December 05, 2025

บริษัท อุตสาหกรรมทำเครื่องแก้วไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แก้ว หรือ BJC Glass ภายใต้ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณสมพร ณ สุพรรณ รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ และรองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมแก้วและกระจก ร่วมเป็นสักขีพยานในการทำข้อตกลงความเข้าใจ ในการลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (โฟมและหลอดพลาสติก) ร่วมกับเครือข่ายเกาะยั่งยืนประเทศไทยกว่า 33 เกาะ, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์กรภาคีเครือข่ายอีกกว่า 30 องค์กร ในงาน “วันมหาสมุทรโลก (World Oceans Day)”

ภายใต้หัวข้อ “Wonder: Sustaining What Sustains Us – ดูแลทะเลที่หล่อเลี้ยงเรา” โดยได้รับเกียรติจาก คุณณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานเปิดงาน เพื่อร่วมมอบความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นำไปสู่การบริหารจัดการขยะทางทะเล ฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนชายฝั่งอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ BJC Glass ได้ร่วมกับชาวเกาะอีกกว่า 30 แห่ง เก็บขยะขนาดใหญ่ “30+ Islands Clean-Up: So Cool Mission” เพื่อรักษามหาสมุทร ในวันมหาสมุทรโลก รวมถึงร่วมแสดงนิทรรศการเพื่อสร้างความเข้าใจถึงความยั่งยืนของบรรจุภัณฑ์แก้ว ที่ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพียงคัดแยกขยะให้ถูกต้อง ณ เกาะช้าง จ.ตราด

พร้อมหนุนผลิตภัณฑ์สุขภาพคุณภาพเข้าถึงได้ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นวิทยากรในงาน CNBC Converge Live ซึ่งเป็นเวทีประชุมระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้นำธุรกิจ นักลงทุน และนักคิดจากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายของธุรกิจในยุคดิจิทัล งานนี้จัดขึ้นโดย CNBC สื่อธุรกิจชั้นนำระดับโลก ณ Jewel Changi Airport ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568

ในโอกาสนี้ นางฐาปณีร่วมเป็นวิทยากรในเวทีเสวนาหัวข้อ “Shaping the Future: The Hallmarks of Next-Generation Leadership” ซึ่งนำเสนอแนวคิดและวิสัยทัศน์ของผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ที่กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรม โดยภายในงานฯ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายองค์กรเข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ อาทิ Mr. Kevin Tan ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Alliance Global, Mr. Timothy Cosulich ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Fratelli Cosulich Group และ Mr. Anthony Tan ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Grab ซึ่งล้วนเป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจของเอเชีย

​การเสวนาครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของผู้นำยุคใหม่ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากอิทธิพลของเทคโนโลยี AI และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ประเด็นหลักที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ รวมถึงแนวทางการบริหารองค์กรให้เติบโตในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ กลยุทธ์การสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและความยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง ทั้งยังร่วมกันแบ่งปันบทเรียนจากความล้มเหลวและข้อผิดพลาดที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารและนักธุรกิจรุ่นต่อไป

​นางฐาปณี ถือเป็นแบบอย่างของผู้นำหญิงที่มีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจไทยและเอเชีย โดยได้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะซีอีโอหญิงคนแรกของ BJC ในรอบ 140 ปี และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนได้ขยายธุรกิจและพัฒนาเครือข่ายค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน BJC มีธุรกิจที่ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ และร้านค้าปลีก

​หนึ่งในโครงการสำคัญที่ นางฐาปณี ผลักดันให้เกิดขึ้น คือ โครงการ “โดนใจ” ซึ่งช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศไทย เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจฐานราก และช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกรายย่อยสามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของสตรีในองค์กร สนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน และผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคธุรกิจอีกด้วย

ทั้งนี้ งาน CNBC Converge Live เป็นงานประชุมสุดพิเศษที่จัดขึ้นสำหรับผู้ได้รับเชิญเท่านั้น โดยรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจและเศรษฐกิจโลก ความรู้และประสบการณ์จากเวทีนี้จะช่วยสร้างแนวทางและแรงบันดาลใจให้กับผู้นำธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการทั่วโลกให้สามารถปรับตัวและเติบโตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้รวมในไตรมาส 4/67 เท่ากับ 44,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,070 ล้านบาทจากปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,878 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 16.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 1,644 ล้านบาท เติบโตขึ้น 0.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เติบโตขึ้น และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มสินค้าและบริการ รวมไปถึงการจัดทำโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 6,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ประจำปี 2567 อยู่ที่ 25,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 354 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของบรรจุภัณฑ์กระป๋อง อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 21.3% เพิ่มขึ้น 75 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นมาจากทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์กระป๋อง เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ลดลงของทั้งโซดาแอชและเศษแก้ว รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุน และ Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 15.8% เพิ่มขึ้น 102 bps เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น

กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค มียอดขาย ในไตรมาส 4/67 ของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค อยู่ที่ 5,266 ล้านบาท ลดลง 80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจต่างประเทศเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัวยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 20.4% เพิ่มขึ้น 188 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากต้นทุนมันฝรั่งที่ลดลง Product Mix ที่เหมาะสมขึ้น และโครงการลดต้นทุนต่างๆ ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 10.9% เพิ่มขึ้น 192 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น

กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค มียอดขายของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค ในไตรมาส 4/67 กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค อยู่ที่ 2,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายกลุ่มเวชภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการออกสินค้าใหม่ และได้รับประโยชน์จากงบประมาณของภาครัฐ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิคในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 34.1% เพิ่มขึ้น 221 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จาก Product Mix ที่ดีขึ้น ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้ไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 18.5% เพิ่มขึ้น 719 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายและกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง

กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ มียอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ ในไตรมาส 4/67 รายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 30,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 829 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 26,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 830 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมในไตรมาสอยู่ที่ 2.2% (1.5% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในหมวดสินค้าอาหารสด (Fresh Food) และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในหมวดสินค้าอาหารแห้ง (Dry Food) ในระหว่างไตรมาส ขณะที่รายได้อื่นอยู่ที่ 3,211 ล้านบาท ลดลง 57 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการ โดยรายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ประจำปี 2567 อยู่ที่ 116,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,264 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 103,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,434 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดสาขาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ การเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมลดลง 0.8% (0.02% เมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) ในขณะเดียวกันรายได้อื่นอยู่ที่ 12,737 ล้านบาท ลดลง 203 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการและรายได้อื่น

กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/67 โดยได้เปิดบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 4 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 16 สาขา (รวมบิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านขายยาเพรียวจำนวน 3 สาขา ตลาด Open-air จำนวน 1 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 1 สาขา และร้านหนังสือเอเซียบุ๊คส์จำนวน 1 สาขา และในระหว่างไตรมาสมีการปิดบิ๊กซิ ไฮเปอร์มาร์เก็ตที่กำลังจะหมดสัญญาเช่าจำนวน 1 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี ราษฎ์บูรณะ โดยหลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว บริษัทได้ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาเช่าของร้านค้าสาขาดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมีสาขาอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงที่สามารถรองรับลูกค้าได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้บริษัทได้ปิดบิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 1 สาขา บิ๊กซี มินิจำนวน 2 สาขา บิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 3 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 2 สาขา และร้านกาแฟวาวีจำนวน 4 สาขา ส่งผลให้เครือข่ายร้านค้าของบริษัทมีร้านค้าไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 155 สาขา (รวมบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์จำนวน 1 สาขาในประเทศกัมพูชา และ 1 สาขาในประเทศลาว) ร้านค้าขนาดซูเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 52 สาขา (บิ๊กซี มาร์เก็ตจำนวน 34 สาขา และบิ๊กซี ฟู้ดเพลสจำนวน 16 สาขาในประเทศไทย และ 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ร้านค้าบิ๊กซี ฮ่องกงจำนวน 14 สาขา ร้านค้าบิ๊กซี มินิจำนวน 1,616 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ในประเทศไทยจำนวน 77 สาขา และบิ๊กซี มินิจำนวน 18 สาขาในประเทศกัมพูชา) บิ๊กซี ดีโป้จำนวน 11 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเซอร์วิสจำนวน 7 สาขา ตลาด Open-Air จำนวน 9 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 146 สาขา ร้านกาแฟวาวีจำนวน 43 สาขา ร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์จำนวน 69 สาขา ในขณะที่เครือข่ายร้านค้าโดนใจมีจำนวน 10,773 สาขา ณ สิ้นปี 2567 และแพลตฟอร์ม Omnichannel ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจำนวนการดาวน์โหลดแอป Big C PLUS ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทและแพลตฟอร์มอื่น (3rd party) ในปี 2567

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์เพื่อเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

บีเจซี เฮลท์แคร์ จับมือ DK Medical Systems เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยีการแพทย์ หวังกระชับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการแพทย์ ยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพผ่านปัญญาประดิษฐ์ พร้อมประยุกต์ AI ใช้กับเครื่องเอกซเรย์รุ่นล่าสุด สนับสนุนการวินิจฉัยโรคแม่นยำสูงขึ้น เพิ่มโอกาสตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี ผู้ดำเนินธุรกิจพาณิชยกรรม ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจร เปิดเผยว่า บีเจซี เฮลท์แคร์ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ ภายใต้การบริหารงานของ บีเจซี ร่วมกับ DK Medical Systems ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของเกาหลีใต้ จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเทคโนโลยีทางการแพทย์แห่งใหม่ X-Cellence Training Center ณ อาคารบีเจซี 2 เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมถึงยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชีย

 

สำหรับจุดเด่นของความร่วมมือครั้งนี้อยู่ที่การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในระบบเครื่องเอกซเรย์รุ่นล่าสุด Elin T7 ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับการวินิจฉัยโรคให้มีความแม่นยำสูงขึ้น โดย AI จะทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์และช่วยระบุตำแหน่งของรอยโรคที่สำคัญ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยี AI ที่อยู่ในระบบยังสามารถเรียนรู้และพัฒนาความแม่นยำในการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดในการวินิจฉัย และเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ขณะเดียวกัน ศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่นี้จะเป็นฐานสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยี AI ในทางการแพทย์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรทางการแพทย์ในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการวินิจฉัยโรค นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub) และนโยบาย New Southern Policy ของเกาหลีใต้ ที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

นางฐาปณี กล่าวว่า การผสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยี AI ทางการแพทย์ระหว่างไทยและเกาหลีใต้ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมกันในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืนในภูมิภาคต่อไป

ในปี 2023 - 2025 ตลาดเครื่องมือแพทย์ของไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าตลาดรวมการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศจะเติบโตเฉลี่ย 5.5 – 7% ต่อปี ขณะที่ภาพรวมกลุ่มธุรกิจ บีเจซี เฮลท์แคร์ ในปีนี้ ยังอยู่ในทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตจากปีก่อน ประมาณ 8% ซึ่งเติบโตกว่าอัตราการเติบโตของตลาดโดยรวมในปีที่ผ่านมา

ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องมือด้านเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ในปีนี้ ยังมองว่าตลาดนี้ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนหลัก อย่าง เทรนด์การรักษาสุขภาพของผู้คนในยุคนี้ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกายกันอย่างมาก รวมถึงมองหาการบริการหรือตัวช่วยที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การตรวจสุขภาพต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคภัย การรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการพยายามเข้าถึงการบริการที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดี สวยงามมากขึ้น

ข้อมูลเกี่ยวกับ DK Medical Systems ผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1992 ได้สร้างความก้าวหน้าในวงการแพทย์ด้วยการนำเข้าเทคโนโลยีการวินิจฉัยด้วยภาพที่ทันสมัย และเป็นผู้นำตลาดเอกซเรย์ดิจิทัลในเกาหลี และล่าสุดบริษัทได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานสู่ความร่วมมือด้านการรักษาด้วยเทคโนโลยี Heavy Ion Therapy พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านการศึกษา การวิจัยและการประยุกต์ใช้ทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง โดยประสบความสำเร็จในการเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด 'INNOVISION Elin-T7 wide' เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลระดับพรีเมียมที่ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย พร้อมดีเทคเตอร์ ขนาด 47x47 เซนติเมตร นับเป็นครั้งแรกของโลก ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่การตรวจวินิจฉัยได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในการถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องท้องที่สามารถบันทึกภาพได้ครบถ้วนในครั้งเดียว ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยทางคลินิก และช่วยลดความจำเป็นในการถ่ายภาพซ้ำ ถือเป็นการลดการได้รับรังสีที่ไม่จำเป็นของผู้ป่วยอีกด้วย

Page 1 of 7
X

Right Click

No right click