้ร้านค้าไม่จำเป็นต้องกำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำกับผู้บริโภคอย่างในกรณีของบัตรเครดิต นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังมีบริการแจ้งเตือนร้านค้าเมื่อมีเงินเข้ามาในบัญชี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายรายเดือน ซึ่งช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับการรับเงินผ่าน QR Code ด้านผู้บริโภคก็มีแนวโน้มจะใช้ QR Code มากขึ้น ตามจำนวนการผูกบัญชี PromptPay ที่มีมากขึ้น และแนวโน้มการใช้สมาร์ทโฟนที่แพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งผู้ให้บริการทั้งธนาคารและ non-bank ต่างผลักดันให้ผู้บริโภคใช้บริการของตนอย่างเต็มที่ ด้วยโปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การได้รับเงินคืนเมื่อจ่ายผ่าน QR Code หรือส่วนลดต่าง ๆ

 

การเติบโตของ e-Commerce เป็นอีกแรงสนับสนุนให้
กับการใช้ e-Payment ของผู้บริโภค

การใช้ e-Payment เป็นสิ่งที่มักจะเติบโตควบคู่ไปกับ e-Commerce เพราะ e-Payment ทำให้การซื้อสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสะดวกสบาย อย่างเช่น ในกรณีของจีนที่สามารถเปลี่ยนเป็นสังคมไร้เงินสดได้ภายใน  2 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นจากความนิยมในการใช้ e-Wallet อย่าง Alipay และ Wechatpay เพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ โดยหลังจากที่ผู้บริโภคมี e-Wallet อย่างแพร่หลายก็ส่งผลให้ร้านค้าออฟไลน์จำนวนมากหันมารองรับการใช้จ่ายผ่าน QR Code เพื่อเพิ่มยอดขาย สำหรับประเทศไทยมูลค่าตลาด e-Commerce ที่มีแนวโน้มเติบโตได้กว่า 13% ต่อปี ในช่วง 4 ปีข้างหน้า จากระดับ 6 หมื่นล้านบาทในปี 2017 สู่มูลค่าตลาดราว 1 แสนล้านบาทภายในปี 2021 ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีความคุ้นชินกับ e-Payment มากขึ้น

 อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคออนไลน์ชาวไทยกว่า 39% ยังนิยมการชำระเงินแบบเก็บเงินปลายทาง (Cash on Delivery: COD) เทียบกับในประเทศจีนที่มีเพียง 8% ลักษณะเฉพาะดังกล่าวนี้เป็นความท้าทายสำคัญต่อการเติบโตของ e-Payment ผ่าน e-Commerce ของไทย ทั้งนี้ หากในอนาคตผู้บริโภคสามารถชำระเงินปลายทาง (COD) ด้วย QR code ได้ ก็จะช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจ e-Commerce เนื่องจากความปลอดภัยที่มากกว่าการเก็บเงินสด อีกทั้งยังไม่ต้องจำกัดจำนวนเงินเมื่อพนักงานมาส่งสินค้า เพียงแค่สแกน QR รับชำระเงินตรงไปที่บริษัทได้เลย

 

การชำระเงินเพื่อซื้อของออนไลน์ในไทยส่วนใหญ่ทำผ่านบัตรเดบิต/เครดิต และการชำระเงินปลายทาง

หน่วย: % ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งหมด

 

ที่มา: ผลสำรวจของ EIC ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2017 และ Worldpay

 

สังคมไร้เงินสดจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการพัฒนาฟินเทคด้านอื่นๆ ต่อไป

จากกรณีศึกษาของจีนและอินเดีย พบว่าการที่ผู้คนหันมาใช้ e-Payment มากขึ้นจะเป็นการสร้างฐานข้อมูลด้านการเงินของเหล่า SMEs และบุคคลทั่วไป ทั้งข้อมูลด้านจำนวนเงินที่หมุนเวียนในบัญชี ประเภทของการใช้จ่าย ช่วงเวลาที่มีเงินเข้า-ออก และอื่นๆ ซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดได้เป็น credit scoring หรือข้อมูลด้านเครดิตที่สถาบันการเงินสามารถนำมาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อ nano-finance ได้ อีกทั้งยังนำไปสู่การนำเสนอบริการทางการเงินรูปแบบอื่นๆ เช่น การบริการความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Private Wealth Management) และการประกันภัย (insurance) ทั้งนี้ หากบริการทางการเงินในรูปแบบต่างๆ สามารถเข้าถึงประชาชนและธุรกิจได้เป็นวงกว้าง ก็จะเป็นการช่วยพัฒนา SMEs ไทย ช่วยการวางแผนทางการเงินของประชาชน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนของรัฐบาลเพื่อการกำหนดนโยบายช่วยเหลือที่ถูกต้องและตรงจุดในระยะต่อไปอีกด้วย

 

E-Payment ที่พัฒนาขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนาฟินเทคด้านอื่นๆ ด้วย

หน่วย: % ของบริการด้านการเงินและการธนาคารที่มีการใช้ฟินเทค

ที่มา: DBS Bank, 2016

 

 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics วิเคราะห์ 15 ธุรกิจแนวโน้มสดใสโตตาม 5 เทรนด์เศรษฐกิจปี 2561

เทรนด์แรกที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง 2-3 ปีก่อน คือ เทรนด์การลงทุนภาครัฐ ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินก่อสร้างกว่า 7.7 แสนล้านบาท จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ส่วนใหญ่อยู่ในระยะก่อสร้าง โครงการลงทุนและจัดซื้อตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 โดยภาครัฐฯ ได้เร่งการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ธุรกิจเด่นที่ได้รับอานิสงค์ คือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจที่ปรึกษาการก่อสร้าง/สิ่งแวดล้อม ธุรกิจขาย/ให้เช่าเครื่องจักรกลก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น เพราะนโยบายพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) ทำให้มีการลงทุนก่อสร้างโรงงาน สำนักงาน ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เป็นแรงหนุนธุรกิจกิจกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า

เทรนด์ท่องเที่ยวไทย ปีจอยังคงกระแสดีอย่างต่อเนื่อง TMB Analytics คาดการณ์ไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 37.0 ล้านคนในปีหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7  สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎร์ธานี ฯลฯ  ธุรกิจดาวเด่นที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้คือ ธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร ธุรกิจขนส่ง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่รออยู่คือ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวนั้นท่องเที่ยวในไทยนานขึ้นและกระจายนักท่องเที่ยวสู่จังหวัดอื่นๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการบ้านที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬายังต้องคิดต่อไป

เทรนด์สังคมสูงวัยและใส่ใจสุขภาพ มีอิทธิพลต่อธุรกิจและเศรษฐกิจไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอัตราประชากรสูงอายุที่คาดว่าปีหน้า จะมีจำนวนกว่า 10.5 ล้านคน หรือร้อยละ 16.0 ของจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 12.3 ล้านคน ในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากเม็ดเงินใช้จ่ายเพื่อการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพที่เพิ่มตามจำนวนผู้สูงอายุแล้ว กระแสการดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย เล่นกีฬา เช่น การวิ่งออกกำลังกาย ฟิตเนส โยคะ แบดมินตัน ยังคงทำให้การใช้จ่ายด้านกีฬาและสันทนาการเพิ่มขึ้น ธุรกิจดาวเด่นตามเทรนด์นี้ คือ  ธุรกิจดูแลผู้สูงวัย ร้านขายยาและอาหารเสริม ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกาย

เทรนด์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เทรนด์ล่าสุด ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป สหรัฐฯ และตลาดเกิดใหม่ในโซนเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้ยอดส่งออกของไทย 10 เดือนแรกขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 9.7 TMB Analytics คาดว่า ส่งออกไทยนี้ปี จะขยายตัวได้ร้อยละ 8 และคาดว่าจะเป็นแรงเหวี่ยงต่อเนื่องหนุนส่งออกไทยปีหน้าขยายตัวได้อีก ร้อยละ 4.8 ซึ่งธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลดีส่งออกได้มากขึ้น คือ ธุรกิจส่งออกอาหารแปรรูป ธุรกิจส่งออกผัก/ผลไม้ และ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

เทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัล สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกจากเดิมเข้าสู่การค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น นอกจากพฤติกรรมการจับจ่ายของคนไทยจะเปลี่ยนมาซื้อสินค้าบริการผ่านอินเตอร์เน็ตแล้ว ระบบการชำระเงินผ่านบริการพร้อมเพย์(Prompt Pay) อินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้ง(internet banking) แอปพลิเคชันบนมือถือ(mobile application) ที่เชื่อถือได้ ใช้งานได้ง่าย และประหยัด ยังมีส่วนช่วยเร่งการจับจ่ายผ่านระบบออนไลน์อีกทาง TMB Analytics คาดการณ์ว่า ปี 2561 มีมูลค่ากว่า  9.2 แสนล้านบาทและขยายตัวเป็น 3.0 ล้านล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 ต่อปี ธุรกิจที่ได้รับอานิสงค์โดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ ธุรกิจขายของออนไลน์(สินค้าอุปโภคบริโภค) ธุรกิจขนส่งสินค้า ธุรกิจบริการด้านไอที

ยืนยง  ทรงศิริเดช หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารการปฏิบัติการและประสิทธิภาพธุรกิจสาขา ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า  ธนาคารมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในแบบลูกค้าต้องการ  โดยเห็นว่าช่องทางสาขาคือช่องทางในการให้บริการลูกค้าที่มีความสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ทีเอ็มบีจึงได้พัฒนาสาขารูปแบบใหม่ สำหรับลูกค้าในยุคดิจิทัล  “ TMB Digital Branch Banking  Experience” เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการบริการในสาขาเพื่อไปสู่ธนาคารรูปแบบใหม่รายแรกของไทย นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะนำไปสู่ก้าวต่อๆ ไปในการให้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้ง

  TMB Digital Branch Banking Experience  เป็นการนำเทคโนโลยีการออกแบบช่องทางการบริการมาผสานเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล  ช่วยให้กระบวนการธุรกรรมมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น ลดระยะเวลารอคอย เกิดประสบการณ์ใหม่ที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน  โดยการบริการที่ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับการใช้งานดังกล่าว มีอยู่ 4 ส่วน ประกอบด้วย 1. การนัดหมายล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ (New Queue Platform)  2. บริการข้อมูลผลิตภัณฑ์และการบริการต่างๆ ผ่าน อี-โบรชัวร์ (E-Brochure) 3. เทคโนโลยี VDO Conference เพื่อให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจาก TMB Advisory 4. เจ้าหน้าที่ Navigator พร้อมอุปกรณ์ที่จะให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับการใช้บริการทุกธุรกรรม

         ยืนยง ทรงศิริเดช หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารการปฏิบัติการและประสิทธิภาพธุรกิจสาขา ทีเอ็มบี

ยืนยงกล่าวถึงรูปแบบสาขาว่า การออกแบบภายในจะเน้นการสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรเพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจการเปลี่ยนผ่านการให้บริการนี้ โดยในระยะแรกต้องสร้างความเข้าใจทีละขั้นตอนเพื่อสร้างความคุ้นเคย ซึ่งจากการทดลองใช้งานมาช่วงหนึ่ง พบว่าลูกค้าชอบบริการที่นำมาใช้กับสาขารูปแบบใหม่  จึงนำไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการที่สาขาเป็นแบบบริการตัวเองเพิ่มมากขึ้น

 รูปแบบของสาขาใหม่นี้เป็นอีกก้าวสำคัญของการให้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งของทีเอ็มบี โดยยึดหลักให้ลูกค้าเข้าถึงง่าย มีความสะดวกสบายและรวดเร็ว  นำความต้องการพื้นฐานมาสู่ประโยชน์ของลูกค้าและสร้างรูปแบบบริการตัวเองที่จะช่วยให้ลูกค้าติดต่อกับธนาคารได้ง่ายขึ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการธนาคาร  แต่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงิน ทีเอ็มบีจึงมุ่งเน้นการเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานก่อนเป็นอันดับแรก

 ประสบการณ์รูปแบบใหม่ผ่านสาขานี้จะให้อำนาจกับลูกค้าในการเลือกอะไร ที่ไหน และอย่างไร ตามความสะดวกของแต่ละคน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตัดขาดการสื่อสารกับคนด้วยกัน หากพอใจจะขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่โดยตรงมากกว่าผ่านระบบการบริการแบบครบวงจร ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสาขาจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้เข้าถึงช่องทางบริการทางดิจิทัล และจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายจากการเปลี่ยนผ่าน

        เจ้าหน้าที่ของสาขาจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้เข้าถึงช่องทางบริการทางดิจิทัล

 ทั้งนี้ สาขารูปแบบใหม่จะนำร่องให้บริการใน 15 สาขา ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ประกอบด้วย เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, สยามพารากอน, ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต, เดอะมอลล์ บางแค, ซีคอนสแควร์, เซ็นทรัลพระรามเก้า, เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ, แฟชั่นไอแลนด์, เซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัลเวิลด์, เดอะมอลล์บางกะปิ, เซ็นทรัล มหาชัย และทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่

 

รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ประธานกรรมการ TMB เปิดเผยว่า เนื่องจากบุญทักษ์ หวังเจริญ แจ้งความประสงค์ที่จะดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ศกนี้     คณะกรรมการธนาคารจึงได้พิจารณาสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน และได้มีมติแต่งตั้ง ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เป็นผู้สานต่อภารกิจในการนำธนาคารก้าวไปข้างหน้า ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป

รังสรรค์กล่าวว่า “การแต่งตั้งคุณปิติ นี้ นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านที่มีความต่อเนื่องและราบรื่น โดยคุณบุญทักษ์ได้ปฏิบัติภารกิจหลักสำคัญสองประการหลังจากที่มีการต่อสัญญาให้ทำหน้าที่ต่ออีก 2 ปีเมื่อปลายปี 2559  คือการวางรากฐาน Digital Transformation ให้กับธนาคารและการร่วมสรรหาผู้ที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งทำให้ TMB พร้อมแล้วสำหรับผู้นำคนใหม่ที่จะมาทำหน้าที่นี้ต่อไปเพื่อดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ของธนาคาร ทั้งนี้คณะกรรมการธนาคารเล็งเห็นว่าคุณปิติเป็นนักการธนาคารที่มีวิสัยทัศน์และความรู้ความสามารถ และได้ร่วมงานกับธนาคารมาตั้งแต่ช่วงที่คุณบุญทักษ์เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมวางกลยุทธ์และดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายของธนาคาร ยิ่งไปกว่านั้นคุณปิติยังมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของTMBเป็นอย่างดี คณะกรรมการธนาคารจึงเชื่อมั่นว่า คุณปิติจะสามารถนำTMBให้รุดหน้าต่อไปในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแผนที่ได้วางไว้”

ประวัติของ ปิติ อายุ 47 ปี เป็นนักการธนาคารที่มีประสบการณ์ เข้าร่วมงานกับTMBในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน       นายปิติจบการศึกษาปริญญาเอก สาขาการบริหารกลยุทธ์ ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA) และ ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหการ ก่อนจะดำรงตำแหน่งปัจจุบัน ปิติมีประสบการณ์ในวงการธนาคารมากว่า 25 ปี ครอบคลุมทั้งด้านลูกค้าธุรกิจ, ด้านลูกค้า SME, ด้านลูกค้ารายย่อย และธุรกิจตลาดทุน นอกจากนั้นยังมีประสบการณ์การเป็นกรรมการอิสระของรัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน 

รังสรรค์กล่าวด้วยว่า “ในนามของคณะกรรมการธนาคาร ผมขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณคุณบุญทักษ์ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอุทิศตน และได้ใช้ความรู้ความสามารถในการดำเนินงานอย่างมีกลยุทธ์เพื่อปฏิรูปและพลิกโฉมธนาคารให้เป็นTMBในวันนี้ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่ได้รับมอบหมายภารกิจที่มีความท้าทายอย่างยิ่งในการตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่าย คุณบุญทักษ์ได้ริเริ่มและนำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมาสู่TMB ด้วยการปรับองค์กรให้เป็นองค์กรที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้องค์กรมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ สร้างแบรนด์TMBตามปรัชญา Make THE Difference ของธนาคาร อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาบุคลากรอย่างเข้มข้น บริหารจัดการด้านการเงินและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับธนาคาร ซึ่งทำให้TMBมีความมั่นคงและมีศักยภาพที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดีด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นผู้นำและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการธนาคารไทย รวมทั้งยกระดับให้TMBเป็นธนาคารชั้นนำที่สามารถตอบโจทย์ของผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคมโดยรวม”

ในโอกาสนี้ บุญทักษ์ ได้กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณลูกค้า คณะกรรมการธนาคาร และเพื่อนพนักงาน ที่ได้เคียงข้างกันมาบนเส้นทางการ ‘Make THE Difference เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น’  ด้วยรากฐานที่มั่นคงในทุกด้าน ตลอดจนการมีแผนกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวที่ชัดเจนในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพและคล่องตัวสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล        มีธรรมาภิบาลในการกำกับดูแลกิจการ ประกอบไปด้วยทรัพยากรบุคคลคุณภาพ ผมเชื่อมั่นว่า TMBจะทะยานก้าวหน้าไปได้เร็วยิ่งกว่าเดิมในยุคดิจิทัล เป็นธนาคารที่ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง (Need-based) ให้ลูกค้าใช้งานง่าย (Simple & Easy) จนทำให้ลูกค้าชื่นชอบและบอกต่อให้คนรอบข้างมาใช้บริการของTMBมากยิ่งขึ้นต่อไป”

บุญทักษ์ เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารTMB เมื่อวันที่  14 กรกฎาคม 2551 และเป็นผู้นำในการวางรากฐานทางการเงินที่ทำให้TMBพ้นจากภาวะขาดทุนสะสมกว่าหนึ่งแสนล้านบาท พลิกกลับมาเป็นธนาคารที่มีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง มีความสามารถในการทำกำไรและเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ในงวดผลประกอบการปี 2553 นับเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในรอบ 14 ปี   และเป็นผู้ที่นำการสร้างแบรนด์TMB Make THE Difference เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรให้ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรโดยเป็นธนาคารไทยที่นำแนวคิด LEAN มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นำเสนอแนวคิดใหม่ในด้านการธนาคาร เช่น แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เงินฝากเป็นกลุ่มบัญชีเพื่อใช้ เช่น TMB All Free และกลุ่มบัญชีเพื่อออม เช่น TMB No Fix และเป็นธนาคารแรกในไทยที่ยกเลิกการคิดค่าธรรมเนียมโอนเงินข้ามเขต ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากความเข้าใจในปัญหาและความต้องการของลูกค้า พร้อมกันนี้ได้นำธนาคารก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการพัฒนาองค์กรและวิธีการทำงานให้มีความรวดเร็วในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นผู้ริเริ่มการธนาคารรูปแบบใหม่สำหรับยุคดิจิทัล ME by TMB บัญชีดิจิทัลที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีทั่วไป และบุญทักษ์ยังได้ริเริ่มการให้บริการกองทุนรวมแก่ลูกค้าทุกคน ด้วยแนวคิด  TMB Open Architecture เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนผ่านสาขาของTMBในกองทุนดีๆจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่งโดยไม่ผูกติดอยู่กับบริษัทในเครือเท่านั้น เพื่อผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก รวมทั้งเปิดให้บริการที่ปรึกษาและจัดพอร์ตการลงทุน TMB Advisory ทำให้ลูกค้ามีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายการลงทุนที่ลูกค้าต้องการ ทั้งนี้ลูกค้ายังสามารถรับบริการผ่านช่องทางดิจิทัลได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผลงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ โดยได้ริเริ่มการจัดอบรม LEAN Supply Chain ฟรีให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภายใต้ซัพพลายเชนของธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อให้มีความรู้และทักษะสามารถนำ LEAN ไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการการทำงานและพัฒนากิจการของตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันเพื่อความสำเร็จและการเติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย

ทั้งนี้ TMB ยังคงดำเนินการต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์ 5 ปีที่วางไว้ต่อไปภายใต้การนำของคุณปิติ โดยยังคงมุ่งเป็นธนาคารที่ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าอย่างตรงจุด (Need Based) ลูกค้าใช้งานง่ายและสะดวก (Simple & Easy) เป็นธนาคารที่ให้บริการ Transactional Banking ที่ดีที่สุดที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้ลูกค้าเลือกใช้TMBเป็นธนาคารหลักและบอกต่อ เพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารไทยชั้นนำที่ทันสมัยและก้าวหน้าที่สุด

     พระราชดำรัสอำลาประชาชนในค่ำวันที่ 13 มิถุนายน 2503 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง 4 พระองค์ เสด็จฯ เยือนฮาวายเป็นแห่งแรกของการเยือนสหรัฐอเมริกา ความตอนหนึ่งว่า

“...เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในสมัยนี้ประเทศต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่เสมอ จะว่าชนทุกชาติเป็นญาติพี่น้องกันก็ว่าได้ จึงควรพยายามให้รู้จักนิสัยใจคอกัน ทั้งผูกน้ำใจกันไว้ให้ดีด้วยการผูกน้ำใจกันไว้นั้น ธรรมดาญาติพี่น้องก็ไปเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แต่สำหรับประเทศนั้น ประชาชนนับแสนนับล้านจะไปเยี่ยมเยียนกันยาก เขาจึงยกให้เป็นหน้าที่ประมุขของประเทศในการไปเยี่ยมประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าก็จะแสดงต่อประชาชนของประเทศเหล่านั้น ว่าประชาชนชาวไทยมีมิตรจิตมิตรใจต่อเขา และข้าพเจ้าจะพยายามเต็มที่ เพื่อให้ฝ่ายเขารู้จักเมืองไทย และให้เกิดมีน้ำใจดีต่อชาวไทย...

     พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนต่างประเทศหรือที่เรียกว่า State Visit มีคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมหาศาล หากนึกย้อนไปถึงในช่วงต้นพุทธศักราช 2500 ที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศเกษตรกรรม หนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริการายงานว่าไทยมีพื้นที่ประมาณ 200,000 ตารางไมล์ มีประชากรเพียง 18 ล้านคน ในด้านการท่องเที่ยวเราก็เพิ่งจะจัดตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว (อสท.) ในปี 2503 อาจกล่าวได้ว่าเรายังไม่เป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลกสักเท่าใดนัก

     การที่องค์พระประมุขของชาติเสด็จฯ เยือนประเทศต่างๆ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างกัน แม้เป็นลักษณะของอาคันตุกะ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9และสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะทูตไปพร้อมกัน และด้วยพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ ส่งผลสะท้อนทำให้ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยปรากฏสู่สายตาชาวโลก
       การเสด็จฯ เยือนต่างประเทศของพระองค์นอกจากเป็นการทำให้โลกได้รู้จัก Thai Royal Couple แล้ว ยังทำให้โลกได้รู้จักประเทศไทยในด้านต่างๆ ส่งผลให้ภายหลังจากการเสด็จฯ เยือน ธุรกิจการลงทุน รวมถึงความช่วยเหลือต่างๆ จากสหรัฐอเมริกาและยุโรปทยอยหลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง    
     อีกทั้งสิ่งที่ทั้งสองพระองค์ได้ทอดพระเนตรในระหว่างการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศยังถูกนำมาพัฒนากลายเป็นโครงการพระราชดำริที่หลากหลายโดยเฉพาะด้านการเกษตร ส่งผลดีต่อความสุขของประชาชนในชาติมาจวบจนทุกวันนี้

    นิตยสาร MBA ประมวลภาพบางส่วนของพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนต่างประเทศไว้ ณ ที่นี้

 

ขบวนพาเหรด Ticker Tape จากโรงแรมแอสเทอเรียไปตามถนนบรอดเวย์ล่าง (lower broadway) ซึ่งประมาณการว่ามีประชาชนมาร่วมชื่นชมบารมีมากถึง 750,000 คน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงฉลองพระองค์ในเครื่องแบบจอมทัพชุดขาว และประทับในรถยนต์พระที่นั่งเปิดประทุน ทรงยืนโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนที่ปรบมือถวายการต้อนรับตลอดทาง

 

เสด็จฯ เยือนบริษัทไอบีเอ็ม

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ถึงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 โดยมีประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ถวายการต้อนรับ และตามเสด็จฯ ส่งทั้งสองพระองค์ไปยังที่ประทับแรม “แบลร์ เฮาส์” อันเป็นย่านที่ผู้ดีและดารามีชื่อพำนักกันคับคั่ง

 

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงฉายพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่ามกลางฝูงชนที่นิวยอร์ก

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยี่ยมชมโรงกลั่นน้ำมัน ทอแรนซ์ ของบริษัท สแตนดาร์ด แวคคัม ออยล์ ซึ่งเป็นกิจการน้ำมันขนาดใหญ่ ก่อนที่จะถูกกฎหมาย Anti-Trust Law สหรัฐฯ ทำให้แยกเป็นสองบริษัท คือ เอกซอน และ โมบิล ออยล์ ซึ่งโมบิล ออยล์มาตั้งกิจการในไทยปี พ.ศ. 2510

 

ฉายพระรูปกับท่านประธานาธิบดีและภริยา ในงานเลี้ยงพระกระยาหารที่ทำเนียบขาว

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ฉายพระรูปกับประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ณ ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2503 ช้างที่เห็นนี้ เป็นช้างศึกไทย สลักด้วยไม้สักปิดทองที่เท้าทั้งสี่ ที่พระองค์พระราชทานแก่ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ฝ่ายประธานาธิบดีได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Legion of Merit ชั้นจอมทัพแด่พระองค์

 

ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับนักร้องชื่อก้อง เอลวิส เพรสลีย์ ขณะทรงเยี่ยมชมโรงละครพาราเมาต์

 

เสด็จฯ เยี่ยมชมเรือดำน้ำ U.S.S. Growler ของสหรัฐฯ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงบังคับเรือด้วยพระองค์เองทั้งขณะที่ลอยและดำน้ำ

 

19 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ประทับรถม้าคู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จากสถานีรถไฟวิกตอเรียไปสู่พระราชวังบักกิงแฮม ท่ามกลางทหารกองเกียรติยศและประชาชนชาวอังกฤษ ที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จทั้งสองพระองค์

 

21 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินพระที่นั่งสู่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พร้อมด้วยเจ้าฟ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเคนต์และข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินฯ ตรวจพลแถวทหารกองเกียรติยศ ร่วมกับประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์ ที่หน้าตึกรัฐสภา

 

 สมเด็จพระบรม-ราชินีนาถทรงสัมผัสพระหัตถ์ด้วยดวงพระพักตร์เปี่ยมด้วยไมตรีจิต

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าแก่ไฮนริช ลุบเกประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และภรรยา

 

ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราช-ดำเนินเยี่ยมโรงเรียนนายเรือโปรตุเกส

 

วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมบริษัทอีสต์เอเซียติก ประเทศเดนมาร์ก

 

เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจการของโรงงานผลิตเครื่องเฟอร์นิเจอร์ ทางทิศเหนือของนครโคเปนเฮเกน

 

ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ พร้อมด้วยสมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์ก สมเด็จพระราชินีอิงกริด และเจ้าฟ้าหญิงแห่งราชวงศ์เดนมาร์กทั้งสองพระองค์ เสด็จฯ ลงสู่ชั้นล่างของเรือยุตแลนเดีย

 

ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ทรงพระราชปฏิสันถารกับพระสันตะปาปา ประมุขของคริสตจักรกันพอสมควรแก่เวลาแล้วได้ทรงอำลาเสด็จพระราชดำเนินกลับที่ประทับ

 

Page 3 of 5
X

Right Click

No right click