December 24, 2024

กรุงเทพฯ ประเทศไทย - บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เดินหน้าจับมือโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ต่อยอดความสำเร็จจากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดตั้งแต่ปี 2566 เพื่อให้ประชาชนภายในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถเข้าถึงการตรวจหาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ในปีนี้เราได้ขยายขอบเขตความร่วมมือสู่การวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยเฉพาะราย รวมถึงการสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่ครอบคลุม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มดำเนินการในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปอดและมะเร็งตับเป็นกลุ่มนำร่อง ทั้งยังช่วยสนับสนุนการเข้าถึงการตรวจหายีนส์กลายพันธุ์และร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะแรกเริ่มซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในเพิ่มโอกาสรอดชีวิต

โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลศูนย์ของภาคตะวันออก พื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาล 8 โรงพยาบาล ครอบคลุมผู้ป่วยในจังหวัดจันทบุรี ตราด สระแก้ว และ 3 อำเภอของจังหวัดระยอง อาคารศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง ดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “มะเร็งรักษาหายได้ หากได้รับโอกาสในการรักษา” โดยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เข้ามารับการรักษาที่ศูนย์แห่งนี้อยู่ที่ประมาณ 2,000 คนต่อปี และพบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่สูงถึง 200 คน ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในระยะสุดท้าย จากความร่วมมือกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ประกอบการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในปี 2566 ที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า และโรงพยาบาลในเครือข่าย ส่งผลให้พบผู้ป่วยในระยะแรกเริ่มได้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงขยายไปสู่โรคปอดอื่น ๆ เช่น ถุงลมโป่งพอง หอบหืด วัณโรค และ โรคหัวใจ เช่น

หัวใจล้มเหลว เป็นต้น นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีศูนย์ Clinical Research Center ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก เพื่อศึกษาวิจัยยาใหม่ในผู้ป่วยมะเร็ง

 

นายแพทย์ธีรพงศ์ ตุนาค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในภาคตะวันออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับโรคมะเร็งซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย การลงนามความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระปกเกล้าเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้มีความครอบคลุมการพัฒนาในทุกมิติ ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และการคัดกรองโรคในระยะเริ่มต้น การพัฒนาระบบการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การรักษาที่แม่นยำเฉพาะบุคคลด้วยการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม ไปจนถึงการวิจัยระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งปอดและมะเร็งตับ ซึ่งพบมากในประชากรไทย นอกจากนี้ เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ผ่านการอบรมและสัมมนาวิชาการ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และเพื่อให้โครงการนี้สามารถเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในระดับประเทศต่อไปในอนาคต”

 

ด้านนายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เผยว่า “ปัจจุบัน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญมากในประเทศไทย โดยมีโรคมะเร็งเป็นปัญหาหลัก ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลพระปกเกล้านี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้นำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่ล้ำสมัยมาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของการคัดกรองมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพและขยายผลไปสู่การตรวจในกลุ่มมะเร็งตับ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการทำงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งของโรงพยาบาลพระปกเกล้าแห่งนี้ให้สามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น”

“และเนื่องจากสถิติการตรวจพบมะเร็งในคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี แอสตร้าเซนเนก้าเล็งเห็นความสำคัญของการผลักดันให้คนไทยเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต เพราะการตรวจพบจะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้รวดเร็วขึ้น สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรค และเพิ่มโอกาสในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมแก่แพทย์ได้ แอสตร้าเซนเนก้าคาดหวังว่าการร่วมมือกับ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ในครั้งนี้จะส่งเสริมการยกระดับคุณภาพชีวิตและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทย และด้วยเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งปอด โครงการนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าที่จะช่วยให้คนไทยห่างไกลโรคร้าย เพราะสุขภาพที่ดีของทุกคนคือจุดมุ่งหมายที่เรายึดถือในการดำเนินงานมาโดยตลอด” นายโรมัน กล่าวทิ้งท้าย

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมด้วย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และ Shanghai Taihuixuan Technology Co., Ltd. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) จัดตั้งร้านค้า “THAI MALL” ในแพลตฟอร์ม E-commerce ประเทศจีน เชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ดันสินค้าเกษตรและผลไม้ไทยสู่เมืองเศรษฐกิจ เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ยกระดับภาคการเกษตรไทยในระดับนานาชาติ

นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกเป็นอย่างมาก สะท้อนได้จากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภาคเกษตรที่มีสัดส่วนจำนวนราวร้อยละ 10 ของมูลค่ารวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกผลไม้ไทยถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยมาจนถึงปัจจุบัน

แม้ในช่วงที่ผ่านมาผลผลิตทางการเกษตร อาจชะลอตัวจากความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพาะปลูกและปริมาณผลผลิต อย่างไรก็ตามด้วยคุณภาพที่ได้รับการยกย่องให้ผลไม้ไทยเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ดีที่สุดในโลก ได้รับการยืนยันจากมาตรฐานสากล ทำให้ผลไม้ไทยยังคงมีความต้องการในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน ที่มีปริมาณการส่งออกทุเรียน มังคุด ลำไย ในช่วง มกราคม - ตุลาคม 2567 คิดเป็นปริมาณ 1,253,208.1 ตัน หรือมีมูลค่ากว่า 130,372.7 ล้านบาท

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงศักยภาพและความสำคัญของภาคการเกษตรไทยในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ จึงมุ่งมั่นพัฒนามาตรฐานของผลผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพสูง มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก โดยให้การสนับสนุนเกษตรกรในด้านการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเพาะปลูก การปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และ รักษาคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐานสากล

นายปณิธาน มีไชยโย ผู้อำนวยการ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เปิดเผยว่า อ.ต.ก. พร้อมด้วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ Shanghai Taihuixuan Technology Co., Ltd. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อจัดตั้งร้านค้า “THAI MALL” ในแพลตฟอร์ม E-commerce ของประเทศจีน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง โดย อ.ต.ก. มีหน้าที่ในการจัดหา คัดเลือกผลไม้ที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งจัดส่งไปยังเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศจีน ได้แก่ มหานครเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับอีกขั้นของภาคเกษตรไทย เพื่อขยายตลาดสินค้าเกษตร เชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานให้มีความสมบูรณ์ โดยมีเป้าหมายในการเปิดแบรนด์สินค้าในร้านค้าดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 10 ร้าน ภายในเดือนกันยายน ปี 2568

อีกทั้งนับเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้ภาคการเกษตรของประเทศไทย ได้มีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มห่วงโซ่อุปทานของโลก (Global E-commerce Platform) ผ่านการขยายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน ในระบบ E-commerce ต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดประเทศจีน ซึ่งมีความต้องการสินค้าเกษตรของไทยในปริมาณสูง และ เป็นการเชื่อมโยงระบบการค้าไทยไปสู่ประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพในอนาคต

ด้าน Mr.Chen Zhifa ประธานกรรมการบริษัท Shanghai Taihuixuan Technology Co., Ltd. กล่าวว่า ประเทศจีนให้การยอมรับในสินค้าทางการเกษตร รวมถึงผลไม้ของไทยมาอย่างยาวนาน โดยบริษัทมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือในครั้งนี้ โดยเป็นตัวกลางเชื่อมต่อสินค้าคุณภาพของไทยไปยังแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐาน และไปสู่เมืองที่มีความต้องการสินค้าสูง

โดยบริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการค้าสินค้าออนไลน์ มีความพร้อมด้านขนส่ง โกดังเก็บสินค้า รวมถึงสามารถเข้าถึง และ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลบนแพลตฟอร์ม E-commerce ของจีนได้เป็นอย่างดี ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทย รวมถึงเป็นกำลังในการส่งเสริมความแข็งแกร่งของสินค้าไทยในระดับนานาชาติ

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานประธานในพิธี และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง การบูรณาการเพื่อการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความจําเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล เพื่อวางกรอบความร่วมมือในการบูรณาการทำงานคุ้มครองสิทธิผู้ใช้พลังงานเชิงรุก ให้ผู้ใช้พลังงานที่มีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลได้รับการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าในทุกกรณี โดยมี นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือดังกล่าว ณ ห้องประชุม 9 ชั้น 15 กระทรวงพลังงาน อาคาร บี ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์

 

ผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบด้านระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ พร้อมตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล ในการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าได้ในกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแล หรือมีผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า ในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าว MEA ดำเนินการตามประกาศของ สำนักงาน กกพ. มาอย่างต่อเนื่อง โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อเดินเครื่องมือทางการแพทย์ โดยเปลี่ยนเป็นการทำงานเชิงรุกผ่านการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ MEA สามารถเข้าถึง และดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อให้กลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์ได้รับพลังงานไฟฟ้าอย่างเพียงพอ และต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อต่อสุขภาพผู้ป่วย

นอกจากนี้ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานดังกล่าว ยังครอบคลุมถึงการร่วมกันพัฒนาฐานข้อมูล หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละหน่วยงานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก เป็นปัจจุบัน และสามารถนำไปใช้ตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานได้ ตลอดจนสนับสนุน เผยแพร่ข้อมูล และเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนผู้ใช้พลังงานที่หน่วยงานภาครัฐได้ให้ความคุ้มครอง เกี่ยวกับการได้รับสิทธิการยกเว้นการงดจ่ายไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า หรือผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีบุคคลอยู่ในความดูแล หรือ มีผู้ป่วยที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล มิให้ได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการงดจ่ายไฟฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม การร่วมมือครั้งนี้ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของ MEA และหน่วยงานพันธมิตรในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยมุ่งหวังให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาเครื่องมือทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นในระบบบริการด้านพลังงานที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ MEA พร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้การจัดการด้านพลังงานเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และสร้างความมั่นคงให้แก่ประชาชนในทุกมิติ อันสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนในอนาคต

นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง และดร.ธนวันต์ สินธุนาวา นายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การขับเคลื่อนสถานศึกษาคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) โครงการ Energy Mind Award Season 2 ระหว่าง MEA และสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) พร้อมมอบรางวัลกิจกรรมการประกวดคลิปสั้นหัวข้อ "การอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน โครงการ Energy Mind Award Season 2 " โดยมี นายสมบัติ จันทร์กระจ่าง รองผู้ว่าการ MEA เป็นผู้มอบรางวัล

นอกจากนี้ MEA เปิดสตูดิโอให้เยาวชนเยี่ยมชมการทำงานเบื้องหลังถ่ายทำผลิตรายการ และเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าชิดลมที่มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทันสมัยในการควบคุมระบบไฟฟ้าที่เรียกว่า ระบบ SCADA/EMS/DMS (Supervisory Control and Data Acquisition/Energy Management System/Distribution Management System) ใช้ในการตรวจสอบสถานะของการจ่ายกระแสไฟฟ้า วิเคราะห์สถานการณ์หรือสภาพการจ่ายกระแสไฟฟ้า การทำงานของระบบควบคุมไฟฟ้า ช่วยให้การบริหารจัดการควบคุมแรงดันและการจ่ายกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพ มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ณ การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานเพลินจิต

 

ผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายที่จะต่อยอดจากการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยพัฒนาสถานศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ก้าวไปสู่การเป็นสถานศึกษาต้นแบบด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สร้างเสริมนักเรียนให้เป็นเยาวชนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นนักเรียนแกนนำด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ปลูกฝังและสร้างเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว (Green Youth) ส่งมอบสู่สังคมไทย เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมต่อไป

เมื่อเร็วๆ นี้ มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการทดลองนำร่องการสนับสนุนสถานศึกษา เพื่อกระจายการเพิ่มศักยภาพของคนพิการ ระหว่างกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเจ้าภาพ กับมหาวิทยาลัยเครือข่าย ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยมีนายอนุกูล ปิดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. เป็นประธานในพิธี เพื่อเสริมสร้างความรู้ ทักษะและสนับสนุนการฝึกอบรมฝึกงานเพื่อการพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพของคนพิการ และ ส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย การสร้างนวัตกรรม การสร้างสิ่งประดิษฐ์ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการส่งเสริมการทำงานแก่คนพิการ รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ

Page 1 of 10
X

Right Click

No right click