ชวนลูกค้าคนพิเศษสนุกยกครอบครัว ณ สวนสนุกดรีมเวิลด์

กลุ่มอลิอันซ์ เปิดเผยบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกหลังนโยบายทรัมป์ ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เข้มข้นขึ้น หลังจากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวาระที่สอง ประกาศใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) โดยตั้งเป้าเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง 130% ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1890 ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการค้าระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นทันที โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการภาษีกับประเทศอื่นเพิ่มเติม เช่น กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และยุโรปตะวันออก นำไปสู่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่แผ่ขยายไปทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางและนักลงทุนต่างเริ่มประเมินความเสี่ยงใหม่อีกครั้ง

  • ประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบในระดับปานกลางจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมีการปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือ 2% ในปี 2025 และ 2.1% ในปี 2026 จาก 2.5% ในปี 2024 โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งจะมีแรงกดดันจากภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทาน แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เหมือนบางประเทศในภูมิภาค แต่ก็ยังเผชิญกับผลกระทบทางอ้อมจากความไม่แน่นอนทางการค้า ทั้งนี้ ธนาคารกลางมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่การพึ่งพานโยบายภายในประเทศและการกระจายความเสี่ยงทางการค้าจะมีบทบาทสำคัญในการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากภายนอกในระยะต่อไป.
  • ผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ทำให้องค์กรต่างๆ ลดการลงทุนและชะลอแผนขยายธุรกิจ โดยอัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2025 คาดว่าจะชะลอลงเหลือเพียง 3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย การชะลอตัวของการบริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว และความตึงเครียดที่ปะทุจากการตอบโต้เชิงนโยบายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ก็อยู่ในภาวะซบเซาจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น

 

  • ธนาคารกลางทั่วโลกจึงต้องดำเนินนโยบายด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) มีแนวโน้มจะเป็นผู้นำในการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งช่วงปลายปี 2025 ต่อเนื่องถึงปี 2026 หากภาวะเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัวลง ในทางกลับกัน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ทั้งจากนโยบายการคลังของประเทศสมาชิก และต้นทุนทางการเมืองจากนโยบายรวมยุโรป ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) แม้จะเริ่มทยอยยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบแล้ว แต่ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินภายในประเทศ
  • ขณะที่เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วกำลังเผชิญความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดเกิดใหม่กลับได้รับแรงส่งบางประการจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะ เอเชียเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) ที่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตโลก คาดว่าเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตได้ถึง 9% ในปี 2025 แม้การเติบโตอาจชะลอลงเล็กน้อย แต่กลุ่มประเทศอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ยังคงเติบโตเหนือค่าเฉลี่ยโลก โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ เงินเฟ้อที่ลดลง และทิศทางดอกเบี้ยขาลงที่เปิดช่องให้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้ การกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน (China+1 Strategy) ยังเอื้อให้ประเทศเหล่านี้กลายเป็นฐานการผลิตสำคัญในระดับภูมิภาค
  • อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเกิดใหม่อื่น ๆ กลับมีแนวโน้มผลกระทบที่แตกต่างหลากหลาย ยุโรปตะวันออก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% โดยแรงส่งหลักมาจากการจ้างงานและอุปสงค์ในประเทศ แต่ยังถูกจำกัดด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลง และนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นได้น้อย ในรัสเซียและตุรกี ความผันผวนทางเศรษฐกิจยังคงสูง ขณะที่ ละตินอเมริกา เผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลัง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น แม้เม็กซิโกจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐฯ และจีน (nearshoring) ก็ตาม แอฟริกาและตะวันออกกลาง ก็มีภาพที่ผสมผสาน โดยกลุ่มประเทศอ่าวยังคงมีเสถียรภาพจากรายได้พลังงาน แต่ประเทศอย่างอียิปต์ ซูดาน และพื้นที่ในเลแวนต์ ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

 

  • ภาคธุรกิจทั่วโลกจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนภาษี โดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (frontloading) การเปลี่ยนแหล่งผลิต (relocation) และการปรับกลยุทธ์ราคาขาย โดยเฉพาะบริษัทสหรัฐฯ เช่น Costco ที่เพิ่มสินค้าคงคลังขึ้น 10% และ Williams-Sonoma เพิ่มขึ้น 9% เพื่อรองรับความต้องการล่วงหน้าในช่วง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ก็มีความเสี่ยงหากอุปสงค์ผู้บริโภคไม่เป็นไปตามที่คาด นอกจากนี้ บริษัทจำนวนมากยังย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีโดยตรง พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มถูกกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองและนโยบาย
  • ตลาดทุนเริ่มสะท้อนความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เผชิญแรงเทขายหนักในกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ขณะที่ S&P 500 ลดลงถึง 5% ในไตรมาสแรกของปี 2025 ด้านตลาดหุ้นยุโรปกลับมีความยืดหยุ่นมากกว่า ด้วยแรงหนุนจากงบลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะในเยอรมนี ส่วนตลาดตราสารหนี้เริ่มแสดงสัญญาณของการกลับทิศ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ คาดว่าจะแตะ 0% ในปี 2025 ก่อนลดลงในปี 2026 ตามจังหวะการลดดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะกลาง เมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งอาจอ่อนค่าลงแตะระดับ 1.10 ภายในปลายปี 2026

 

ประกาศความแข็งแกร่ง ลุยสร้างการเติบโต พิชิตเบี้ยรับรวม 2.2 หมื่นล้าน เติบโต 14%

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานเสวนา Sustainability of Thailand’s Healthcare System Forum เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากไทยและสิงคโปร์ร่วมวิเคราะห์แนวโน้มเงินเฟ้อทางการแพทย์ การบริหารระบบสุขภาพแบบ Value-Based Care และอนาคตของประกันสังคม เพื่อหาแนวทางให้ระบบสาธารณสุขของไทยสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืนและตอบโจทย์ทุกภาคส่วน

สถานการณ์เงินเฟ้อด้านการแพทย์กำลังเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญต่อระบบสุขภาพไทย เนื่องจากอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของ GDP และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งผู้ให้บริการสุขภาพ บริษัทประกันภัย และประชาชนที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น หากไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนและบริหารจัดการทรัพยากรด้านสาธารณสุขอย่างเป็นระบบ ปัญหานี้อาจส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่รุนแรงขึ้นและเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ

คุณชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวว่า “คนไทยทุกช่วงวัยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แต่ความท้าทายสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น คือ ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับเงินเฟ้อด้านการแพทย์ (Medical Inflation) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าสินไหมสูงขึ้น จนทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือ คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน เข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ยากขึ้น ดังนั้นเพื่อร่วมกันหาทางออกและนำไปสู่ระบบประกันสุขภาพที่ยั่งยืน จึงได้มีการจัดงานงานเสวนา Sustainability of Thailand’s Healthcare System Forum เพื่อให้วิทยากรจากภาคส่วนต่างๆ ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองความรู้ต่างๆ”

 

งานเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในแวดวงสุขภาพทั้งจากประเทศไทยและต่างประเทศ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อด้านการแพทย์ทั้งในระดับโลกและเอเชีย เริ่มจากชาลีน ลี หัวหน้าทีมด้านสุขภาพ เอเชียแปซิฟิค วิลลิส ทาวเวอร์ วัตสัน บริษัทตัวแทนประกันภัยระดับโลกและที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตอย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ที่ 8-15% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป โดยปัจจัยหลักๆ มาจากการตระหนักเรื่องสุขภาพและความคาดหวังของผู้คน โดยเฉพาะหลังโควิด 19 ผู้คนตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น บวกกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทย จึงตามมาด้วยการเกิดโรคภัยต่างๆ ส่งผลให้จากจำนวนครั้งการ    เคลมและมูลค่าการเคลมเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับภูมิภาคอื่นๆของโลกที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการให้บริการที่มากเกินความจำเป็นของโรงพยาบาล ดังนั้น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสุขภาพ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงมีการนำแนวทางมีส่วนร่วมจ่าย (Co-payment) มาใช้ ยกตัวอย่างในสิงคโปร์ มีการนำระบบ Co-Payment มาปรับใช้กับทุกคน และมีการใช้ระบบจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ร่วมด้วย ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งเริ่มมีปัญหาเบี้ยประกันสุขภาพสูง จนกระทบกับการเข้าถึงระบบประกันของประชาชน จึงมีนโยบายไม่ให้มีการเพิ่มเบี้ยประกันเกิน 10% และในอนาคตอาจจะมีการนำ Co-payment มาใช้ ส่วนประเทศไทย เริ่มมีการนำ Co-payment มาปรับใช้แล้ว  อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่ละประเทศอาจจะมีแนวทางในการปรับใช้ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า Co-payment จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการแก้ปัญหา Medical Inflation

 

ด้านคุณณภูมิ สุวรรณภูมิ หัวหน้างานคณิตศาสตร์ประกันภัย สำนักงานประกันสังคม ฉายภาพให้เห็นถึงบทบาทของกองทุนประกันสังคมในการดูแลประชาชน และแนวทางปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นว่า ประกันสังคมเป็น Risk Pooling ขนาดใหญ่ ดูแลผู้ประกันตน 13.7 ล้านคน ด้วยโครงสร้างการบริหารที่รายรับคงที่ เนื่องจากไม่มีการจัดเก็บเงินสมทบเพิ่มในแต่ละปี แต่สิทธิประโยชน์ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้สำนักงานประกันสังคม ต้องมีกลไกในการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยปกติสำนักงานประกันสังคมจะมีวิธีการควบคุมรายจ่าย 2 รูปแบบหลัก คือ เหมาจ่าย (Capitation) หรือ จํานวนเงินคงที่จ่ายล่วงหน้าให้กับผู้ให้บริการทางสุขภาพ (สถานพยาบาล) และนอกเหนือเหมาจ่าย (Fee Schedule) ซึ่งเป็น จำนวนเงินที่จ่ายให้กับผู้ให้บริการสำหรับแต่ละบริการ โดยมีการกำหนดอัตราสูงสุด ส่วนใหญ่ 70% ของค่าใช้จ่าย เป็นค่าบริการทางการแพทย์แบบเหมาจ่าย เนื่องจาก เหมาะกับการจ่ายค่ารักษาในโรงทั่วไป เช่น OPD รับยา โรคเรื้อรัง เป็นการป้องกันการให้บริการรักษามากเกินความจำเป็น สามารถควบคุม Medical Inflation เพราะมีการพิจารณาทบทวนปรับค่าบริการทางการแพทย์ผ่านคณะกรรมการการแพทย์ที่มีตัวแทนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงโรงพยาบาลรัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม การใช้กลไกการควบคุมดังกล่าวก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดี คือ คุม Medical Inflationได้ แต่ก็อาจจะทำให้คุณภาพการให้บริการไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับผู้ประกันตนเท่ากับกรณีที่ไม่ควบคุม ​

ขณะที่ดร.เว่ยหยาง ชอง รองอธิการบดีฝ่ายงานวิจัยเชิงกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งประเทศสิงคโปร์ (Singapore Management University) ถ่ายทอดแนวคิดและแนวปฏิบัติที่ช่วยให้ระบบสุขภาพมีความคุ้มค่าและเข้าถึงได้มากขึ้น โดยยกตัวอย่างกรณีศึกษาของประเทศสิงคโปร์เกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบสุขภาพแบบ Value-Based Care ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้เกิดการเข้ามามีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน นอกจากเรื่องของการนำแนวทางมีส่วนร่วมจ่าย (Co-payment)เข้ามาใช้ การนำระบบ AI และ Robotic มาใช้ในระบบ Healthcare พร้อมทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐ ที่มอบเงินสนับสนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงพยาบาลหาวิธีในการบริหารจัดการ และส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยด้วยการป้องกันการเกิดโรค เพราะช่วยประหยัดต้นทุน บุคลากรและเวลา หากโรงพยาบาลไหน สามารถบริหารจัดการได้ดี มีเงินเหลือ ก็สามารถเก็บไว้ได้ไม่ต้องคืนรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลยังมองไปถึงการเก็บรวบรวมพฤติกรรมและพันธุกรรมของประชาชน เพื่อนำมาวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถวินิจฉัยโรค ให้การรักษา และป้องกันการเกิดโรคในประชาชนแต่ละคนได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นด้วย

 

สำหรับไฮไลท์ของงานอยู่ที่การเสวนาในหัวข้อ “Building a Sustainable Healthcare System in Thailand” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงสุขภาพ ประกันภัย และนโยบายสาธารณะ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการทำให้ระบบสาธารณสุขไทยเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ พล.ต.ท. นพ.ธนา ธุระเจน ประธานกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม นายแพทย์ธรธเนศ อายานะ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมประกันชีวิตไทย และ มร.โทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต โดยมี คุณวีณารัตน์ เลาหภคกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ

 

พล.ต.ท. นพ.ธนา ธุระเจน ประธานกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม กล่าวว่า ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ เพราะถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากป่วย หรือถ้าป่วยก็อยากหายเร็ว ดังนั้นความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ต้องส่งเสริมการป้องกันโรคและบูรณาการการร่วมมือทุกฝ่าย

“สำหรับสำนักงานประกันสังคม เราสร้างความยั่งยืน จากการยึดผู้ประกันเป็นศูนย์กลาง เราไม่กังวลกับ Medical Inflation ที่เพิ่มขึ้น เพราะเรามีกลไกในการควบคุม สามารถนำเงินที่เหลือไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ อาทิ การลงทุนเทคโนโลยี พัฒนาระบบ Audit ที่แข็งแรง สำหรับแนวทางในการสร้างระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน มองว่า นอกจากบริษัทประกันภัยเอกชนจะมอบแรงจูงใจให้กับคนที่ไม่ป่วย ด้วยการเจาะลึกว่าอินไซต์ที่คนกลุ่มนี้ว่าอยากได้อะไร เพื่อจะได้นำไปสู่การสร้างพฤติกรรมในระยะยาว นอกจากนี้ยังนำเสนอสมการทางคณิตศาสตร์ประกันภัยใหม่ที่ต้องส่งมอบคุณค่าชีวิตที่ยั่งยืนให้ทุกคนในระบบ โดยความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาพูดคุยและร่วมมือกัน”​

 

ด้านนายแพทย์ธรธเนศ อายานะ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมประกันชีวิตไทย บอกว่า Medical Inflation กำลังเป็นปัญหาใหญ่​ และนำไปสู่การเพิ่มค่าสินไหม ทำให้นอกจากลูกค้ารายใหม่ๆ จะเข้าถึงการประกันสุขภาพได้ยากขึ้น และแม้จะมีการนำระบบ Co-Payment  หรือ Deductible มาใช้ ก็อาจจะทำให้ลูกค้าเดิม ก็อาจจะจ่ายไม่ไหว สุดท้ายระบบก็ไม่ยั่งยืน เพราะด้วยคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ประกันภัยตอนนี้ที่เป็น Free For Service ทำให้ผู้เอาประกันใช้บริการแบบบุฟเฟต์ ทำให้เกิดการให้บริการทางการแพทย์เกินความจำเป็น จากสถิติพบว่า การนอนโรงพยาบาลของลูกค้าที่มีประกันสุขภาพสูงกว่าคนทั่วไปถึง 4-5 เท่า นอกจากนี้ ระบบ Co-Payment ให้ผู้เอาประกันร่วมจ่าย หรือ มีค่า Deductible​ เป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้เอาประกันคิดเยอะขึ้น เวลาเจ็บป่วยว่ามีความจำเป็นที่ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่​ แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนที่สุด เพราะถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้ทั้งระบบ

“นี่ถ้าบริษัทประกันเอกชนอยู่ไม่ได้ โรงพยาบาลเอกชนที่มีอยู่ 200-300 แห่ง ซึ่ง 50% รายได้หลักมาจากบริษัทประกันก็อยู่ยาก รวมถึง คนไทยที่หากบริษัทประกันภัยเอกชนอยู่ไม่ได้ ก็ต้องยอมจ่ายเงินเพื่อรับการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงเอง หรือ กลับเข้าไปสู่ระบบการรักษาตามสิทธิพื้นฐานของรัฐ ซึ่งจะกลายเป็นภาระให้กับภาครัฐอยู่ดี”

 

ปิดท้ายที่ มร.โทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ให้นิยามของคำว่า ระบบประกันสุขภาพที่ยั่งยืนว่า ต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ อย่างต่อเนื่องไม่ใช่แค่ใน 2-3ปีอันใกล้ แต่ เรากำลังพูดถึงอนาคต 15-20 ปีข้างหน้า แต่ด้วยสถานการณ์ Medical Inflation ที่เป็นอยู่ขนาดนี้ จะทำให้สินไหมของประกันสูง จนคนทั่วไปเข้าถึงได้ยากขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาการเข้าสู่สังคมสูงวัยที่จะยิ่งทำให้อัตราการรักษาโรคเพิ่มขึ้น โดยสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ Medical Inflation สูง เพราะการ เคลมที่มากเกินไป จากข้อมูลพบว่า เด็กไทย 0-10 ขวบ มีการอัตราการแอดมิดเข้าโรงพยาบาลที่มีจำนวนมาก และพักรักษารพ.ในจำนวนวันที่มากกว่าประเทศอื่น นอกจากนั้น จากข้อมูล มีการเคลมสูงขึ้นของโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เช่น office syndrome ทั้งที่จริงๆแล้ว การเอาประกันควรสงวนไว้สำหรับโรคสำคัญๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ตอนนี้กลับถูกนำมาใช้ในจุดที่ไม่สำคัญ ซึ่งอาจมีการป้องกันได้ และสมมติว่า หากเราไม่มีการแก้ไขใดๆ ก็จะยิ่งทำให้ระบบสุขภาพในภาพรวมแย่ลง ยกตัวอย่าง ประกันกลุ่มลูกค้าเด็ก อายุต่ำกว่า 10 ปี ในปัจจุบัน ทุกบริษัท มีการเสนอเฉพาะแผนที่มีความรับผิดส่วนแรก Deductible ร่วมด้วย

“ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ภายใน 15 ปี ผมคิดว่า คนทั่วไปจะเข้าถึงประกันสุขภาพของบริษัทเอกชนได้ลดลง และต้องกลับไปพึ่งพาหลักประกันสุขภาพของรัฐหมด ทำให้ภาครัฐก็ต้องมาแบกรับภาระตรงนี้ แต่อย่างน้อยโชคดี ที่เราตื่นตัวกันตั้งแต่วันนี้ และกำลังหาวิธีรับมือ เพื่อนำไปสู่การร่วมมือกันของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า โรงพยาบาล บริษัทประกัน รวมถึงภาครัฐ”

 

อลิอันซ์ อยุธยา มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อให้ระบบสุขภาพของไทยสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน ผ่านการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของเงินเฟ้อทางการแพทย์ และการชี้ให้เห็นถึงแนวทางใหม่ในการบริหารจัดการด้านสุขภาพ เช่น การใช้โมเดล Value-Based Care ซึ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและคุ้มค่า ตลอดจนการหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน การจัดงานเสวนานี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้าใจและสนับสนุนให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบสุขภาพที่แข็งแกร่ง มั่นคง และสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย รายงานผลการดำเนินธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายในปี 2567 เบี้ยทะลุเป้าเหนือตลาด พร้อมสานพลังเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจประกันภัยครบวงจรในไทยภายใต้แบรนด์ One Allianz Ayudhya ทั้ง ประกันชีวิต สุขภาพ รถยนต์ ทรัพย์สิน ธุรกิจSME การเดินทาง และประกันภัยเชิงพาณิชย์ เดินหน้าพัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง เสริมศักยภาพตัวแทนและพันธมิตรในทุกช่องทางจัดจำหน่าย พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้า สร้างนวัตกรรมดิจิทัล มุ่งยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่มาตรฐานสากล

ปี 2567 นับเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและประกันภัยยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น

ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว อลิอันซ์ อยุธยา ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2567 บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต (AZAY) เติบโตแข็งแกร่งเหนือตลาดในทุกช่องทาง สร้างเบี้ยประกันภัยรับรวม (GWP) เติบโต 8% แตะ 3.93 หมื่นล้านบาท ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้น 14% แตะ 8.4 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงของธุรกิจประกันชีวิต แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงสนับสนุนจากช่องทางตัวแทนที่ขยายตัว 17% แตะ 3.8 พันล้านบาท และช่องทางธนาคารที่เติบโตถึง 27% แตะ 3.1 พันล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเครือข่ายการขายหลักของบริษัท ซึ่งสามารถเข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้าน บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย (AAGI) มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม เพิ่มขึ้น 7% แตะ 1.09 หมื่นล้านบาท ขับเคลื่อนโดย ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ (A&H) ที่เติบโตสูงถึง 9% แตะ 3.9 พันล้านบาท ขณะที่ ประกันภัยรถยนต์เติบโต 4% แตะ 3.4 พันล้านบาท ประกันวินาศภัยอื่น ๆ เติบโต 7% แตะ 3.6 พันล้านบาท 

นอกจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง อลิอันซ์ อยุธยา ยังภาคภูมิใจในการอยู่เคียงข้างลูกค้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ผ่านมาตรการช่วยเหลือและบริการเร่งด่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการซ่อมแซมบ้าน การให้บริการยกรถในพื้นที่ประสบภัย รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงินให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ อลิอันซ์ อยุธยา ยังมีส่วนร่วมในการระดมทุนและบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ค่ารักษาพยาบาลในไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังเป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของประกันสุขภาพของไทย นำไปสู่ความรู้ความเข้าใจในเงื่อนไขผลิตภัณฑ์แบบ Co-Payment ที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าของอลิอันซ์ อยุธยา

 

มร. โทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวว่า "ในปี 2568 อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จะเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตผ่านกลยุทธ์การพัฒนาเครือข่ายตัวแทนและการขยายความร่วมมือช่องทางธนาคาร อย่างต่อเนื่อง เรามุ่งเน้น การเพิ่มจำนวนและคุณภาพของตัวแทนมืออาชีพ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพแบบเข้มข้น เพื่อสร้างเครือข่ายตัวแทนที่แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ในตลาดผ่านโปรแกรมการแข่งขันและฝึกอบรมต่างๆ นอกจากนี้ เราให้ความสำคัญกับการเสริมความแข็งแกร่งของตัวแทนระดับ ท็อป ผ่านโครงการ Elite โครงการ Blue Star และโครงการ Blue Star X ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนให้ก้าวสู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ เพื่อช่วยสร้างเครือข่ายผู้นำที่แข็งแกร่งในองค์กร ทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของเครือข่ายตัวแทนให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน เราได้กำลังเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งกับพันธมิตรช่องทางธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความร่วมมือกับธนาคารกรุงศรี ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางนี้ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครบวงจร รองรับทั้งการออม การลงทุน และการคุ้มครองสุขภาพ พร้อมพัฒนา นวัตกรรมดิจิทัล ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแผนประกัน จัดการกรมธรรม์ และเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้สะดวกยิ่งขึ้น เราเชื่อมั่นว่าการเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองช่องทางนี้ จะช่วยให้เราสามารถขยายการเข้าถึงลูกค้าและสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2568"

 

ด้าน มร. ลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย กล่าวเสริมว่า “ในปี 2568 อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย เราจะขยายขีดความสามารถด้วยกลยุทธ์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (1) การกระจายพอร์ตผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งขยายโอกาสธุรกิจที่มากไปกว่าประกันรถยนต์ โดยจะเน้นไปที่ประกันสุขภาพ การคุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) และการคุ้มครองบ้านและทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง พร้อมเพิ่มโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจรายย่อยและองค์กร (2) การเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่าย โดยมุ่งเสริมศักยภาพของทั้งโบรกเกอร์และตัวแทนประกันรถยนต์เดิม ให้มีความสามารถแนะนำประกันภัยชนิดอื่นๆให้กับลูกค้าได้ด้วย เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ (3) ขยายธุรกิจประกันภัยเชิงพาณิชย์ Allianz Commercial ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถให้บริการประกันภัยที่ครอบคลุมสำหรับภาคธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มองค์กร โดยเฉพาะในกลุ่ม ประกันภัยทรัพย์สิน วิศวกรรม การขนส่ง และความรับผิดทางกฎหมาย เราเชื่อว่าการเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์เหล่านี้ จะช่วยให้อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดประกันภัยไทยในอนาคต"

ในด้านของภาพรวมธุรกิจ อลิอันซ์ อยุธยา เดินหน้าธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ One Allianz Ayudhya มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านประกันภัยแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งประกันชีวิต สุขภาพ รถยนต์ ทรัพย์สิน ธุรกิจSME การเดินทาง และประกันภัยเชิงพาณิชย์ ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองที่หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้นผ่านกลยุทธ์การขายต่อเนื่อง (upsell) และการขายผลิตภัณฑ์เสริม (cross-sell) และด้วยโครงสร้างที่ผสานความร่วมมือระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ อลิอันซ์ อยุธยา สามารถให้บริการที่ไร้รอยต่อ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและพันธมิตรมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน อาทิ เช่น ในธุรกิจประกันสุขภาพ โดยมีการพัฒนาระบบการดูแลลูกค้า ได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน, ก่อนเข้ารับการรักษา ช่วงระหว่างการรักษา จนถึงดูแลฟื้นฟูหลังการรักษาพยาบาล โดยปัจจุบัน อลิอันซ์ อยุธยา มีเครือข่ายโรงพยาบาลมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรายังใช้ความแข็งแกร่งจากการเป็นผู้ให้บริการประกันสุขภาพอันดับ 2 ของประเทศ เพื่อขยายตลาดและตอกย้ำความเป็นผู้นำในฐานะบริษัทประกันภัยที่เข้าใจและพร้อมดูแลลูกค้าอย่างครบวงจรในประเทศไทย

ด้วย กลยุทธ์ One Allianz Ayudhya ที่ผสานความแข็งแกร่งของ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย บริษัทฯ พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2568 ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์ที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นของทีมงาน เรามั่นใจว่าอลิอันซ์ อยุธยา จะสามารถก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกันภัยที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้บริการมากที่สุดในประเทศไทย โดยเป้าหมายสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมในธุรกิจประกันชีวิต เติบโต 10%  ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท และธุรกิจประกันภัย เติบโต 12% เบี้ยประกันภัยรับรวมแตะ 1.2 หมื่นล้านบาท

อนึ่ง กลุ่มอลิอันซ์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นหลัก ของ บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ได้รายงานผลประกอบการปี 2024 เติบโต โดยมีมูลค่าธุรกิจรวมเพิ่มขึ้น 11.2% แตะระดับ 1.8 แสนล้านยูโร เมื่อปรับมูลค่าจากอัตราแลกเปลี่ยนและการควบรวมกิจการ โดยกลุ่มธุรกิจ ประกันชีวิตและสุขภาพ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโต ควบคู่ไปกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธุรกิจ ประกันวินาศภัย ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานแตะระดับ 1.6 หมื่นล้านยูโร (12 เดือนปี 2023: 1.47 หมื่นล้านยูโร) เพิ่มขึ้น 8.7% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนเงินกองทุน Solvency II ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 209% ณ สิ้นปี 2024

Page 1 of 33
X

Right Click

No right click