

วัตสัน แบรนด์สุขภาพและความงามชั้นนำของ เอเอส วัตสัน กรุ๊ป ประกาศเปิดตัว "The Watsons Family" ตัวการ์ตูนลิขสิทธิ์สุดน่ารัก (Intellectual Property: IP) ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้าทั่วเอเชีย ด้วยคาแรกเตอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ 16 ตัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนบุคลิกภาพตาม MBTI ที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้า ขณะเดียวกันเปลี่ยนกิจวัตรด้านสุขภาพและความงามในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและสร้างการแบ่งปันได้
จาเร็ด เดอกุซมัน (Jared DeGuzman) Customer Director of Brand Marketing วัตสัน อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “The Watsons Family เป็นตัวแทนที่สื่อถึงการพัฒนากลยุทธ์ของเราจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมสู่การเปลี่ยนแปลงมาเป็นร้านค้าที่เน้นประสบการณ์ เราใช้พลังการเล่าเรื่องผ่านคาแรกเตอร์ ไม่ได้แค่ขายสินค้า แต่กำลังสร้างจักรวาลสุขภาพและความงาม ให้กลายเป็นแหล่งรวมของความสุข แรงบันดาลใจ เชื่อมโยงชุมชน และลูกค้าของเราทั่วเอเชีย"
การเข้าถึงโอกาสจากการเติบโตในตลาดลิขสิทธิ์ IP ที่พุ่งแรง
คาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์กำลังพลิกโฉมตลาดโลก และกลายเป็นเทรนด์สำคัญสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเพิ่มการจดจำ ความภักดีของลูกค้า และส่วนแบ่งทางการตลาด โดยในปี 2567 มูลค่าการซื้อขายสินค้าที่เกี่ยวกับ IP ในเอเชียเติบโตขึ้นถึง 448.94% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้ยอดขายและจำนวนออเดอร์เพิ่มขึ้นกว่า 200%* ตอกย้ำถึงคุณค่าที่เพิ่มขึ้นของประสบการณ์แบรนด์เชิงสร้างสรรค์และการเข้าถึงอารมณ์อย่างชัดเจน
เพื่อคว้าโอกาสในตลาดที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและตอบรับความคาดหวังของผู้บริโภค วัตสันวางแผนเปิดตัว “The Watsons Family” ที่ฮ่องกงเป็นตลาดแรก เพื่อทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์สำหรับการขยายตัวในภูมิภาค ก่อนทยอยเปิดตัวในตลาดอื่นทั่วเอเชีย รวมถึงจีนแผ่นดินใหญ่ มาเลเซีย ไต้หวัน และไทย พร้อมแคมเปญการตลาดที่จะพาลูกค้าดื่มด่ำกับความสดใสและมีชีวิตชีวาของคาแรกเตอร์เหล่านี้
สำหรับการเปิดตัวในฮ่องกง มี 3 คาแรกเตอร์หลัก ได้แก่ Sunny (แชมป์สุขภาพ), Kilo (โค้ชฟิตเนสจอมพลัง) และ Flora (มาสก์หน้าสุดเปล่งประกาย) ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สุขภาพ และความงามตามลำดับ โดยตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ลูกค้าจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่จักรวาล The Watsons Family ผ่านแคมเปญสุขภาพที่มีชีวิตชีวา ในช่วงนี้ร้านวัตสันจะถูกแปลงโฉมใหม่ด้วยภาพลักษณ์สีสันสดใส ที่เหล่านักชอปจะได้เพลิดเพลินไปกับความขี้เล่นของตัวการ์ตูน พร้อมตื่นเต้นไปกับกิจกรรมออนไลน์และแคมเปญโซเชียลพิเศษเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมในทุกแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงเตรียมเปิดตัวกิจกรรม Meet & Greet สุดพิเศษกับเหล่าคาแรกเตอร์ The Watsons Family เพื่อสร้างความสนุกให้แฟนๆ อย่างใกล้ชิด
เพื่อผสาน The Watsons Family เข้ากับชีวิตประจำวัน วัตสันเตรียมออกผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า “วัตสัน” ในบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคาแรกเตอร์เหล่านี้ในตลาดฮ่องกง มาเลเซีย ไต้หวัน และไทย ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและของใช้ประจำวัน ซึ่งจะเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลตัวเองให้สนุกมากขึ้น ด้วยดีไซน์พิเศษที่สะสมได้
วัตสันมุ่งมั่นที่จะทำให้ผู้คนมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดี เปล่งประกายความงามจากภายในสู่ภายนอก ควบคู่ไปกับการทำความดีเพื่อผู้อื่นและสังคม ตามสโลแกน LOOK GOOD, DO GOOD, FEEL GREAT ดังนั้นการขับเคลื่อนนวัตกรรมผ่านการเปิดตัว The Watsons Family ในครั้งนี้ วัตสันมีเป้าหมายที่จะสร้างคอมมูนิตี้ที่มีส่วนร่วมและเชื่อมโยงทางอารมณ์อย่างแท้จริง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมค้นพบความสนุก ความมั่นใจ และการดูแลตัวเอง ผ่านการเล่าเรื่องและประสบการณ์เชิงสร้างสรรค์

พบกับ The Watsons Family - ตัวละคร 16 คาแรกเตอร์ โดยแต่ละตัวได้รับแรงบันดาลใจจากบุคลิกภาพ MBTI
ที่แตกต่างกัน เป็นตัวแทนของความสุขของความงาม สุขภาพ และการดูแลตนเองในแบบที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้

ผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘วัตสัน’ ได้รับการออกแบบใหม่ด้วยคาแรกเตอร์ The Watsons Family
เปลี่ยนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ให้กลายเป็นประสบการณ์การดูแลตนเองที่ขี้เล่นและสะสมได้
เดินหน้าขยายพื้นที่ THAIFEX – ANUGA ยิ่งใหญ่กว่าเดิม รองรับผู้ร่วมงานที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก
KBTG ในฐานะผู้พัฒนาแอปพลิเคชันจัดการเงิน MAKE by KBank พบเทรนด์การเงินของคนไทยกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นเพียงการออมเงิน โดยปัจจุบันผู้ใช้งานส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการ “แบ่งเงินเพื่อคุมรายจ่ายในชีวิตประจำวัน” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงการมีวินัยทางการเงินที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำการพัฒนา Cloud Pocket ให้มีประสิทธิภาพ หนุนความนิยมต่อเนื่อง
นายเชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร Managing Director กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานแอปพลิเคชัน MAKE by KBank ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับวางแผนบริหารเงินอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธี “แบ่งเงินเพื่อคุมรายจ่ายในชีวิตประจำวัน” สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจาก “การออมเงินอย่างเดียว” ไปสู่ “การวางแผนใช้จ่ายอย่างมีระบบ” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวินัยทางการเงินที่ยั่งยืน
จากข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน MAKE by KBank พบว่าประเภท Cloud Pocket หรือ “กระเป๋าย่อย” ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปีนี้ ได้แก่ “เงินใช้รายวัน/สัปดาห์/เดือน” “เงินค่าการเดินทาง” “เงินเพื่อจ่ายหนี้” และ “ค่าเบี้ยประกัน” แทนที่ประเภท “เงินเก็บ” ซึ่งเคยเป็น Cloud Pocket ประเภทยอดนิยมในปี 2567 โดย 6 ใน 10 ของ Cloud Pocket ที่ถูกสร้างขึ้นจะเกี่ยวกับ “รายจ่าย” เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ และค่าไฟ ส่วน Cloud Pocket ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ได้แก่ หมวดค่าที่อยู่อาศัย ที่มีการสร้างเพิ่มขึ้นถึง 9 เท่า และหมวดเกี่ยวกับกิจกรรมวิ่ง เช่น “รองเท้า” หรือ “มาราธอน” ที่โตขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งการแบ่งเงินก่อนใช้ด้วย Cloud Pocket ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมรายจ่ายได้ดีขึ้น แต่ยังมีผลต่อการออมโดยตรง ผู้ใช้สามารถสร้างกระเป๋าเงินแยกได้ไม่จำกัดตามเป้าหมายได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะแบ่งเก็บออม หรือแบ่งใช้ตามค่าใช้จ่ายที่มี จากสถิติสะท้อนว่า ผู้ที่ใช้ Cloud Pocket สามารถเก็บเงินได้มากกว่าผู้ที่ไม่มี Cloud Pocket ถึง 40% โดยกลุ่ม Gen Z นิยมแบ่งเงินแบบรายสัปดาห์ ขณะที่ Gen Y เลือกจัดการแบบรายเดือน

ทั้งนี้ ในปี 2568 แอปพลิเคชัน MAKE by KBank ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดการการเงินด้วยการเปิดตัว Cloud Pocket ใหม่ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. “Cloud Saving” หรือ Cloud ออมต่อเนื่อง ที่ออกแบบมาในรูปแบบปฏิทินออมเงิน สามารถกำหนดรูปแบบการออมได้แบบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนได้ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสร้างวินัยการออมหรือวางแผนออมเงินสำรองฉุกเฉิน 2. “Cloud Wishlist” หรือ Cloud เก็บเงินตามความฝัน ที่จะทำให้ทุกเป้าหมายใหญ่เป็นจริงได้ง่ายขึ้น ด้วยการตั้งระยะเวลาของเป้าหมายและเฉลี่ยจำนวนเงินที่ต้องเก็บแบบรายเดือน เหมาะสำหรับการเก็บเงินเพื่อเป้าหมายที่มีระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น ท่องเที่ยว ซื้อของ หรือการเตรียมเงินเพื่อจ่าย 3. “Cloud Credit Card” หรือ Cloud เตรียมจ่ายบัตรเครดิต สำหรับแจ้งเตือนให้เตรียมเงินชำระบิลบัตรเครดิตอย่างเป็นระบบ สามารถเพิ่มรายการใช้บัตร และย้ายเงินเข้าตามรายการใช้บัตรพร้อมกันได้หลายรายการ ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถอัพเกรด Cloud Pocket เดิมมาใช้รูปแบบใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือสร้างซ้ำ เพียงเข้าไปที่ Cloud Pocket ที่ต้องการ เลือกสัญลักษณ์สามจุดมุมขวาบน จากนั้นเลือก ตั้งค่า Cloud Pocket เพื่อเปลี่ยนประเภท
นายเชษฐพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแบ่งเงินอย่างมีระบบเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคงทางการเงินที่แท้จริง MAKE by KBank จึงมุ่งมั่นพัฒนาฟีเจอร์และประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการขยายพันธมิตรด้านการทำธุรกรรมทั้งการเติมเงิน-จ่ายบิล ครอบคลุมทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเทอร์เน็ต และจ่ายชำระเงินบัตรเครดิต เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานให้การจัดการเงินในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่ายและสนุก สามารถวางแผน จัดการรายรับรายจ่าย และบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในแอปเดียว
ผู้ที่สนใจต้องการเริ่มวางแผนบริหารจัดการการเงินผ่านแอป MAKE by KBank สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทาง App Store และ Google Play คลิก https://makebykbank.onelink.me/v9lf/MAKE2025 หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ที่ https://makebykbank.kbtg.tech/
นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ธนาคารออมสินจึงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารเพื่อสังคม ภายใต้ 4 ภารกิจหลัก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับประชาชนกลุ่มฐานรากและผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะบทบาทการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ธนาคารพร้อมเป็นเครื่องยนต์ทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือและประคับประคองผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวและก้าวข้ามช่วงเวลาที่ท้าทาย
ธนาคารออมสินตระหนักถึงข้อจำกัดที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง เงินทุนหมุนเวียน หรือภาระดอกเบี้ยที่สูง ธนาคารจึงพร้อมทำหน้าที่เป็น “แหล่งทุนต่อยอด” เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง เติมทุน และฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมและต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท
รวมถึงมีโครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมงและสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ล่าสุด เตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญแบ่งเป็น การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย
ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ “AI Optimized Loan Processing and Underwriting” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ “AI Chatbot for Branch” ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวความสำเร็จการจัดงาน อว.แฟร์ 2025: SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ภายใต้แนวคิด Creators of Tomorrow: คิดสร้างสรรค์ Kids สร้างอนาคต ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีและร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดล้ำด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งตลอด 9 วันของการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 720,000 ราย แบ่งเป็น On-site กว่า 222,000 ราย และ Online กว่า 498,000 ราย สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ศ.ดร. ศุภชัย กล่าวว่า การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ถือเป็นความท้าทายสำคัญของกระทรวง อว. ในการดำเนินการจัดมหกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับภูมิภาคและส่วนกลาง เพื่อมอบองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนเปิดโอกาสและจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ในการนำวิทยaศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน

ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า “อว.แฟร์ ไม่ได้เป็นเพียงงานนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ หากแต่เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมและนำเสนอผลงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ครอบคลุมทั้งด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เชื่อมโยงองค์ความรู้และนวัตกรรมกับการใช้ชีวิตจริง ตลอดจนจุดประกายโอกาสจากทักษะใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์อนาคตของประเทศ พร้อมทั้งปลุกพลังแห่งการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งสะท้อนบทบาทเชิงกลไกของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ด้วยพลังของการเรียนรู้ที่บูรณาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อมุ่งสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย”

การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ในครั้งนี้นับว่าบรรลุผลสำเร็จอย่างรอบด้าน โดยมีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญและคุณค่าของงานอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิ Facebook PR Pages, KOL Influencer, Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และ Line ซึ่งสร้างการรับรู้รวมกว่า 125 ล้านครั้ง ตลอดจนมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 720,000 คน แบ่งเป็นการเข้าร่วม On-site กว่า 222,000 คน และ Online กว่า 498,000 คน อีกทั้งยังเกิดการจับคู่เจรจาทางธุรกิจสำเร็จ 345 คู่ อันนำไปสู่การต่อยอดและขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มากกว่า 1,059 ผลงาน ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการและประชาชนกว่า 18,000 คน ได้รับการพัฒนาศักยภาพผ่านกิจกรรมสัมมนา เสวนา และเวิร์กช็อปกว่า 300 กิจกรรม พร้อมทั้งก่อให้เกิดรายได้จากการจำหน่ายสินค้านวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากหน่วยงานในสังกัด อว. ผ่านโซน Marketplace และ Craft Market รวมมูลค่ากว่า 4.3 ล้านบาท โดยมีผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้เข้าชมงานอยู่ในระดับสูงกว่า 96% ซึ่งผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของการจัดงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
อย่างไรก็ตามความสำเร็จของงาน อว.แฟร์ 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเรียนรู้ของคนไทย และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญ 3 ประการ คือ

“สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากการจัดงานในปีนี้ คือ การเรียนรู้คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเวทีให้เยาวชน นักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชน ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ ความรู้เหล่านี้สามารถต่อยอดไปสู่อาชีพ สร้างธุรกิจ และก่อให้เกิดคุณค่าที่กลับคืนสู่สังคมอย่างแท้จริง ในนามของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อว. ผมขอให้คำมั่นว่า เราจะยังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าในการสร้างปัญญา เปิดโอกาส และร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศไทย ผ่านพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม” ปลัดกระทรวง อว. กล่าวสรุป
กรมศุลกากรไทยสามารถสกัดกั้นและยึดหมึกเอปสันปลอมกว่า 7,000 ขวด ที่ลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทย จากการตรวจยึดครั้งใหญ่ 2 ครั้งในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การดำเนินการดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภคในประเทศไทย
สินค้าที่ถูกยึดได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นของปลอมและละเมิดเครื่องหมายการค้าของ บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น โดยความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างบริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่นและกรมศุลกากรไทย ภายใต้การสนับสนุนจากเอปสันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจยึดเชิงรุกต่อผู้นำเข้า และอายัดตู้สินค้าที่สงสัยว่าละเมิดสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลังการตรวจสอบและยืนยันอย่างละเอียด หมึกปลอมทั้งหมดถูกยึดถาวร และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ผู้กระทำผิดจะรับโทษตามกฎหมายไทย โดยสินค้าปลอมทั้งหมดจะถูกทำลายในพิธีทำลายประจำปีของรัฐบาลไทย สะท้อนถึงนโยบาย “ไม่ยอมรับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์” ของประเทศไทย ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่สุจริต
เอปสันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเน้นย้ำให้ผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อหมึกเอปสันจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและร้านค้าออนไลน์ที่ได้รับการรับรองเท่านั้น พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับกรมศุลกากรไทยและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ เพื่อปกป้องผู้บริโภคและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของสินค้าปลอมอย่างต่อเนื่อง
บังกี้ และ กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ป ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร หลังจากความสำเร็จในการทดสอบแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ใช้ตรวจสอบย้อนกลับถั่วเหลืองและวัตถุดิบจากถั่วเหลืองที่ยั่งยืนในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้ทั้งสองบริษัทขยายการนำเทคโนโลยีนี้มาซื้อขายถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่บังกี้จัดหาจากบราซิล ให้กับ กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) และเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) สำหรับการผลิตอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อบูรณาการระบบอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่ยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือในโครงการลดคาร์บอนที่มีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สอดคล้องกับเป้าหมายของเครือซีพีที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของบังกี้เพื่อขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู
ตั้งแต่ปี 2566 บังกี้ และซีพี ร่วมกันศึกษาห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนและเชื่อมต่อข้อมูลร่วมกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค การดำเนินงาน และความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ โดยในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทดลองนำร่องขนส่งกากถั่วเหลืองราว 375,000 เมตริกตัน ที่มีเทคโนโลยีบล็อกเชนตรวจสอบย้อนกลับกากถั่วเหลืองเหล่านี้ และด้วยข้อตกลงปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น

ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัท จะนำข้อมูลวัตถุดิบจากการจัดหาร่วมกัน มาบันทึกและซื้อขายผ่านบล็อกเชน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบย้อนกลับธัญพืชได้อย่างครบถ้วนตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก การแปรรูป และการขนส่ง จนถึงปลายทาง เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลเหล่านี้ได้ จึงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน
“ด้วยแพลตฟอร์มบล็อกเชน ทำให้เรากำลังเชื่อมต่อ การผลิตอาหารของเรา เข้ากับลูกค้าปลายทางโดยตรง โดยที่กระบวนการทั้งหมดสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยมีข้อมูลต่างๆตลอดห่วงโซ่อุปทานที่มีความรับผิดชอบอย่างครบถ้วน มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนในห่วงโซ่มีส่วนสร้างอนาคตที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความสำเร็จของโครงการนำร่องยังเปิดโอกาสให้เราขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์กับซีพี และพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เช่น เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู” ฮูลิโอ การ์รอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมของบังกี้ กล่าว
ฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า “ความร่วมมือกับผู้นำระดับโลกด้านการเกษตรอย่าง บังกี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทานของซีพี รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย การขยายความร่วมมือในครั้งนี้ ยังคลอบคลุมการเข้าถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย แพลตฟอร์มดิจิทัล และโมเดลการจัดหาที่ยั่งยืน ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้กับทั้งสองฝ่าย เรายังมุ่งหวังการเติบโตในระยะยาวที่จะสร้างมูลค่ากับลูกค้าทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

การขยายความร่วมมือระหว่าง บังกี้ และ BKP ในปี 2568 จึงครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น การจัดหาวัตถุดิบเกษตรหลัก การพัฒนากระบวนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน และการปรับปรุงกระบวนการขนส่ง จนถึงปลายน้ำคือโรงงานอาหารสัตว์ของซีพีในภูมิภาคนี้
“การจัดหาวัตถุดิบภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ดำเนินการตามระเบียบและมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้าของทั้งบังกี้และเครือซีพี ทั้งสองบริษัทต่างมุ่งมั่นสร้างห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่าในปี 2025 แพลตฟอร์มนี้ยังเปิดให้เข้าถึงข้อมูลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากแปลงปลูกต้นทาง รวมถึงเอกสารการรับรองมาตรฐานถั่วเหลือง เช่น มาตรฐาน Round Table on Responsible Soy (RTRS) ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งในความมั่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Net Zero ภายในปี 2050” ฐิติ กล่าวเสริม

“เราเชื่อในพลังของความร่วมมือเพื่อสร้างมาตรฐานความยั่งยืนที่ดีขึ้น และความร่วมมือกับซีพี เป็นตัวอย่างของการที่เราสามารถขยายโซลูชัน เพื่อมอบความโปร่งใส รวมถึงข้อมูลเชิงลึกของห่วงโซ่อุปทานอย่างครบถ้วน สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต่างมีร่วมกัน” พาเมลา โมเรรา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนประจำภูมิภาคอเมริกาใต้ของบังกี้ กล่าว
แพลตฟอร์มบล็อกเชนดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดยบังกี้ ร่วมกับบริษัท Justoken ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน บังกี้ยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายแรกของโลกที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้รวมถึงติดตามการจัดซื้อถั่วเหลืองทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ 100% ในพื้นที่สำคัญของเขตเซอร์ราโด ประเทศบราซิล บริษัทใช้เทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูงเพื่อติดตามพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตัดไม้ทำลายป่า โดยปัจจุบันระบบดังกล่าวครอบคลุมจำนวนฟาร์ม กว่า 36,000 แห่ง และพื้นที่กว่า 46 ล้านเฮกตาร์ในอเมริกาใต้
คต. ติวเข้มผู้ประกอบการสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย เปิดเวทีสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” พร้อมจับมือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop : SCAN ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล มุ่งเป้า SMEs และนักวิจัย ใช้นวัตกรรมต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และขยายโอกาสทางการค้า

นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการต่อยอดงานวิจัยและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า โดยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 กรมฯ ได้จัดสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและเอกชน นักการตลาดชั้นนำ รวมถึงนักวิจัย ที่มาร่วมผสานพลังเติมเต็มองค์ความรู้ที่จะช่วยปลดล็อคศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้พร้อมเข้าสู่ตลาดสากล โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเสวนาหัวข้อ “Agri Plus Intelligence: ถอดรหัสเทรนด์โลกและโอกาสของสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์การตลาด การวิจัย และนวัตกรรม การเสวนา “From Lab to a Billion” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตัวแทนผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการต่อยอดงานวิจัย มาร่วมแบ่งปันความรู้ ชี้แนะ Roadmap เส้นทางสู่ธุรกิจเกษตรมูลค่าสูง การบรรยายในหัวข้อ “Branding for Tomorrow” โดยแบรนด์กูรูชั้นนำของประเทศ และในหัวข้อ “Digital Harvest” พลิกเกมการตลาดด้วย Social Commerce และ AI” โดยนักการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Business Networking เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เชื่อมโยงพันธมิตรทางธุรกิจ และการจัดแสดง “Agri Plus Showcase” โชว์ผลิตภัณฑ์เกษตรนวัตกรรมจากการต่อยอดงานวิจัยอีกด้วย

นอกจากการสัมมนาที่มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลามแล้ว กรมฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop: Scan ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล ระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายน 2568 โดยนำทัพผู้เชี่ยวชาญมาช่วยประเมินความพร้อมในการประกอบธุรกิจแบบ Exclusive พร้อมให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการแบบครบวงจร โดยผู้เข้าร่วมได้รับแนวทางการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจแบบ Insight เพื่อการขยายธุรกิจเกษตรนวัตกรรมสู่สากลได้อย่างเป็นรูปธรรม

รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสำเร็จบนเวทีการค้าโลก ผลักดันมูลค่าการค้าของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการเกษตรนวัตกรรมไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าได้อย่างมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้เกษตรกร ผ่านกลไกการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยนวัตกรรมเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ตามนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดสัมมนาและ Exclusive Workshop ในครั้งนี้จะเป็นแรงส่งเสริมผู้ประกอบการและนักวิจัยในการต่อยอดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ตลาดสากลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของกรมการค้าต่างประเทศ ในการส่งเสริม ผลักดัน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และขยายโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยได้อย่างยั่งยืน
กรุงเทพประกันชีวิต คว้า 5 รางวัล The Best Contact Center of The Year 2025 (Under 100 Seats) จากงาน TCCTA Contact Center Awards 2025 จัดโดยสมาคมการค้าธุรกิจศูนย์บริการทางโทรศัพท์ไทย (TCCTA: Thai Contact Center Trade Association) ตอกย้ำการก้าวสู่แบรนด์อันดับหนึ่ง ในด้านความ “ใส่ใจ” ทั้งในการบริการและการดูแลลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการคอนแทคเซ็นเตอร์ในมาตรฐานสากล และเป็นต้นแบบในการพัฒนาธุรกิจ ณ โรงละครอักษรา กรุงเทพมหานคร

นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธการตลาดและบริหารจัดการ กล่าวว่า รางวัล The Best Contact Center of the Year ไม่เพียงเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับทีมงาน Contact Center ทุกคนที่ทุ่มเททำงานด้วยหัวใจ โดยกรุงเทพประกันชีวิตเชื่อมั่นว่า หัวใจของการบริการคือความใส่ใจ เริ่มต้นการรับฟังอย่างตั้งใจ การเข้าใจปัญหา เข้าใจความต้องการของลูกค้า การให้คำตอบที่ถูกต้อง รวดเร็ว รวมไปถึงการนำทุกความคิดเห็นหรือปัญหาของลูกค้ามาค้นหาแนวทางป้องกันเชิงรุกเพื่อการให้บริการที่ประทับใจมากยิ่งขึ้น

เรายึดหลักการในการให้บริการคือ ลูกค้าทุกท่านเปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเรา และทุกการติดต่อคือโอกาสในการสร้างประสบการณ์ที่ดีและความไว้วางใจ กรุงเทพประกันชีวิตมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ประทับใจด้วย Human-Tech Solution ซึ่งคือการนำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาเสริมการทำงานของบุคคลากรของเราที่ผ่านการพัฒนาศักยภาพที่มีทั้ง Empathy และ Expertise เพื่อให้บริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถสร้างความรู้สึก อุ่นใจ มั่นใจ และวางใจให้เกิดขึ้นได้จริง กรุงเทพประกันชีวิตเรามุ่งมั่นที่จะยกระดับจากการให้บริการ มาเป็นการส่งมอบประสบการณ์ที่ประทับใจ และเป็นเพื่อนที่พร้อมจะดูแล ใส่ใจ ด้วยความเข้าใจ และความจริงใจในทุกช่วงเวลาของชีวิตลูกค้าให้ได้
โดยกรุงเทพประกันชีวิต ได้รับ 5 รางวัล ดังนี้

ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กร ผู้ให้บริการติดต่อลูกค้า (Contact Center) ที่มีความเป็นเลิศในการพัฒนาศักยภาพการให้บริการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า สอดคล้องกับการดำเนินงานของกรุงเทพประกันชีวิต ที่ให้ความสำคัญต่อการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ