November 25, 2024

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เผยยาง EUDR ได่นีลกนะแวตอบรับดี เตรียมส่งออเดอร์ยางล๊อตแรก 2,000-3,000 ตันต่อเดือนให้ลูกค้าจีน ภายในเดือน ก.ย.นี้ พร้อมตั้งเป้าส่งออกปีนี้ 45,000 ตัน และจะเติบโตมากขึ้นในปี 2568 ขณะที่ มั่นใจครึ่งปีหลังผลงานดี ลุ้นรายได้ปีนี้โตเกินเป้าสูงกว่าปีก่อน

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึงมาตรฐานสหภาพยุโรป (อียู) ที่เริ่มบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EU Deforestation Regulation (EUDR) ว่าในช่วงไตรมาส 3/2567 บริษัทจะมีการส่งออกยาง EUDR ล็อตแรกให้บริษัทยางสัญชาติจีน ประมาณ 3,000 ตัน และส่งออกมากขึ้นในไตรมาส 4/2567

โดยปัจจุบันบริษัทมุ่งหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าสัญชาติจีน บวกกับก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจากับลูกค้าสัญชาติจีนไปแล้ว ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ส่วนใหญ่การส่งมอบจะเป็นล็อตเล็กประมาณ 2,000-3,000 ตันต่อเดือน คาดว่าระยะเริ่มแรกภายในปี 2567 น่าจะส่งออกยาง EUDR ได้ใกล้เคียงประมาณ 45,000 ตัน และจะเติบโตมากขึ้นในปี 2568 ทั้งนี้ราคาขายยางมาตรฐาน EUDR ที่ดี และจะมีความสามารถในการทำกำไรที่สูง น่าจะเข้ามาช่วยเสริมนอกเหนือจากการขายยางพาราปกติได้พอควรในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 อีกด้วย

สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 มั่นใจว่ามีรายได้ทั้งปีจะเติบโตอยู่ที่ 28,500 ล้านบาท จากมีปริมาณขาย 440,000 ตัน โดยมีแนวโน้มคำสั่งซื้อที่ดีขึ้น ได้ปัจจัยบวกจากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อ (Order) ล่วงหน้าครอบคลุมถึงไตรมาส 1/2568

ขณะที่แนวโน้มการส่งออกยางพารายังดีต่อเนื่อง โดยจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์พบว่า การส่งออกยางพาราขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน โดย 6 เดือนแรกของปี ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ขยายตัว 30.6% โดยการเติบโตจะมาจากตลาดจีนที่มีความต้องการยางพาราที่มากขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไป โดยเฉพาะการซื้อยางพาราเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระดับสต๊อก ส่วนปัจจุบันซัพพลายยางก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

นายชูวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทให้ความสำคัญกับตลาดอินเดีย และจีน ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มในการเติบโตต่อ และล่าสุดมีการการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ในประเทศโกตดิวัวร์ (Cote d'Ivoire) เพื่อสร้างโอกาสในประเทศเกิดใหม่ เพราะเป็นประเทศที่มีโอกาสเติบโตในเรื่องของยางพาราเยอะ และการแข่งขันยังไม่สูงมากนัก

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์  หรือ "NER" ได้รับประกาศนียบัตรคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization (CFO)

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2564 จำนวนทั้งสิ้น 824 หลักทรัพย์

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน)  หรือ NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ ประกาศให้ NER ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2564 ด้วยการคัดเลือกจาก 824 หลักทรัพย์จดทะเบียน (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มธุรกิจการเกษตร (Agribusiness) และเป็นบริษัทที่เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 ต่อเนื่อง 3 ติดต่อกัน (2562 – 2564) นับตั้งแต่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียน

ทั้งนี้การที่บริษัทได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 บริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่มุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และหลักบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) หรือ ESG และเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่เจ็ดในปีนี้

ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ขอเชิญร่วมกิจกรรม CSR ร่วมสร้างโอกาสทางการศึกษากับโครงการ "NER สานฝันห้องสมุด" ร่วมบริจาคหนังสือสำหรับเด็กอนุบาล ถึง มัธยมศึกษาตอนต้น ทั้งมือหนึ่งและมือสองสภาพดี  เพื่อมอบให้กับห้องสมุดสถานศึกษา ในจังหวัดบุรีรัมย์ สำหรับช่องทางการบริจาคสามารถส่งที่ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน)  589/156 ชั้น 28 อาคารเซ็นทรัลซิตี้ ทาวเวอร์ ถนนเทพรัตน แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 044-666-928-9 หรือ 065-992-2388

บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) กางผลงานไตรมาส 2 ปี 2563 กำไรนิวไฮพุ่ง 224.90 ล้านบาท หนุนครึ่งปีแรกกำไรสุทธิที่ 284.79 ล้านบาท หลังประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น ต้นทุนลดต่ำลง พร้อมรับอานิสงค์เศรษฐกิจจีนฟื้นหลังคลายล็อกดาวน์เมืองจาก COVID-19 ดันคำสั่งซื้อระยะยาวพุ่ง ผู้บริหารมั่นใจแนวโน้มครึ่งปีหลังโตโดดเด่นทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง หลังได้ลูกค้าใหม่เพิ่ม 2 ราย จ่อออเดอร์ยาวสิ้นปี พร้อมเตรียมขยายฐานรุกตลาดอินเดีย หนุนทั้งปีโตตามเป้า ยอดขาย 365,000 ตัน - รายได้แตะ 17,000 ล้านบาท

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,692.40 ล้านบาท ส่งผลให้ครึ่งปี 63 บริษัทมีกำไรรวม 5,646,76 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 224.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.61 ล้านบาท เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 166.29 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.25% ซึ่งเป็นการทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ (นิวไฮ) ส่งผลให้ครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิที่ 284.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.56 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 267.23 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.57%

โดยปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น มาจากการที่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการประสิทธิภาพการผลิตได้ดีขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับลดลงจาก 91.6% ในช่วงเดียวกันปีก่อนเหลือ 87% ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการบันทึกกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจากไตรมาส 1/63 กลับเข้ามาเพิ่มอีกราว 126.42 ล้านบาท รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการอัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ขณะเดียวกันคำสั่งซื้อ (Order) จากลูกค้าจีนก็ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รับอานิสงค์กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนที่เริ่มกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะยอดจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่พลิกกลับมาเติบโตอีกครั้ง ภายหลังจากได้มีการคลายล็อกดาวน์เมือง หลังปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19

นายชูวิทย์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมั่นใจผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น หลังจากล่าสุดบริษัทฯ ได้สัญญาระยะยาวจากลูกค้าใหม่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์และรถบรรทุกรายใหญ่ของประเทศจีนเพิ่มเข้ามาอีก จำนวน 2 ราย ได้แก่ LLIT (หลิงหลง) ซึ่งมีคำสั่งซื้อราว 48,000 ตัน/ปี และ Triangle Tyre ซึ่งมีคำสั่งซื้อราว 24,000 ตัน/ปี โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบในไตรมาส 3/63 นี้ และนอกจากนี้บริษัทฯ ยังเตรียมขยายฐานรุกตลาดอินเดียเพิ่มเติมอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

สำหรับโรงงานแห่งใหม่กำลังการผลิตรวม 172,800 ตัน/ปีนั้น เริ่มเดินเครื่องการผลิตเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวม 465,600 ตัน/ปี จากก่อนหน้านี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 292,800 ตัน/ปี อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทฯจะมีการเดินเครื่องจักรโรงงานแห่งใหม่เพียงแค่ 70% ตามปริมาณออเดอร์ในปัจจุบัน ส่วนปีหน้าคาดจะเดินเครื่องจักร 100% เบื้องต้นจากแผนงานที่วางไว้บริษัทมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานปี 2563 จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่รายได้ 17,000 ล้านบาท เติบโตราว 30% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 13,107.15 ล้านบาท

 

“เราได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องราคา ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ลูกค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่ โดยเฉพาะลูกค้าจากจีนมีออเดอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากแผนงานที่วางไว้ จึงมั่นใจว่า ครึ่งปีหลังกำไรจะนิวไฮต่อเนื่องทุกไตรมาส” นายชูวิทย์กล่าว

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click