

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกทัพนวัตกรรมอาหารระดับโลก ร่วมงาน THAIFEX–Anuga Asia 2025 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “KITCHEN OF THE WORLD : QUALITY THROUGH SUSTAINOVATION” ผสานคุณภาพ ความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และรสชาติที่อร่อยไว้อย่างลงตัว ชวนคู่ค้าพันธมิตร-ผู้บริโภคสัมผัสประสบการณ์ใหม่ แลความอร่อยที่โดนใจคนทั่วโลก ในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2025 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 นี้ โดยมี คุณเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด เน็ตเวิร์ก จำกัด คุณอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ และคุณกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ร่วมให้ข้อมูล
คุณเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด เน็ตเวิร์ก จำกัด เปิดเผยว่า บูธของซีพีเอฟปีนี้ เป็นธีม Sustainovation นำเสนอผลิตภัณฑ์รักษ์โลก การสร้างสรรสินค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย รสชาติที่อร่อย นวัตกรรม ความยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสู่การเป็นครัวของโลก (Kitchen of the World) ซึ่งนอกจากเราจะเป็นผู้ผลิตไก่ หมู กุ้ง แล้ว ยังเป็นผู้นำในเรื่องของอาหารแปรรูปในระดับโลกที่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ Authentic Asia เมนูที่เน้นรสชาติแบบเอเชีย แบรนด์ Kitchen Joy เน้นเรื่องความสนุก ความสะดวกด้วยกล่อง Cube ที่สามารถเปิดกินได้ง่าย สีสันสดใส โดยคงไว้เรื่องคุณภาพระดับสูงและรสชาติ และ MEAT ZERO ที่นำเสนอทางเลือกใหม่ของโปรตีนจากพืช เป็นต้น

คุณอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวเสริมว่า เรามุ่งเน้นทั้งของสดและแปรรูป ประเทศไทยส่งออกไก่เป็นอันดับ 3 ของโลก เราอยากสื่อสารให้ทั่วโลกทราบว่าไก่ที่มาจากเมืองไทย คุณภาพดี เป็นความท้าทาย ทำให้ซีพีเอฟ มุ่งพัฒนาตลอดกระบวนการ ด้วยมาตรฐานระดับสูงไม่ใช่แค่ระดับประเทศ และไม่ใช่แค่ระดับนานาชาติ แต่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เกินระดับโลก เป็นที่มาที่เราไปพิชิตมาตรฐานระดับอวกาศของ NASA ไก่ซีพีผ่านมาตรฐานความปลอดภัยในระดับอวกาศ ซึ่งตอนนี้เราเตรียมพร้อมจะส่งให้นักบินอวกาศได้รับประทาน คนไทยสามารถร่วมภาคภูมิใจว่าไก่ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เสริมทัพความแข็งแกร่งเรื่องการแข่งขันกับต่างประเทศ

คุณกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ กล่าวเสริมว่า ซีพีเอฟ มีเป้าหมายเดินหน้าสู่ Net -Zero ในปี 2050 ซึ่งในกระบวนการผลิตทั้งหมด ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอน รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์กับทางองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(TGO) ขณะเดียวกัน บริษัทฯกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน อาทิ ลงทุนด้านการดีไซน์ ลดการใช้พลาสติก เน้นแพ็กเกจจิ้งที่ช่วยรักษาคุณภาพของอาหาร วัสดุที่นำมาทำแพ็กเกจจิ้งไม่มาจากการตัดไม้ทำลายป่า เหล่านี้อยู่ในกระบวนการผลิตที่จะออกมาเป็นสินค้าให้กับผู้บริโภคต่อเนื่อง
อีกหนึ่งไฮไลท์ของปีนี้ ผลิตภัณฑ์ "ไส้กรอกน้ำซุปบุชเชอร์" ผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟที่ได้รับรางวัล THAIFEX Taste Innovation Show Winner 2025 สาขานวัตกรรมอาหารยอดเยี่ยม จากกว่า 100 ผลิตภัณฑ์ทั่วเอเชีย ไส้กรอกพรีเมี่ยมเนื้อแน่น สอดไส้น้ำซุปกระดูกหมู ด้านในเป็นน้ำซุปที่เพิ่มความชุ่มฉ่ำและประสบการณ์ใหม่ในการรับประทาน
นอกจากนี้ บูธ CPF ในปีนี้ ยังได้นำเสนอความสำเร็จของการนำผลิตภัณฑ์ไก่ซีพี ที่สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศของ NASA และเตรียมพร้อมจะส่งให้นักบินอวกาศได้รับประทาน คนไทยสามารถร่วมภาคภูมิใจว่าไก่ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เราพิชิตมาตรฐานที่ดีที่สุด เสริมทัพความแข็งแกร่งเรื่องการแข่งขันกับต่างประเทศ ภายในงาน ยังมีกิจกรรมที่สร้างความสนุกให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชม อาทิ นักบินอวกาศโรยตัวแจกอกไก่กะเพรา ถ่ายรูปกับอุโมงค์อวกาศ

สำหรับสุดยอดอาหารที่ได้รับรางวัล และผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก รวมทั้งผลิตภัณฑ์นำเข้าระดับพรีเมียม ที่นำมาให้ชิมและช้อปก่อนใครภายในงานนี้ อาทิ แบรนด์ CP Authentic Asia เปิดตัวเมนูเอเชียพร้อมรับประทานสุดฮิต 3 ซีรีส์ คือ Japanese Series: Japanese Tatsutaage ที่โด่งดังในญี่ปุ่นและยุโรป
Korean Series ไก่ทอดซอสฮันนี่เลมอน กลมกล่อมลงตัว Thai Series เมนูใหม่ล่าสุดอย่างไก่ทอดต้มยำ และไก่ทอดหาดใหญ่สไตล์ไทยแท้ แบรนด์ CP Kitchen Joy นำเสนอ 3 สไตล์ Thai Cube เมนูรสจัดจ้านสไตล์ไทยแท้ Indian Cube หอมเครื่องเทศเข้มข้น Green Cube โปรตีนทางเลือกเพื่อคนรักสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ MEAT ZERO นำเสนอทางเลือกใหม่ของโปรตีนจากพืช เช่น พะแนงโปรตีนทางเลือก, Mushroom Gyoza กลิ่นซอสญี่ปุ่นหอมกรุ่น และ เกี๊ยวซ่าแกงเขียวหวานฟิวชันไทย-ญี่ปุ่น

ผลิตภัณฑ์นำเข้าที่คัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วโลกมาให้ชาวไทยได้ลิ้มลอง อาทิ ซีพี อูโอริกิ อาหารทะเลพรีเมียมจากญี่ปุ่น สัมผัสความนุ่มละลายในปากของเนื้อวากิว A5 จากนางาซากิ, เนื้อวัว HARVEY BEEF จากออสเตรเลีย, พาสต้า Barilla จากอิตาลี, ชีส Meiji จากฮอกไกโด ที่คัดสรรมาตอบโจทย์ทุกมื้ออาหาร
พบกับนวัตกรรมอาหารระดับโลกจากซีพีเอฟ ได้ที่บูธ CPF เลขที่ 2-U01 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 – 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น.สำหรับผู้ประกอบการ และในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา10.00 – 20.00 น. เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมและชิมฟรี
ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (True IDC) ผู้นำด้านดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ ภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) เปิดตัว “AI Hyperscale Data Center” แห่งแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้พร้อมรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า การเปิดตัว AI Hyperscale Data Center ครั้งนี้ เป็นก้าวย่างสำคัญของประเทศไทยในการเข้าสู่ยุค Giga Data Center อย่างแท้จริง โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไม่เพียงรองรับการเติบโตของเทคโนโลยี แต่ยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
ทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก พร้อมสำหรับอนาคตของ AI ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค นอกจากนี้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Data Center ยังก่อให้เกิดประโยชน์ด้านองค์ความรู้ต่อคนไทย
“การที่เราจะทำให้ทุกคน ทุกบริษัท ทุกอุตสาหกรรม เข้าถึง AI และ Cloud Technology ก็ต้องอาศัยโครงการพื้นฐานคือ Data Center นับเป็นเรื่องที่ดีกับประเทศไทย เพราะนอกจากจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่คนไทย และอุตสาหกรรมไทยแล้ว ยังเกิดประโยชน์สู่ภูมิภาค ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคได้ และทำให้คนไทยได้รับองค์ความรู้จากการค้นคว้าวิจัยด้านดิจิทัลอีกด้วย” คุณศุภชัยกล่าว

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวว่า “ผมขอแสดงความยินดีกับ True IDC ในโอกาสการเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ที่บริษัทไทยสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในระดับ Hyperscale ได้สำเร็จ ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค เป็นประเทศที่มี ecosystem ด้านดิจิทัลที่แข็งแรงและพร้อมต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีต่อไปในอนาคต”

นายฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร True IDC เปิดเผยว่า AI Hyperscale Data Center แห่งใหม่นี้ คือโครงสร้างพื้นฐานที่มาช่วยยกระดับมาตรฐานดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย ทั้งด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม ความยั่งยืน มีความสามารถรองรับเวิร์กโหลดและลูกค้าระดับ Hyperscale ผ่านการออกแบบทุกมิติให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มที่ขับเคลื่อนด้วย Data Cloud และ AI เสริมศักยภาพประเทศไทยในการสร้างเทคโนโลยีด้วยตนเองอย่างมั่นคงและปลอดภัย”

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ถือเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ระดับเอไอไฮเปอร์สเกล (AI Hyperscale) ที่ออกแบบมาสำหรับการประมวลผล AI และเวิร์กโหลดขนาดใหญ่ ให้บริการด้วยกำลังไฟฟ้ากว่า 20 เมกะวัตต์ สนับสนุนการประมวลผลที่ต้องการเสถียรภาพและความเร็วสูง ตลอดจนการประมวลผลของ GPU (Graphic Processing Unit) ตัวอาคารติดตั้งระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูงด้วย Smart Fan Wall Unit และออกแบบให้รองรับการใช้เทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Cooling) พร้อมระบบสำรองสนับสนุนการทำงานของดาต้าเซ็นเตอร์แบบ High Redundancy เพื่อรับรองการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ที่กำลังประมวลผลภายในดาต้าเซ็นเตอร์แบบไม่หยุดชะงัก ตลอดจนความต่อเนื่องของธุรกิจที่นำระบบคอมพิวเตอร์มาวางภายในดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้ พร้อมออกแบบให้มีการควบคุมประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วยการกำหนดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ที่ดีที่สุดในประเทศไทย และมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยการนวัตกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center Innovation Lab) ภายในอาคารเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทดสอบและพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ สำหรับในทุกอุตสาหกรรม

AI Hyperscale Data Center แห่งนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจที่ต้องการขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล (Digital Transformation) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต (New S-Curve Industries) ของประเทศ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), การแพทย์และสุขภาพดิจิทัล เกษตรอัจฉริยะ การเงินดิจิทัล (Fintech), คอนเทนต์ดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ซึ่งล้วนต้องพึ่งพาข้อมูลจำนวนมหาศาลและระบบประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง การมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยในประเทศจะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศเท่าที่เคย
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และประธานกรรมการบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Global Infrastructure Partners (GIP) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ BlackRock และ True IDC ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์อันดับ 1 ของประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับและเร่งการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยให้ทัดเทียมระดับโลก รองรับการเติบโตของ AI และระบบคลาวด์ พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอาเซียน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคกิกะดาต้าเซ็นเตอร์" (Giga Data Center Age) ซึ่ง “ข้อมูล หรือ Data” คือ “New Oil” จึงทำให้ "ข้อมูล" คือทรัพยากรที่มีมูลค่ามากที่สุด และต้องการ Data Center เพื่อประมวลผล ดังนั้น “Data Center จะเป็นหัวใจของเศรษฐกิจยุคใหม่” ซึ่งในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Giga Center จะเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยต้องคว้าไว้ ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ที่แข็งแกร่งจะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก ด้วยเหตุนี้ซีพีนำโดย True IDC ซึ่งผู้ให้บริการ ดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์อันดับ 1 ของไทย จึงพร้อมที่จะ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Global Infrastructure Partners (GIP) บริษัทชั้นนำด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกภายใต้เครือ BlackRock กลุ่มทุนการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่จะ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยให้เป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์และ AI อันดับ 1 ของอาเซียน รองรับการขยายตัวของธุรกิจเทคโนโลยีระดับโลก
“ความเชี่ยวชาญระดับโลกของ GIP ในการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน ผสานกับ จุดแข็งของ True IDC ในด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ ด้านเครือข่ายการเชื่อมต่อ และโซลูชันพลังงานหมุนเวียน จะช่วยขยายศักยภาพของ True IDC ให้ก้าวไกลไปสู่ระดับอาเซียน” ซีอีโอ ซีพี กล่าว

ในขณะเดียวกัน นายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และ กรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock กล่าวว่า “การเติบโตของปริมาณข้อมูลและ AI จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากจากภาคเอกชนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญรองรับความต้องการทั่วโลก เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มซีพีและ True IDC เพื่อเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย และทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย”

พร้อมกันนี้ นายฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร True IDC กล่าวว่า “True IDC มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนมาโดยตลอด โดยความร่วมมือกับ GIP ครั้งนี้ จะช่วยเร่งให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริงเร็วขึ้น ปัจจุบันธุรกิจไฮเปอร์สเกลและเทคโนโลยี AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ True IDC สามารถขยายธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมรักษาตำแหน่งผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์อันดับหนึ่งของไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งมั่นใจว่า GIP ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก จะเข้ามาเสริมศักยภาพของ True IDC ให้สามารถขยายธุรกิจสู่ระดับอาเซียนได้เต็มรูปแบบ ความร่วมมือนี้จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสนับสนุนระบบนิเวศและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่กำลังเติบโตของภูมิภาคนี้”

ความร่วมมือครั้งนี้จะส่งผลต่อการเติบโตของ True IDC อย่างมีนัยสำคัญ โดยในอีก 3–5 ปีข้างหน้า True IDC มีแผนลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 35,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ True IDC ยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานและธรรมาภิบาล ตลอดจนขยายการให้บริการไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ทั้ง True IDC และ GIP มุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนให้แก่กัน เพื่อวางรากฐานและต่อยอดการเติบโตด้านเทคโนโลยีในทุกบริบทอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือระหว่าง True IDC และ GIP-BlackRock ไม่ได้เป็นเพียงการขยายธุรกิจเท่านั้น แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน ท่ามกลางกระแสโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI และ Cloud อย่างรวดเร็ว ความร่วมมือนี้คือการผนึกกำลังระหว่างผู้นำดาต้าเซ็นเตอร์อันดับ 1 ของไทย กับบริษัทโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลก นี่คือ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมดิจิทัลไทย ที่จะวางรากฐานให้ประเทศแข็งแกร่งขึ้นในเวทีโลก True IDC และ GIP พร้อมเดินหน้าสร้างอนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และทรงอิทธิพลในเศรษฐกิจดิจิทัลระดับสากล เพราะไทยจะไม่เป็นเพียงแค่ "ผู้ใช้เทคโนโลยี" แต่จะก้าวขึ้นเป็น ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของภูมิภาค อย่างแท้จริง
ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลกอีกครั้ง เมื่อคณะผู้บริหารระดับสูงจาก Global Infrastructure Partners (GIP) กลุ่มทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ BlackRock ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ นำโดยนายอเดบาโย โอกุนเลซี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโสของ BlackRock ในการนี้ นายโอกุนเลซีได้เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแนวทางการลงทุนและความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย โดยมี นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) พร้อมด้วยผู้บริหารจาก True IDC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และยืนยันความพร้อมของภาคเอกชนไทยในการยกระดับประเทศไทยสู่ ศูนย์กลางเทคโนโลยีและ AI ของภูมิภาค

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต้อนรับ และแสดงความยินดี พร้อมระบุว่า ทางรัฐบาลจะพยายามทำให้กระบวนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเอกชนมีความสะดวกรวดเร็ว และราบรื่น นอกจากนี้ยังยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือของภาคเอกชน กับหน่วยงานการศึกษา เกี่ยวกับการพัฒนาองค์ความรู้ และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล และดาต้าเซ็นเตอร์อย่างเต็มกำลัง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลและ AI ของภูมิภาคอาเซียน และกำลังเข้าสู่ยุคของ Giga Data Center ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานระดับกิกะวัตต์ รองรับเวิร์กโหลดที่มีความเข้มข้นสูง ตอบสนองความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ต่างพากันเข้ามาลงทุนในไทย CP Group จึงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง GIP และภาครัฐไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศให้ตอบโจทย์การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน เพิ่มทุนพัฒนามนุษย์ ตลอดจนโครงการวิจัย และพัฒนาที่จะต้องมีรองรับ สามารถยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับลูกหลานของไทยในด้านการศึกษา และการคิดค้นนวัตกรรม ”
ด้านนายอาเดบาโย โอกุนเลสี ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานและซีอีโอของ GIP และกรรมการผู้จัดการอาวุโส BlackRock กล่าวว่า “GIP มีเครือข่ายการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ และมีประสบการณ์ยาวนานในการสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สำคัญระดับโลก อาทิ สนามบิน ท่าเรือ ระบบพลังงานไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเครือข่ายศูนย์ข้อมูล ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบพื้นฐานที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งในด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการเติบโตในระยะยาว การลงทุนของ GIP ในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่โอกาสทางธุรกิจ แต่คือความร่วมมือที่มีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างระบบดิจิทัลที่มั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน พร้อมวางรากฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค”
ไฮไลต์สำคัญของการเยือนไทยในครั้งนี้ คือ GIP-BlackRock จะร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มูลค่ากว่า 3-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 105,000-175,000 ล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการรองรับเวิร์กโหลดของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, Big Data และ Cloud Services การลงทุนดังกล่าวไม่เพียงสร้างการจ้างงานใหม่จำนวนมากในกลุ่มวิศวกรรมและเทคโนโลยี แต่ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ในบริบทระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการเติบโตในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีรายงานการคาดการณ์มูลค่าตลาดจะเติบโตที่ 3.81 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 ถึง 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 6.8% จากแรงขับเคลื่อนของ Edge Computing, AI และการใช้งานคลาวด์ในวงกว้าง ตลอดจนการคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 7.5%-8.5% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า นี่คือโอกาสของประเทศไทยที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน
การเยือนไทยของ GIP-BlackRock ครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การหลอมรวมวิสัยทัศน์ของภาครัฐ ผู้นำอุตสาหกรรมไทย และนักลงทุนระดับโลก เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่ประเทศไทยจะเป็นผู้กำหนดทิศทางใหม่ของภูมิภาค สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะอย่างแท้จริง