

H.E. Veng Sakhon (ซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และการประมง ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการ เรื่อง โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) โดยร่วมกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกร และภาคเอกชน เพื่อให้เกษตรกรตระหนักถึงการควบคุมป้องกันโรค รวมถึงชี้แจงให้ผู้บริโภคไม่ตื่นตระหนกเนื่องจากโรคนี้ไม่ติดต่อสู่คน และเน้นย้ำเรื่องการบริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ในงานนี้ รัฐมนตรีฯ ได้รับมอบสนับสนุนอุปกรณ์ด้านการควบคุมป้องกันโรค มูลค่าประมาณ 1.2 ล้านบาท จากนายปรีดา จุลวงษ์ (ขวา) รองประธานกรรมการ บริษัท ซี.พี. กัมพูชา จำกัด ทั้งนี้ ผศ.น.สพ.คัมภีร์ กอธีระกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุกรในอาเชียนและจีน ได้เข้าร่วมบรรยายพิเศษอีกด้วย ณ ห้องประชุมลำดวน กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ประเทศกัมพูชา
.jpg)
เอไอเอ ประเทศไทย ขานรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุ รวมถึงขยายฐานการรับประกันภัยให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น พร้อมทั้งฉลองครบรอบ 100 ปีของกลุ่มบริษัทเอไอเอ แจกประกันอุบัติเหตุ 100,000 กรมธรรม์ วงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท นานกว่า 30 วัน ฟรี ตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2562 นี้ ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน
เทศกาลสงกรานต์เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่มีการอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากจากการเดินทาง ด้วยความมุ่งมั่นในการมอบความคุ้มครองให้กับคนไทย เอไอเอ ขอมอบกรมธรรม์อุบัติเหตุ จำนวน 100,000 ฉบับฟรี ให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยกรมธรรม์อุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ที่จะแจกฟรีนั้น มีวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และให้การคุ้มครองทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง อายุความคุ้มครองนานถึง 1 เดือน โดยเริ่มคุ้มครองนับตั้งแต่วันถัดไปของวันที่ลงทะเบียน ทั้งนี้ผู้เอาประกันภัยจะต้องถือสัญชาติไทย และมีอายุตั้งแต่ 20-70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัยเท่านั้น
ประชาชนที่สนใจสามารถติดต่อตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอเพื่อขอรับสิทธิ์กรมธรรม์อุบัติเหตุนี้ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 เมษายนนี้
ดีแทคชูกลยุทธ์ “ยิ่งเข้าใจ ยิ่งได้ใจ - พูดจริง ทำจริง - เข้าใจง่าย เข้าถึงได้” ชวนลูกค้าเข้าดีแทคช็อป ตรวจเช็กสุขภาพมือถือ จัดแคมเปญ “เช็กเครื่อง รับโชค ที่ดีแทคช็อป” โดยเชิญชวนให้ผู้ใช้บริการดีแทคแบบเติมเงินและรายเดือนทุกคน เพียงนำโทรศัพท์และเบอร์ดีแทค ไปเช็กเครื่องที่ร้านดีแทคช็อป เพื่อตรวจสอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนโครงข่ายดีแทคเทอร์โบ พร้อมทั้งรับและได้ทั้งลุ้นถึง 2 ต่อ ต่อที่ 1 เลือกรับทันที แพ็กเน็ต 1 GB 1 วัน หรือ เลือกรับคูปองส่วนลดจากดีแทค รีวอร์ด ต่อที่ 2 ได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลสมาร์ทโฟน จำนวน 3,000 เครื่อง รวมมูลค่าของรางวัลกว่า 12 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม – 30 เมษายน 2562 ที่ศูนย์บริการดีแทคทุกสาขาทั่วประเทศ
.jpg)
นางสาวทิพยรัตน์ แก้วศรีงาม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการขายและงานบริการ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันดีแทคให้บริการ 3G และ 4G บนคลื่นความถี่ 900 MHZ 1800 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz รวมความกว้างของแบนด์วิดท์ทั้งสิ้น 110 MHz โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คลื่น 2300 MHz ซึ่งเป็นช่วงคลื่นความถี่ที่มีความกว้างที่สุดถึง 60 MHz ที่ให้บริการเทคโนโลยี 4G-LTE TDD ทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือกว่าจากการใช้งาน 4G -LTE TDD ดีแทคเทอร์โบ เนื่องจากซิมหรือเครื่องหรือการตั้งค่าเครื่องของลูกค้ายังไม่รองรับการใช้งาน ดีแทคจึงได้จัดแคมเปญ “เช็กเครื่อง รับโชคที่ดีแทคช็อป” เพื่อให้ลูกค้าได้นำสมาร์ทโฟนมาตรวจสอบซิมและอุปกรณ์มือถือ เพื่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ราบรื่น ซึ่งในจำนวนนี้ยังมีลูกค้ากลุ่มที่ใช้อุปกรณ์มือถือและซิมที่รองรับเฉพาะระบบ 2G อยู่ด้วย ทำให้ไม่สามารถใช้บริการโครงข่ายของดีแทคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะได้รับบริการในการแก้ไขทางด้านเทคนิค รวมถึงการตั้งค่าอุปกรณ์มือถือในเบื้องต้น การอัพเดทเฟิร์มแวร์ ตลอดจนการใช้งานดีแทคแอปพลิเคชั่น และการค้นหาสิทธิพิเศษของ ดีแทค รีวอร์ด เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ ไม่พลาดข้อเสนอสุดพิเศษ และประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น เช่น การโทรผ่านระบบ VoLTE ที่จะทำให้ระบบเสียงคมชัดในรูปแบบ Full HD เสียงรบกวนต่ำ การเชื่อมต่อที่เร็วกว่า
.jpg)
สำหรับแคมเปญ “เช็กเครื่อง รับโชคที่ดีแทคช็อป” ระหว่างวันที่ 25 มี.ค. – 30 เม.ย. นอกจากลูกค้าดีแทคทั้งในระบบเติมเงินและรายเดือนจะได้รับบริการตรวจเช็กแพ็คเก็จ ตรวจเช็กซิมโทรศัพท์ และตรวจเช็กสุขภาพโทรศัพท์มือถือแล้ว ผู้เข้าร่วมแคมเปญยังจะได้รับสิทธิ์ 2 ต่อ
นางสาวทิพยรัตน์ กล่าวเสริมว่า นับจากนี้ แนวทางการให้บริการลูกค้าจะเน้นที่การมอบ “คุณค่า” ผ่านสินค้าและบริการที่ดีขึ้น สร้างความผูกพันระหว่างดีแทคและลูกค้า ซึ่งประกอบด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ Customer obsessed ยิ่งเข้าใจ ยิ่งได้ใจลูกค้า Honesty พูดจริงทำจริง ตรงไปตรงมา Simplicity เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ ซึ่งภายใต้แนวคิดนี้ ดีแทคจึงได้จัดแคมเปญในการให้บริการและการขายที่เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ ให้ลูกค้ามีความพึงพอใจในการใช้บริการอยู่กับดีแทคในทุกช่องทาง
Never Stop Improving สัญญาว่า...จะไม่หยุดยกระดับประสบการณ์ใช้งานโครงข่าย
ภายในไตรมาส 2 ของปี 2562 ประสบการณ์การใช้งานโครงข่ายดีแทคของลูกค้า โดยรวมจะดีมากขึ้นอย่างชัดเจน รวมทั้งดีแทคยังไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์ข้อเสนอและให้บริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer centricity) มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันลูกค้าดีแทคมีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนโครงข่าย 4G ดีแทค เทอร์โบ คลื่น 2300 MHz ของทีโอที เพิ่มขึ้นมากอย่างต่อเนื่องตามพื้นที่การให้บริการที่เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2561 ดีแทคได้ติดตั้งสถานีฐานเพื่อให้บริการ 4G บนคลื่น 2300 MHz ภายใต้ความร่วมมือกับทีโอทีไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 12,700 สถานี เพิ่มขึ้น 114% จากไตรมาส 3/2561 โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการ 4G มีจำนวนอยู่ที่ 9.9 ล้านเลขหมาย คิดเป็นสัดส่วน 47% ของฐานลูกค้ารวม ในขณะที่จำนวนอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี 4G มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 65% ของฐานลูกค้ารวม และสัดส่วนจำนวนผู้ใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นเป็น 78% ของลูกค้าทั้งหมด
.jpg)
Never Stop Caring สัญญาว่า...จะไม่หยุดดูแลกัน
นางสาวทิพยรัตน์ กล่าวว่า จากแนวคิด Digital Care Channel โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามายกระดับงานบริการ รวมถึงหน้าร้าน ซึ่งเป็น Omni Channel ในทุกๆ Touch point ในจุดให้บริการลูกค้าดีแทค ได้สัมผัสประสบการณ์ดิจิทัล เป็นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง โดยผสมผสานช่องทางการสื่อสารเหล่านั้นทั้งออนไลน์และออฟไลน์
.jpg)
ช่องทางติดต่อสื่อสารลูกค้าดีแทคแบบออนไลน์
- Line Business Connect ให้ลูกค้าเช็คข้อมูลการใช้บริการมือถือจากฟีเจอร์หลักๆ เพื่อให้ลูกค้าดีแทค ใช้งานง่าย และได้ใช้ประโยชน์ด้วยตนเอง แบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง
- แชทบอท คอลเซ็นเตอร์ ปัจจุบันสามารถรองรับลูกค้า 50 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนรายการที่มีการติดต่อผ่าน SMS และ เฟซบุ๊ก การทำงานของแชทบอทอยู่บนพื้นฐานของสถิติ ถ้าระบบมองว่าความแม่นยำมีค่าน้อยกว่าที่ตั้งไว้ก็จะส่งคำถามไปยังพนักงานโดยอัตโนมัติ ในปัจจุบันการใช้ แชทบอทรองรับลูกค้าที่มีการติดต่อผ่าน SMS และ เฟซบุ๊ก และมีความถูกต้องมากกว่า 95%
- ช่องทางโซเชียลมีเดีย ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้า ทั้งเฟซบุ๊กและไลน์ ซึ่งมีจำนวนลูกค้าสื่อสารผ่านช่องทางนี้จำนวนมาก
ช่องทางติดต่อสื่อสารลูกค้าดีแทคแบบออฟไลน์
ศูนย์บริการดีแทค จัดระบบการขายแบบดิจิทัล ให้ลูกค้าดีแทคได้รับรู้ถึงความทันสมัยของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่อยู่รอบด้าน ด้วยบริการรูปแบบใหม่ ที่ครอบคลุมทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ผสานกับเทคโนโลยีใหม่ตอบรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลการขายและบริการหน้าร้าน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างชาญฉลาดและไร้รอยต่อ ผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะ และปรับกระบวนการให้บริการ จากเดิมที่เป็นการบริการจากเคาน์เตอร์โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนมาเป็นการให้บริการกับลูกค้าได้ถึงตัว โดยใช้โมบายล์แทปเล็ต ผ่านแอปพลิเคชันที่จะทำให้พนักงานมีความตื่นตัวและพร้อมให้บริการ ช่วยลดเวลาและเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าในการรับบริการ
.jpg)
ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) นำทีมโดย นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเปิดงานส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่มีคุณภาพเพื่อลูกค้าตามปรัชญา Make THE Difference ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนา ทีเอ็มบี ซัพพลายเชน โซลูชัน (TMB Supply Chain Solution) ที่มีมานานมากว่า 10 ปี เริ่มต้นจากการให้แหล่งเงินทุนแก่เครือข่ายคู่ค้าของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และมุ่งเน้นสร้างความสะดวกสบายจากการทำธุรกรรมการเงินรูปแบบใหม่ ให้แก่ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ SMEs ขนาดกลางและเล็ก ที่มีมากถึง 3 ล้านราย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง การเกษตรและอื่นๆ มีอัตราการจ้างงานสูงถึง 82% แต่ทำรายได้เพียง 42% ของ GDP ในประเทศไทย ปัญหาหลักเป็นเพราะ SMEs ยังประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งเงินทุน บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และการบริหารจัดการที่ดี ทีเอ็มบีจึงผลักดันนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริม เชื่อมต่อดิจิทัลโซลูชันกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ให้สามารถเชื่อมการชำระเงินและการส่งต่อข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างครบวงจร ตอบสนองแนวทางการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจของลูกค้าและผลักดันความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศ
.jpg)
ด้านนายเสนธิป ศรีไพพรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยถึงหัวใจสำคัญของการให้บริการลูกค้าธุรกิจของทีเอ็มบี ก็คือการพัฒนาบริการ TMB Supply Chain Financing พร้อม Total Solution ครบวงจร ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และพัฒนา Solution สร้าง ECO-System ให้คู่ค้ามีส่วนร่วม เพื่อให้ธุรกิจทุกขนาดมีการเจริญเติบโตไปพร้อมๆ กัน ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอุปโภค บริโภค วัสดุก่อสร้าง และอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยต่างให้ความสนใจนำ TMB Supply Chain Solution เข้าไปใช้เพื่อสร้างประสิทธิภาพทั้งซัพพลายเชนให้คู่ค้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อาทิ บุญรอดบริวเวอรี่ ปตท. เอสซีจี
.jpg)
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมและพาร์เนอร์ที่มีศักยภาพสูงที่เปิดใจต้อนรับระบบ TMB Supply Chain Solution อย่าง บริษัท น้ำตาลมิตรผล ที่นำโซลูชันไปใช้เชื่อมต่อกับเกษตรกรให้เกิด Circular Economy ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน กิจการค้าปลีก ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต นำเอาโซลูชันนี้มาแก้ปัญหาการเกิด Lap ระบบสั่งซื้อ สั่งผลิตให้ไม่สะดุด และ Tech Startup ในแวดวงธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง บริษัท บิลค์ เอเชีย จำกัด พัฒนาเเพลตฟอร์มช่วยบริหารต้นทุนมาวางแผนการเงิน เปิดใบสั่งซื้อให้ผู้ใช้งาน 25,000 บริษัททั่ว Southeast Asia ร่วมทั้งการ Match กับ Developer รายใหญ่ สร้างเว็บไซต์วัสดุออนไลน์ เชื่อม Data Supply Chain เข้าด้วยกันทั้งหมด
.jpg)
คุณรัชกร ชยาภิรัต หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารนวัตกรรมทางดิจิทัล (ลูกค้าธุรกิจ) ทีเอ็มบี เผยส่วนผสมสำคัญ 3 อย่างที่จะนำมาทำ E-Money ระบบเช็ค จัดการธุรกรรมทางการเงิน Cost Control เข้ามา Disrupt ระบบ Eco-System ได้แก่ Data, Device และ Distribute สู่ลูกค้า จนสามารถต่อยอดและร่วมกันพัฒนาดิจิทัลโซลูชันเพื่อเสริมเรื่องการให้แหล่งเงินทุนสำหรับแก้ปัญหาและเดินหน้าให้บรรลุเป้าหมายได้ รวมไปถึงการสามารถตอบสนองความต้องการของภาครัฐอย่างครบวงจร ร่วมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐให้เป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว ขานรับนโยบายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
.jpg)
นอกจากนั้น นายณศมณ คุ้มธรรมพินิจ เจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อเครือข่ายธุรกิจ ทีเอ็มบี ยังได้นำเสนอดิจิทัลซัพพลายเชน แพลตฟอร์มใหม่ เปลี่ยนเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย รวมผู้ซื้อและผู้ขายไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ทำให้ลูกค้าธุรกิจและคู่ค้าทำงานได้สะดวก ง่าย และลดกระบวนการในการทำงานให้รวดเร็วขึ้น โดยมาในรูปแบบของทั้งเว็บไซต์และมือถือ ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถสร้างใบสั่งซื้อ ผู้ขายสามารถสร้างใบแจ้งหนี้ และส่งหากันผ่านทางแพลตฟอร์มได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ซื้อยังสามารถใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี หรือ OD มาขายลดใบแจ้งหนี้ได้ ตรวจสอบและดูรายงานทางการเงินแบบเรียลไทม์ผ่านทางแพลตฟอร์มนี้ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทำให้การใช้วงเงินสินเชื่อ Supply Chain เป็นเรื่องง่าย ทำได้เพียงไม่กี่ขั้นตอน
“กว่า 10 ปี ที่ทีเอ็มบีให้ความสำคัญกับเรื่อง Supply Chain Financing และพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Supply Chain จนเป็นโซลูชันแบบดิจิทัลที่สร้างความแตกต่างและการเจริญเติบโตให้กับลูกค้าธุรกิจ ปัจจุบันมีลูกค้าที่เลือกใช้บริการ TMB Supply Chain Solution ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือซัพพลายเออร์ ร่วม 100 ราย ดีลเลอร์ของคู่ค้า ซึ่งก็คือ SMEs ขนาดกลางและเล็ก ในเครือข่าวกว่า 1,500 ราย และจะยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อยอดไปอีก เพราะความสำเร็จของลูกค้าคือความภาคภูมิใจของทีเอ็มบี ปัจจุบันลูกค้าที่เลือกใช้บริการ TMB Supply Chain Solution ได้แก่ ธุรกิจรายใหญ่ร่วม 100 ราย และธุรกิจ SMEs ที่อยู่ในเครือข่ายกว่า 1,500 ราย” นายเสนธิปกล่าว
ครั้งแรกในประเทศไทยและในเอเซียแปซิฟิค โดย มหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ศูนย์เครือข่ายวิจัยประยุกต์ทางเทคโนโลยีหุ่นยนต์และชีวการแพทย์ (BART LAB)
ภาพจากซ้าย : ดร.เอ็ดเวิร์ด รูเบิร์ช (Dr. Edward Rubesch) ผู้อำนวยการหลักสูตร IDE มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มร.สตีฟ แบลงค์ (Mr.Steve Blank) กูรูสตาร์ทอัพระดับโลก ผู้ให้คำนิยาม Startup คนแรกในโลก นายธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานคณะกรรมการกำกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ประธานในพิธี
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เปิดตัว “สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น หรือ “Digital Startup Institute” อย่างเป็นทางการ ประกาศความพร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ Startup ให้เติบโตสู่ตลาดโลกแบบก้าวกระโดด โดยเชิญ “สตีฟ แบลงค์” กูรูสตาร์ทอัพระดับโลก ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ระดับสากล พร้อมจัดเสวนาที่มุ่งสร้างนิเวศสตาร์ทอัพ จาก สตาร์ทอัพระดับแม่เหล็กของไทย ณ อาคารลาดพร้าว ฮิลล์
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2562 (NSTDA Annual Conference: NAC2019) ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (Moving Towards Thailand’s Future Economy with Science, Technology and Innovation)” ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 15 ระหว่างวันที่ 25 - 28 มีนาคม 2562 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยภายในงานมีการแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยของ สวทช. และเครือข่ายพันธมิตร การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบ กิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน และการสัมมนาที่น่าสนใจจากผู้ทรงคุณวุฒิและอบรมเชิงปฏิบัติการ มุ่งเน้นนำเสนอความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เพื่อสนองตอบยุทธศาสตร์ของประเทศที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้าน วทน. การวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ นำมาพัฒนาขีดความสามารถด้าน วทน. ของประเทศ พร้อมทั้งยกระดับศักยภาพ และสร้างความมั่นคง ยั่งยืนต่อไป
.jpg)
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กราบบังคมทูลรายงานตอนหนึ่งว่า สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีเป้าหมายในการวิจัยและพัฒนาด้าน วทน. และพัฒนากลไกการส่งมอบ เพื่อผลักดันงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์ทั้งเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์ ตอบโจทย์ประเทศไทย 4.0 มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมา สวทช. ดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรภาครัฐ การศึกษา และเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ส่งมอบผลงานวิจัยที่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และสังคมใน 5 ประเด็นมุ่งเน้น ได้แก่ 1. สารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่และนวัตกรรมอาหาร 2. ระบบขนส่งสมัยใหม่ 3. การสร้างเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทย 4. เคมีชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ และ 5. นวัตกรรมเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน ผลงานวิจัยที่นำไปใช้ประโยชน์ได้สร้างมูลค่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นเงินมากกว่า 45,000 ล้านบาท หรือประมาณ 7 เท่าของค่าใช้จ่ายของ สวทช. ได้ผลงานที่เป็นองค์ความรู้ ได้แก่ สิ่งตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ 546 เรื่อง ทรัพย์สินทางปัญญาที่ขอจด 383 คำขอ และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคการผลิตและบริการ 261 รายการ หน่วยงานรับมอบ 335 หน่วยงาน นอกจากนั้น สวทช. ได้สร้างเสริมขีดความสามารถเกษตรชุมชน โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกร 6,700 คน จาก 264 ชุมชน ใน 35 จังหวัด ครอบคลุมเทคโนโลยีหลัก 36 เรื่อง เช่น การแปรรูปมันสำปะหลัง ข้าว เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง การใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ และการใช้สารชีวภัณฑ์เพื่อลดการใช้สารเคมี เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาบุคลากรเข้าสู่อาชีพวิจัย ในรูปแบบการให้ทุนการศึกษาและการพัฒนาระบบนักวิจัยพี่เลี้ยง โดยมีนักวิจัย สวทช. เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ในการทำโครงงานวิจัยตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาถึงบัณฑิตศึกษาในประเทศ จำนวน 790 ทุน นอกจากนี้ สวทช.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการบริหารจัดการโครงการที่มีความสำคัญและการลงทุนสูงมากของประเทศ เช่น การจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EECi ซึ่งมีความก้าวหน้าในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาแผนที่นำทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ในเขต EECi ตามลำดับ
.jpg)
สำหรับการประชุมวิชาการประจำปีครั้งนี้ สวทช. หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผ่านการทำงานของ 4 ศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ และสนับสนุนให้มีการนำผลงานวิจัยไปใช้ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs สตาร์ทอัพ เกษตรกร และอุตสาหกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถด้าน วทน. ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางสู่ไทยแลนด์ 4.0 ในปีนี้เน้นการวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ จากยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ประเทศโดยมีเป้าหมายยกระดับศักยภาพของประเทศไปสู่ประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจแนวใหม่ 6 ด้าน ได้แก่ 1. เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) มุ่งเน้นใช้ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน 2. เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งเน้นใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือทิ้งมาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง 3. เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) มุ่งเน้นประหยัดพลังงาน ลดความเสี่ยงที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย ตอบสนองการพัฒนาที่ยั่งยืน 4. เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Intelligent Economy) เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ โดยใช้เวลาน้อยลง 5. เศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ (Sharing Economy)เป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่ใช้พื้นฐานแนวคิดความร่วมมือและแบ่งปัน ทำให้เกิดรูปแบบสินค้าและบริการใหม่ สร้างรายได้แบบพึ่งพากัน และ 6. เศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy) เป็นระบบที่นำความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตนเองได้
ทั้งนี้ การประชุม NAC2019 เริ่มขึ้นในวันที่ 25 - 28 มีนาคม 2562 โดยมีกิจกรรมหลัก คือ การสัมมนาวิชาการเป็นเวทีนำเสนอความก้าวหน้าของการวิจัยและพัฒนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการ รวม 49 หัวข้อ การแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยและพัฒนาของ สวทช.และพันธมิตร ได้จัดโซนนิทรรศการเป็น 6 โซน ได้แก่ โซนเทิด พระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ และโครงการตามพระราชดำริ โซนพัฒนาเด็กและเยาวชน โซนสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร โซนงานวิจัยและพัฒนา โซนความร่วมมือภาคเอกชนและต่างประเทศ แและโซนผลิตภัณฑ์จากชุมชนเครือข่ายสวทช. การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบของ สวทช. และบริษัทผู้เช่า รวม 24 ห้องปฏิบัติการ และกิจกรรมสำหรับครูและเยาวชนในโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย โครงการมหาวิทยาลัยเด็กประเทศไทย โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม หรือ Fabrication Lab เพื่อพัฒนาความเป็นนวัตกรสู่เด็กและเยาวชนไทย และโครงการ Coding at School Powered by KidBright รวม 11 กิจกรรม
.jpg)
นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กราบบังคมทูลรายงานและเบิกผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลตามประเภทต่างๆ ในกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการวิจัยที่ สวทช. ให้การสนับสนุนและส่งเสริม เพื่อให้เกิดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ที่จะนำทรัพยากรต่างๆ มาประยุกต์ให้เกิดนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ตลอดจนอาศัยการเชื่อมโยงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปกับระบบการศึกษา ทั้งในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยแก่เด็ก เยาวชน และบุคคลทั่วไป ผ่านในหลากหลายกิจกรรมทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก เพื่อสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีความตระหนัก รวมไปถึงสร้างให้เกิดนวัตกรรมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระจายความรู้ออกสู่สังคมไทยให้ทั่วถึงและเท่าเทียม
สำหรับในปี 2561 สวทช. ดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการวิจัยที่สำคัญ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการทุนนักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2561 จำนวน 2 รางวัล โครงการการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 21 (National Software Contest: NSC2019) จำนวน 6 รางวัล และโครงการการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 11 (The 11th Thailand Robot Design Contest: RDC 2018) จำนวน 1 รางวัล
จากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2562 ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม(Moving Towards Thailand’s Future Economy with Science, Technology and Innovation)” และเสด็จพระราชดำเนินทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการ และทอดพระเนตรนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย และนิทรรศการผลงานวิจัย อาทิ การแสดงผลงานวิจัยทางด้านอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีความสําคัญต่อประเทศ มีมูลค่าการลงทุนสูง มีการใช้แรงงานจํานวนมาก และมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดเทียบกับอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ของประเทศ โดยจัดแสดงในรูปแบบของ BCG Café & restaurant เทคโนโลยีและความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพสัตว์น้ำไทยอย่างยั่งยืน โครงความร่วมมืองานวิจัยทางด้านเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) เพื่อความยั่งยืน ระหว่าง สถาบัน Forschungszentrum Jülich สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ สวทช. ไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีนสำหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์น้ำ นาโนวัคซีนเทคโนโลยีดูดซึมทางเหงือกต้านโรคในปลา TPMAP : ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า โครงการสื่อการสอนโปรแกรมมิ่งในโรงเรียน ต้นแบบอุปกรณ์สำหรับตรวจสอบค่าความถูกต้องและแม่นยำของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม สานพลังเทคโนโลยียางพารา สานชุมชน สานอุตสาหกรรม น้ำยางพาราข้นชนิดใหม่ ParaFIT สำหรับการผลิตหมอนและที่นอนยางพาราโดยเฉพาะ ความร่วมมือและสื่อการเรียนรู้ Fabrication Lab โดยมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยง สนุกกับเครื่องมือ/อุปกรณ์ Fabrication Lab โครงงานวิทยาศาสตร์ Smart Farm, Smart Energy, Smart Industry เพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกร โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร และสมาคมระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะไทย เป็นต้น
.jpg)
พร้อมทั้งได้เสด็จเยี่ยมชมโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดย สวทช. ภายใต้โครงการพัฒนาพิเศษขนาดใหญ่ หรือ BIG ROCK ของรัฐบาล ซึ่งโรงงานผลิตพืชเป็นเทคโนโลยีการปลูกพืชในระบบปิดหรือกึ่งปิด ที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่างๆ ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ช่วงคลื่นแสง ความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น แร่ธาตุต่างๆ รวมถึงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้แสงจากหลอดไฟ LED สีต่างๆ เช่น สีแดงใช้เร่งดอก สีน้ำเงินบำรุงใบพืช ทดแทนแสงอาทิตย์จากธรรมชาติ อีกทั้งยังมีระบบกรองอากาศทำให้ปราศจากเชื้อโรคและแมลง ไม่ต้องใช้สารเคมีปราบศัตรูพืช และนักปรับปรุงพันธุ์พืชยังใช้องค์ความรู้ในการคำนวณและออกแบบการให้ความเข้มข้นของสารอาหารที่เหมาะสมตามช่วงวัยของพืชด้วย ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตเร็วช่วยร่นระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต นอกจากนี้ผลผลิตที่ได้มีความสะอาดปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง คุณภาพดีและมีราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปประมาณ 1.3 เท่า ซึ่งขณะนี้โรงงานผลิตพืช (Plant Factory) สวทช. สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นแห่งแรกของประเทศไทยบนพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร ในอาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และได้เริ่มทดลองปลูกพืชสมุนไพร เช่น ใบบัวบก ฟ้าทะลายโจร รวมถึงพืชชนิดอื่นๆ เพื่อนำมาสกัดเป็นสารสำคัญมูลค่าสูงและนำไปพัฒนาเป็นสารออกฤทธิ์สำคัญในอาหารเสริม เวชสำอางเพื่อเพิ่มมูลค่าแก่พืชสมุนไพรในประเทศ
นอกจากนี้แล้วยังมีกิจกรรมพิเศษเปิดบ้าน สวทช. (NSTDA Open house) การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและหน่วยงานทดสอบมาตรฐานต่างๆ ของ สวทช. ซึ่งจะผู้เยี่ยมชมจะได้พบกับอุปกรณ์และเครื่องมือในการวิจัยที่ทันสมัยระดับโลก โดย สวทช. และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมเปิดบ้านต้อนรับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุนที่สนใจ ได้เยี่ยมชมเทคโนโลยีจากศักยภาพของบุคลากรวิจัยและห้องปฏิบัติการ สวทช. ตลอดจนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ พร้อมคำแนะนำบริการและมาตรการสนับสนุนภาคเอกชนของ สวทช. ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้โดยง่าย
ทั้งนี้ งานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2562 (NAC2019) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 28 มีนาคม 2562 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ผู้สนใจสามารถร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-564-8000 หรือ www.nstda.or.th/nac
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ นายอนนต์ อดิโรจนานนท กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์คลาสนิวทริชั่น จำกัด ผู้ผลิตเจลพลังงานรายแรกของประเทศไทย “Dever Energy Gel” (ดีเวอร์ เอนเนอร์จี้ เจล) มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี รับส่วนลดสูงสุด 20% เมื่อซื้อสินค้าอุปกรณ์กีฬากับร้านค้าที่ร่วมรายการ และรับส่วนลดเพิ่มหรือเครดิตเงินคืน 13% เมื่อมียอดใช้จ่าย 1,000 บาท ต่อเซลส์สลิป พร้อมใช้คะแนน KTC FOREVER 1,000 คะแนน โดยลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน SMS พิมพ์ ADD เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 16 หลัก ส่งมาที่เบอร์โทรศัพท์ 061-384-5000 นอกจากนี้สมาชิกยังสามารถเลือกรับบริการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับฟรี Dever Energy Chew ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 พฤษภาคม 2562 ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ อาทิ Ari Running / Ari Football / Avarin / Banana Run / Tank Store / Monster Run / Caveman / Sandy Health / Energy by Sandy / Tri Hub / Sport Dome / TSM ACTIVE / Dilok Store / Teelakow / Run 2 Paraside
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th/sport สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์เพื่อสมัครบัตรเครดิตได้ที่นี่ http://bit.ly/2uPcS19
ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2562 เน้นตอบโจทย์ รู้จริงแก้ปัญหาหลักของเอสเอ็มอีไทย ทั้งปัญหาเรื่องการจัดการธุรกรรมการเงิน การบริหารจัดการพนักงาน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจได้ทันเวลาที่ต้องการ โดยมีแนวทางการพัฒนา 3 ดิจิทัลโชลูชันเพื่อเอสเอ็มอี ได้แก่ รายงานสุขภาพการเงินของเอสเอ็มอีแบบเรียลไทม์ที่เข้าใจง่าย และนำไปใช้วางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ, สวัสดิการด้านสุขภาพเพื่อพนักงานของเอสเอ็มอีที่ยืดหยุ่นคล่องตัว และบริการให้สินเชื่อเอสเอ็มอีผ่านโมบายล์แอปพลิเคชัน เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถเติบโตได้มากกว่า และทีเอ็มบีเป็นธนาคารที่ลูกค้าชื่นชอบ และบอกต่อมากที่สุดในประเทศไทย

นางสาวชมภูนุช ปฐมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าเอสเอ็มอี ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ด้วยปรัชญาของทีเอ็มบี คือ Make THE Difference ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น เราจึงมีความพิถีพิถันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ และคิดอย่างรอบด้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเอสเอ็มอีอย่างแท้จริง (Need-based) และให้สามารถใช้งานได้ง่าย และสะดวก (Simple & Easy) สร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อเอสเอ็มอีสามารถเติบโตได้มากกว่า (Get MORE with TMB) ซึ่งในปีนี้ แผนธุรกิจของทีเอ็มบี เอสเอ็มอี ตั้งเป้ายอดการปล่อยสินเชื่อมูลค่า 27,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 60% จากปีที่ผ่านมา”
“ทั้งนี้จากการศึกษาอินไซต์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยพบว่า ปัญหาหลักที่เป็นอุปสรรคในการเติบโตของเอสเอ็มอีมีอยู่ 3 ข้อ คือ
(1) ปัญหาธุรกรรมยุ่งเหยิง ทั้งการรับเงินจากลูกค้าและการจ่ายเงินให้คู่ค้า ด้วยเงินสด และการโอนเงินในหลายช่องทาง เช่น QR Code และเครื่อง EDC ซึ่งต้องใช้เวลานานในการรวบรวมและทำบัญชีกระทบยอด ทั้งยังมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย สรุปยอดไม่ตรง และสุดท้ายรายงานบัญชีที่ทำขึ้นมาก็ยังไม่สะท้อนภาพรวมสุขภาพการเงิน หรือสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจได้ ไม่สามารถนำไปใช้เพื่อวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(2) ปัญหาการบริหารบุคคล เนื่องจากธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นองค์กรขนาดเล็ก พนักงานคือกลไกสำคัญเพื่อขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์อันดีและครองใจพนักงานนั้น สวัสดิการด้านสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่พนักงานให้ความสำคัญ แต่ทว่าธุรกิจเอสเอ็มอีมีข้อจำกัด เพราะไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพแบบกลุ่มให้กับพนักงานได้ ด้วยจำนวนพนักงานไม่เพียงพอต่อการซื้อขั้นต่ำของประกันสุขภาพแบบกลุ่ม แต่ถ้าจะซื้อประกันสุขภาพแบบรายบุคคลให้กับพนักงานก็ติดปัญหาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นหากพนักงานประสบอุบัติเหตุหรือมีปัญหาสุขภาพ เจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีส่วนใหญ่จึงเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้จึงไม่สามารถควบคุมต้นทุนด้านการบริหารบุคคลได้
(3) ปัญหาพลาดโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากเอสเอ็มอีเพียง 20% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ เนื่องจากขาดความเข้าใจ และขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพื่อยื่นสมัครสินเชื่อ ส่งผลให้เอสเอ็มอี 27% เลือกใช้เงินทุนตั้งต้นธุรกิจจากการใช้บริการสินเชื่อและการกดเงินสดจากบัตรเครดิต โดยยอมแบกรับกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินความคุ้มค่าระหว่างดอกเบี้ยกับกำไรของธุรกิจ”

นายพร้อมพงษ์ พัฒนธีระเดช หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารผลิตภัณฑ์และ Portfolio ธุรกิจเอสเอ็มอี ทีเอ็มบี ได้เผยถึงเนวทางการพัฒนาโซลูชันเพื่อเอสเอ็มอีว่า “ในปีนี้ทีเอ็มบียังคงยึดหลักแนวคิดให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ แก้ปัญหา และยกระดับการเติบโตให้เอสเอ็มอีได้อย่างครบวงจร โดยเตรียมเปิดตัว 3 โซลูชันเพื่อเอสเอ็มอี ได้แก่
(1) รายงานสุขภาพการเงินของเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นการจัดการข้อมูลและธุรกรรมในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เป็นภาพกราฟฟิกสวยงาม ชี้ให้เห็นทิศทางของเงินเข้าและออก จากทุกช่องทางเพื่อสามารถนำไปประเมินสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดและลดเวลาของการทำบัญชีกระทบยอดของเอสเอ็มอีได้ และยังนำไปใช้วางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย
(2) สวัสดิการด้านสุขภาพเพื่อพนักงานของเอสเอ็มอีที่ยืดหยุ่นและคล่องตัว ในราคาที่เอสเอ็มอีเข้าถึงได้ เพียงลูกค้าเอสเอ็มอี เปิดบัญชีธุรกิจ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี วัน แบงก์ สามารถมีสิทธิ์ซื้อโปรแกรมสวัสดิการด้านสุขภาพให้กับพนักงานของธุรกิจตนเอง มีสิทธิประโยชน์แบบประกันกลุ่ม โดยเริ่มต้นพนักงานเพียง 5 คน และจ่ายขั้นเพียงสามร้อยกว่าบาทต่อเดือน ครอบคลุมทั้งกรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก สามารถซื้อและปรับเปลี่ยนชื่อพนักงานได้ทางออนไลน์ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงแค่ 4 คลิกเท่านั้น นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าเอสเอ็มอีใช้บริการจัดการเงินเดือนพนักงานด้วยระบบอัตโนมัติ (Payroll) กับทีเอ็มบี จะได้รับฟรี! แอปพลิเคชันระบบช่วยบริหารจัดการงานบุคคลแบบดิจิทัล HR Management Program ครบทุกฟีเจอร์ เข้า ออก ขาด ลา มาสาย ครอบคลุมการใช้งานทั้งบริษัทและพนักงาน
(3) บริการให้สินเชื่อเอสเอ็มอีผ่านโมบายล์แอปพลิเคชัน ทีเอ็มบี บิส ทัช (TMB BIZ TOUCH) โดยการสร้างโมเดลอัจฉริยะวิเคราะห์ข้อมูล เปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมการเงินต่างๆ ของลูกค้าที่ธนาคารมีอยู่แล้ว ให้เป็นหลักประกัน เพื่อช่วยลูกค้าให้เข้าถึงสินเชื่อและได้เงินทุนง่ายขึ้นในเวลาที่ต้องการ และประหยัดเวลาในการเตรียมข้อมูลและเอกสารที่ใช้ในการสมัครสินเชื่ออีกด้วย
“แสนสิริ” ตอกย้ำผู้นำตลาดอสังหาริมทัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทย ประกาศปิดการขาย “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” (THE MONUMENT SANAMPAO) ด้วยยอดขายกว่า 1,500 ลบ. จำนวน 86 ยูนิต ย้ำความสำเร็จแบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างเข้าใจและตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Monument to Generations’ การส่งต่อทำเลคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองสูงถึง 70% เผยปัจจัยหลัก ได่แก่ ทำเล ความเป็นส่วนตัว ดีไซน์ที่มีรสนิยม วัสดุคุณภาพระดับเวิลด์คลาส ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มลักซ์ชัวรี่ระดับบนอย่างแท้จริง พร้อมเตรียมเผยโฉมและโอนกรรมสิทธิ์ “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” โครงการล่าสุด ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาทกับแนวคิด “Luxury is Space” คอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่สำหรับครอบครัวยุคใหม่ นิยามความหรูหราผ่านพื้นที่โอ่โถงที่ให้ประสบการณ์เสมือนบ้าน แลนด์มาร์คแห่งใหม่บนถนนเส้นหลักทองหล่อ ปัจจุบัน มียอดขายอยู่ที่ 40% หรือมูลค่า 2,600 ล้านบาท

นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า “เดอะ โมนูเมนต์” ถืออีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมิเนียม ในการรุกตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด ‘The Monument to Generations’ การส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น และความภาคภูมิใจในกการอยู่อาศัย ควบคู่กับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และการคัดสรรวัสดุที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาส โดยโครงการแรก “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” เปิดตัวในปี 2558 ในรูปแบบไฮไรซ์สูง 24 ชั้น ที่ให้ความเป็นส่วนตัวเพียง 86 ยูนิต บนทำเลสนามเป้า – พหลโยธิน ที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางการรวมตัวของวัฒนธรรมเก่า และความทันสมัย ที่ผสานอย่างลงตัว โดยปัจจุบัน สามารถปิดการขายโครงการ 100% ด้วยมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท เมื่อต้นปีนี้”
นายปิติ กล่าวต่อไปว่า “ปัจจัยสำเร็จที่โดดเด่น ส่งผลให้โครงการได้รับการตอบรับอย่างสูงสุดจากกลุ่มลูกค้า ได้แก่ ความคุ้มค่าของโครงการที่มูลค่าเพิ่มขึ้นเหนือกาลเวลา ทั้งคุณภาพและราคาที่ดีที่สุด ทำให้ “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” เป็นทรัพย์สินที่ควรค่าแก่การครอบครอง สามารถส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ ด้วยที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลศักยภาพสูง ติดริมถนนใหญ่ โซนเส้นถนนพหลโยธินตอนต้น ซึ่งปัจจุบันหาได้ยากมาก พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตทุกมิติ เพียง 5 กม. ใกล้ทางด่วนทั้งขาเข้าและออกนอกเมือง โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองสูงถึง 70% และผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าด้วยสูงถึง 4-6% ต่อปี ซึ่งกลุ่มลูกค้าเช่า ได้แก่ กลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย กลุ่มแพทย์ที่ทำงาน ในบริเวณนี้ กลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลพญาไท เป็นต้น ทำให้ทำเลนี้ ไม่แตกต่างจากทำเลใจกลางเมืองสำคัญอื่นๆ ที่มีราคาสูงกว่า
ทั้งนี้ ยังคงมีลูกค้าสนใจและมีความต้องการซื้อโครงการอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีราคาซื้อต่อสูงขึ้นถึง 5% โครงการยังถือเป็นผลงานการออกแบบระดับมาสเตอร์พีซ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านงานสถาปัตยกรรมสไตล์โมเดิร์นร่วมสมัยที่คงความคลาสสิคเหนือกาลเวลา พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนทุกรายละเอียดที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด ทั้งยังให้ความสำคัญกับ การจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ นอกจากล็อบบี้เลานจ์ บริเวณชั้นหนึ่งที่จัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้ลูกบ้านรับรองแขกแล้ว ยังมีพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆ อีกถึง 3 ชั้น คิดเป็นพื้นที่กว่า 20% ของพื้นที่ห้องชุดทั้งหมด ซึ่งส่วนกลางมีฟังก์ชั่นครบครัน ทั้งพื้นที่ออกกำลังกาย Panoramic Exercise Room และพื้นที่สังสรรค์ Social Lounge, Sky Pavilion, Library room และ Tea Room เป็นต้น

“เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” นำเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตแบบ SMART LIVING มาช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิต โดยถือเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในเอเชียที่มีหุ่นยนต์ส่งของให้บริการลูกบ้าน พร้อมระบบรองรับการใช้พลังงานทดแทนในอนาคตอย่าง EV charger station สำหรับรถยนต์ทุกรุ่น มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง และติดตั้งเครื่องรีไซเคิลขวดน้ำพลาสติก (PET Bottle Refun) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณขยะพลาสติก และสุดท้ายโครงการนี้ยังมี บริการเพื่อการใช้ชีวิตเหนือระดับ อย่าง Building Manager และ Concierge Service ผู้ช่วยประจำโครงการ เช่น บริการซัก อบ รีด, บริการตรวจสอบดูแลและจัดการห้องชุด, บริการเรียกรถลีมูซีน, บริการแนะนำร้านซ่อมเสื้อผ้าและเครื่องหนัง เป็นต้น”
“ด้วยความสำเร็จของแบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” โครงการแรก จึงเป็นที่มาของการสานต่อสู่การพัฒนาโครงการ “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” โครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่กำหนดนิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่กว้างขวางภายใต้แนวคิด “Luxury is Space” โอ่โถงเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารรูปทรง “Monolith” อันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทองหล่อ และเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟสูงสุดเพียงชั้นละ 4 ห้อง รวม 127 ยูนิต บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดถนนเส้นหลักของทองหล่อ อีกหนึ่งทำเลอันเป็นมรดกทรงคุณค่าที่มีศักยภาพสูงสุดอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ ทั้งย่านที่พักอาศัยคุณภาพสูงมาตั้งแต่อดีต และแหล่งรวมร้านค้าชั้นนำ ร้านอาหารและ คอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์มากมายโดยหลังจากเปิดพรีเซลไปเมื่อปี 2561 และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม ด้วยยอดพรีเซลกว่า 40% พร้อมเตรียมเปิดเผยโฉม “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” ในเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งเราคาดว่าจะได้รับการตอบรับในการโอนกรรมสิทธิ์อย่างเช่นเคย อีกแน่นอน” นายปิติ กล่าวสรุป