December 05, 2025

 องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. จัดแถลงผลสำรวจตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจประเทศไทยปี 2568 : The 2025 Thailand’s Voluntary Carbon Market Outlook” 

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) จัดงาน “เปิดตัวนวัตกรรมสำหรับโครงการ T-VER ภาคป่าไม้” ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพ โดยมีเป้าหมายเพื่อประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการรับรองแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ

งานครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง อบก. กับหน่วยงานชั้นนำด้านเทคโนโลยีของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THAICOM ร่วมด้วยภาคเอกชนรายใหญ่อย่าง บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน)  และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเปิดตัว “แพลตฟอร์มการประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ด้วย Remote Sensing และ AI” ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดระยะเวลาและต้นทุนในการตรวจวัดปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่ป่าไม้ เพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ที่มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือในระดับสากล โดยภายในงานเป็นการเปิดตัว 4 แพลตฟอร์มแรกที่ผ่านมาตรฐานตามเกณฑ์การพิจารณาของ  อบก. ได้แก่

  • แพลตฟอร์ม Carbon Atlas โดย GISTDA
  • แพลตฟอร์ม CarbonWatch โดย THAICOM
  • แพลตฟอร์ม CERT+ โดย บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน)  
  • แพลตฟอร์ม Smart Forest โดย บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่ม บ.ปตท.


นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผอ.อบก. กล่าวว่า "การนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Remote Sensing และ AI มาใช้ในโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การประเมินคาร์บอนเครดิตมีความแม่นยำเท่านั้นแต่ยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต รวมทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พัฒนาโครงการและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions)"

 

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า “เทคโนโลยี LiDAR เป็นนวัตกรรมที่ใช้ในการเก็บข้อมูลภาคสนาม เมื่อนำมาบูรณาการร่วมกับข้อมูล Remote sensing และแบบจำลอง Machine learning จะช่วยให้การประเมินคาร์บอนในภาคป่าไม้มีความแม่นยำ น่าเชื่อถือ บนแพลตฟอร์ม Carbon Atlas มีข้อมูลบริการครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 90 % ของพื้นที่ป่าที่ได้รับรองจาก อบก. แล้วคือ ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าชายเลน และสวนยางพารา สำหรับเกษตรกรรายเล็กที่มีพื้นที่ปลูกไม่มาก สามารถรวมกลุ่มกัน ก็สามารถเข้าร่วมโครงการ T-VER ด้วยการเข้าใช้แพลตฟอร์ม Carbon Atlas ได้เช่นกัน”

คุณปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำธุรกิจด้าน Space tech  ไทยคมมีความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีด้านอวกาศ มาคิดค้นการบริการที่สามารถตอบโจทย์ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรามีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้ ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม และ AI ที่ได้รับการรับรองจาก อบก. เป็นรายแรกของประเทศไทย เพื่อช่วยให้การประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ แม่นยำ รวดเร็ว ตรวจสอบได้ และคุ้มค่ากว่าวิธีดั้งเดิม อีกทั้งยังนำมาซึ่งความยั่งยืนและช่วยขับเคลื่อนให้เกิดเป็นสังคมคาร์บอนต่ำในประเทศอีกด้วย”

คุณมีนา ศุภวิวรรธน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปตท. ให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมาย PTT Net zero emissions 2050 มีหนึ่งกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญคือการฟื้นฟูป่า ซึ่งนอกเหนือจากการร่วมฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมทั่วประเทศแล้ว ยังส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ผ่านการบูรณาการร่วมกับบริษัทในกลุ่ม โดย ปตท. และวรุณา ได้ร่วมกันพัฒนาโมเดลประเมินการดูดซับ CO2 ของป่าไม้ ซึ่งผ่านการรับรองจาก อบก.แล้ววันนี้จำนวน 3 โมเดล ได้แก่ ป่าดิบแล้ง ป่าผสมผลัดใบ และสวนยางพารา นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ภายใต้มาตรฐานของประทศไทย”

คุณสุรเชษฐ์ ชโลธร Director of Manufacturing Technology and Digital บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า “SCGC มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดย ‘CERT+’ ถือเป็น ‘รายแรกของประเทศ’ ที่ริเริ่มนำเทคโนโลยี Remote Sensing และ AI ขั้นสูงมาใช้ในการประเมินคาร์บอนเครดิต  เพื่อยกระดับการประเมินคาร์บอนเครดิตให้แม่นยำ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในภาคป่าไม้และเกษตรกรรม ซึ่งได้ริเริ่มใช้กับไม้ยูคาลิปตัสและขยายสู่พืชเศรษฐกิจชนิดอื่นอย่างต่อเนื่อง ระบบดังกล่าวยังสามารถติดตามการเจริญเติบโตของพืช วิเคราะห์ความเสี่ยงในพื้นที่ โดยบูรณาการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มารวมไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เราเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างแท้จริง”

นอกจากนี้ ในงานจะมีการจัดเสวนาเจาะลึกถึงรายละเอียดทางเทคนิคและข้อจำกัดการใช้งานของแต่ละแพลตฟอร์ม รวมถึงการเสวนาในหัวข้อ “การประกันภัยคาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมทางการเงินที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดคาร์บอนเครดิต สร้างความน่าเชื่อถือ และลดความเสี่ยงให้กับโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ กับ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในการผลักดันและส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดแข่งขันกีฬา ในรูปแบบคาร์บอนนิวทรัลอีเวนต์ (Carbon Neutral Event) เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) พร้อมจัดงานแถลงความร่วมมือ โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนาม และ ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ เกิดจันทึก รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมในพิธี และ นางสาวชรัญญา เพชรสุวรรณนาคะ นางสาวไทย พิษณุโลก 2568 และ Miss Climate Change” ร่วมเป็นกระบอกเสียงในการสร้างการรับรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ์เป็นศูนย์ หรือ Net Zero ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร

 

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย เรามุ่งมั่นสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันต่อสถานการณ์โลกและปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2050 ได้ในที่สุด

โอกาสนี้ขอแสดงความยินดีกับทุกองค์กรกีฬาที่ได้ร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการมุ่งมั่นดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดแข่งขันกีฬา ในรูปแบบคาร์บอนนิวทรัลอีเวนต์ (Carbon Neutral Event) และร่วมเป็นพลังสำคัญในการผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม สิ่งนี้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการร่วมมือกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศของเรา

ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เปิดเผยว่า ปัจจุบัน วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายเร่งด่วนของโลก ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งนี้ วงการกีฬา มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม การจัดแข่งขันกีฬานั้นมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นจากการเดินทาง การใช้พลังงาน หรือการใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการรองรับนักกีฬา คณะกรรมการ เจ้าหน้าที่ ผู้ชม และนักท่องเที่ยว

ดังนั้น อบก. ซึ่งเป็นหน่วยงานให้บริการทางวิชาการ รับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก (GHG Certify Body) โดยดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม จึงร่วมกับ กกท. จัดงานในวันนี้ขึ้นเพื่อแถลงความร่วมมือ ในการร่วมเป็นเครือข่ายผลักดัน และสนับสนุนให้ กกท. รวมทั้งสมาคมกีฬาต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นประโยชน์ของการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เสริมสร้างให้สมาคมกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งขันกีฬา มีความรู้ความเข้าใจ มีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกและชดเชยด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) เพื่อให้เป็นการจัดแข่งขันกีฬาในรูปแบบ Carbon Neutral Event ซึ่งเป็นการกระตุ้นตลาดคาร์บอนภายในประเทศ โดยในปีงบประมาณ 2568 อบก. มีเป้าหมายส่งเสริมให้เกิดปริมาณการซื้อขายและถ่ายโอนคาร์บอนเครดิต ซึ่งมาจากโครงการ T-VER จำนวน 900,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยในจำนวนนี้มาจากการส่งเสริมการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น องค์กร ผลิตภัณฑ์ การจัดงานอีเวนต์ และระดับบุคคล รวมจำนวน 140,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

สำหรับองค์กรกีฬา ที่ร่วมลงนามความร่วมมือและประกาศเจตนารมณ์เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกจากการจัดแข่งขันกีฬา เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 4 องค์กร ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย

ดร.ณัฐริกาฯ  กล่าวด้วยว่า ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ อบก. จะร่วมพัฒนาองค์ความรู้ด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการชดเชยคาร์บอนที่เหมาะสมกับบริบทของ กกท. รวมถึงภาคส่วนด้านการกีฬา และสมาคมกีฬาต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสร้างจิตสำนึกและพฤติกรรมที่ดีให้กับบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ในสาขากีฬา ผู้จัดงานและผู้เข้าร่วม ผ่านการสนับสนุนความรู้เชิงเทคนิค และการอบรม รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เรื่องคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการชดเชยคาร์บอน ผ่านช่องทางการสื่อสารของ อบก.

“ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีส่วนผลักดันการจัดแข่งขันกีฬาของไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับสากล ตอบโจทย์ทั้งนักกีฬา ผู้ชม นักท่องเที่ยว และนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ตลอดจนสอดรับนโยบายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และพัฒนาตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตโดยส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของอาเซียนได้ในที่สุด” ดร.ณัฐริกาฯ  กล่าวในตอนท้าย

รอยัล ภูเก็ต มารีน่า หรือ RPM กำลังก้าวสู่การเป็นท่าจอดเรือชั้นนำที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลังจากได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร หรือ CFO ทำให้ RPM ได้ก้าวไปสู่อีกขั้นของการเป็นท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนแห่งแรกของโลก

RPM มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนทางทะเลในฐานะท่าจอดเรือแห่งเดียวในประเทศไทย และผู้นำรายแรกในภูเก็ตในกลุ่มอุตสาหกรรมท่าจอดเรือ โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร CFO ประจำปี 2566 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในนาม อบก. (TGO) อันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินการด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การชดเชยคาร์บอน เพื่อนำไปสู่การจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต โดยการรับรองนี้เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงประสิทธิภาพของกระบวนการในการบริหารงานภายในองค์กร ที่ได้รับหลังจากการประเมินผลงานด้านการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์การรับรองขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการรับรองระบบ ในนาม International Accreditation Forum และ คณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ หรือ National Standardization Council of Thailand

นายกูลู ลัลวานี หัวเรือใหญ่ของ RPM เน้นย้ำว่า "การผ่านการรับรอง CFO ครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทอันแน่วแน่ของเรา ในด้านความยั่งยืน สะท้อนให้เห็นในทุกแง่มุมของการดำเนินงานอย่างตั้งใจ เรามีความยินดีที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐในฐานะท่าจอดเรือแห่งเดียวของประเทศไทย และผู้นำรายแรกในภูเก็ตในกลุ่มอุตสาหกรรมท่าจอดเรือ โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป้าหมายของเราคือรักษามาตรฐานการเป็นท่าจอดเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดอีกแห่งของเอเชียรอยัล ภูเก็ต มารีน่า เรามุ่งเน้นการพัฒนาสู่การเป็นผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจมุ่งสู่คาร์บอนต่ำ สู่การเป็นท่าจอดเรือที่ปลอดคาร์บอนแห่งแรกของโลก ตั้งเป้าเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับการใช้ชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหรือแม้แต่การเฉลิมฉลอง ตามแบบวิถีชีวิตของนักท่องเที่ยวทางทะเล ณ เมืองท่องเที่ยวชั้นนำของโลก อย่างภูเก็ตแห่งนี้

นอกเหนือจากสิ่งอํานวยความสะดวกในท่าจอดเรือของเราแล้ว เรายังคงพัฒนาและยกระดับที่พักอาศัยชั้นเลิศ ศูนย์กลางร้านค้า สำหรับผู้คนที่ต้องการวิถีชีวิตที่แตกต่าง ยิ่งไปกว่านั้น RPM ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง จากการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลด้านองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อม จัดโดยหอการค้า เนเธอร์แลนด์ – ไทย NTCC ที่ตอบโจทย์ต่อความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม สังคม และการกํากับดูแลกิจการ (ESG)

อีกทั้งยังเป็นตัวแทนเดียวจากท่าจอดเรือในภูเก็ตที่ได้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ในงานสัมมนาหัวข้อ “ยุทธศาสตร์สู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวยั่งยืนของอันดามัน” หรือ Andaman Sustainable Tourism Forum ครั้งที่ 1 จัดโดย มูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต”

อีกหนึ่งความสำเร็จของ RPM คือ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยในปีนี้เอง RPM ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ อย่าง Letter of Recognition หรือ LOR ภายใต้โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก หรือเรียกโดยย่อว่าโครงการ LESS ซึ่งจัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย หรือ อบก. นั่นเอง ท่าจอดเรือของ RPM สามารถตอบสนองต่อความต้องการพลังงานได้มากถึง 40% ต่อวัน ผ่านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่สะอาดและยั่งยืน ทั้งนี้องค์กรยังมีแผนพัฒนาเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง สู่การเป็นท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนของโลก

นอกจากนี้ RPM เอง ร่วมมือกับพันธมิตรทางเรือต่าง ๆ ในการลดการใช้ขวดพลาสติกในกิจกรรมการเดินเรือทุกประเภท ตั้งเป้าหากสำเร็จจะสามารถช่วยลดขวดพลาสติกไปได้ราว ๆ กว่า 4 ล้านขวดต่อปี ความร่วมมือเหล่านี้ยังครอบคลุมไปถึงพันธมิตรอื่น ๆ มากมาย อาทิเช่น องค์กร Seakeepers, มูลนิธิ Oceans For All, License To Clean, บริษัท Wawa Creations และ Disabled Sailing Thailand หรือที่รู้จักกันในนาม สมาคมกีฬาเรือใบสำหรับคนพิการ อีกด้วย

ทั้งหมดนี้ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของ รอยัล ภูเก็ต มารีน่า ในการเดินทางสู่การเป็นท่าจอดเรือปลอดคาร์บอนแห่งแรกของโลก ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

หนุนทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ปลื้มปี 62 มีผู้ที่มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ 406 ราย คาดสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 3,419,849.29 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

นางประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัย ผู้อํานวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวภายในงาน ร้อยดวงใจ ร่วมใจลดโลกร้อน ว่า ผลการดำเนินงานส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยนวัตกรรมลดโลกร้อนของ อบก. ในปีงบประมาณ 2562  มีผู้ที่มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศและขึ้นรับเกียรติบัตร 406 ราย โดยคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 3,419,849.29 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งมาจากกลไกและเครื่องมือที่ อบก. พัฒนาขึ้น ตัวอย่างอาทิ

  • กิจกรรมชดเชยคาร์บอนมีปริมาณการซื้อคาร์บอนเครดิตจากการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนทั้งสิ้น 144,455 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งกระตุ้นให้เกิดตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศโดยมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 3 ล้านบาท
  • ฉลากคาร์บอน ซึ่งประกอบด้วย ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) ฉลากลดโลกร้อนหรือฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Reduction) และคูลโหมด (CoolMode) ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในอาเซียนที่มีระบบการรับรองสอดคล้องตามหลักสากล มีผลิตภัณฑ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนทั้ง 3 ฉลากคาร์บอนรวมจำนวน 1,347 ผลิตภัณฑ์ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 347,129 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า
  • คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) เป็นเครื่องมือสำคัญที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำข้อมูลและรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร โดยในปีนี้มีองค์กรภาคอุตสาหกรรมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 184 แห่ง และมีปริมาณที่คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน (อุตสาหกรรมและบริการ) โดยพิจารณาจากแนวทาง/แผนการลดก๊าซเรือนกระจกลงได้ 274,549.29 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า
  • โครงการ “สนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก” (Low Emission Support Scheme: LESS) มีกิจกรรมที่ได้รับการรับรองจำนวน 361 กิจกรรม สามารถลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ 974,275 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • โครงการ “ลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย”(Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) หรือ โครงการ T-VER มีโครงการที่ขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 50 โครงการ โดยมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้รวมกัน 1,664,150 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และในจำนวนนี้มีโครงการที่ได้ผ่านการรับรองปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก (TVERs) หรือที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” จำนวน 34 โครงการ คิดเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ 1,262,757 ตัน

จากความสำเร็จดังกล่าว อบก. จึงจัดพิธีขอบคุณและมอบประกาศนียบัตรในงาน “ร้อยดวงใจ ร่วมใจลดโลกร้อน” ประจำปี 2562 ในช่วงบ่ายของวันนี้ ณ ห้องเมย์แฟร์แกรนด์บอลรูม ชั้น 11 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติผู้ประกอบการและภาคส่วนต่างๆ ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ ซึ่งภายในงานจะมีกิจกรรมประกอบด้วยการมอบโล่และประกาศนียบัตรแด่บุคคล ชุมชน องค์กร และผลิตภัณฑ์ลดโลกร้อนที่อบก. ให้การรับรองใช้เครื่องหมาย รวมถึงการแสดงนิทรรศการจากผู้ประกอบการที่มีส่วนร่วมในการลดโลกร้อน

ทั้งนี้ วันนี้มีผู้เข้าร่วมงานจากภาครัฐ เอกชน อุตสาหกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสื่อมวลชน จำนวน 1,476 คน ซึ่งการจัดงานวันนี้ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 แล้ว โดยในปีนี้มีแนวคิดการจัดงาน “ลดโลกร้อนวันนี้ เริ่มที่ตัวเรา” (It’s perfect time to start action) และได้รับความกรุณาจากท่านเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายธเนศพล  ธนบุณยวัฒน์) เป็นประธานในพิธีและมอบประกาศนียบัตร ซึ่งสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ที่มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลดีต่อประเทศไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

ก้าวต่อไป อบก. จะนำไปขยายผลและส่งเสริมทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกต่อไป เนื่องจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถเชื่อมโยงสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการบริโภคให้เกิดความยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

X

Right Click

No right click