

World Animal Protection ชี้ฟาร์มอุตสาหกรรมเร่งวิกฤตภูมิอากาศ–เชื้อดื้อยา เรียกร้องเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่เป็นธรรมและยั่งยืน
เนื่องในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก 28 กันยายน องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection) ตอกย้ำความมุ่งมั่น 75 ปี “Don’t Forget Them – เราไม่ทิ้งกัน” เดินหน้าสนับสนุนวัคซีนพิษสุนัขบ้าอย่างต่อเนื่อง โดยมอบวัคซีนจำนวน 10,000 เข็ม ให้แก่กรมปศุสัตว์ เพื่อนำไปใช้ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อสร้างชุมชนปลอดภัย ปลอดโรคทั้งคนและสัตว์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างถาวร
การมอบวัคซีนครั้งนี้นำโดย นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย พร้อมด้วยนายโชคดี สมิทธิ์กิตติผล หัวหน้าฝ่ายโครงการ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย เป็นผู้แทนมอบให้แก่ น.สพ.ณรงค์ เลี้ยงเจริญ ผู้อำนวยการสำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นผู้แทนรับมอบ ทั้งนี้ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้เริ่มสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแก่กรมปศุสัตว์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 รวมแล้วเกือบ 100,000 เข็ม

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก พร้อมด้วยอาสาฮีโร่พิทักษ์สัตว์ ได้เข้าร่วมติดตามการทำงานของกรมปศุสัตว์ในโครงการเร่งรัดผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์การบริหารส่วนตำบลดอนฉิมพลี โดยมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ 61 ราย ทำหมันสุนัขและแมวได้ 94 ตัว และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเพิ่มอีก 101 ตัว สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กร และชุมชน ภายใต้พระปณิธานของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าอย่างยั่งยืน

นอกเหนือจากการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกยังให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่าง ๆ ทั้งภัยธรรมชาติและภัยสงคราม เพราะในหลายสถานการณ์ สัตว์มักถูกมองข้ามหรือรอความช่วยเหลือเสมอ สำหรับองค์กรฯ แล้ว ความช่วยเหลือไม่ใช่เพียงการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน แต่คือการมุ่งเน้นสวัสดิภาพของสัตว์เป็นที่ตั้ง โดยทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคีเครือข่ายในการจัดหาอาหาร กรง และอุปกรณ์จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของสัตว์และเจ้าของ สะท้อนพันธกิจ “Don’t Forget Them – เราไม่ทิ้งกัน” ที่เป็นหัวใจสำคัญตลอด 75 ปีที่ผ่านมา

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกเชื่อมั่นว่า การสร้างโลกที่ปลอดภัยและน่าอยู่ ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมือของมนุษย์ทุกคน ทั้งในฐานะเจ้าของสัตว์ เพื่อนร่วมโลก และผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การดูแลและเอื้ออาทรต่อสัตว์ไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา แต่ยังเป็นการร่วมกันสร้างสังคมที่มีความเมตตาและยั่งยืนสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
สภาผู้แทนราษฎรเม็กซิโกได้มีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 415 ต่อ 0 ในการแก้ไขกฎหมายทั่วไปว่าด้วยสัตว์ป่า (Ley General de Vida Silvestre) เพื่อห้ามการแสดงโลมา วาฬเพชฌฆาต สิงโตทะเล และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดอื่น รวมถึงการจัดตั้งสวนโลมาแห่งใหม่ในประเทศ
กฎหมายฉบับใหม่นี้ อนุญาตให้กักขังสัตว์เหล่านี้ได้เฉพาะในกรณีที่เป็นสัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือ หรือเพื่อการวิจัยและอนุรักษ์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น โดยต้องไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิงหรือผลกำไร และต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัด
กฎหมายที่มีผลบังคับจริงพร้อมบทลงโทษหนัก
ร่างกฎหมายฉบับนี้ ผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญเมื่อเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงฉันทามติทางการเมืองที่หายากในประเด็นสวัสดิภาพสัตว์ กฎหมายกำหนดบทลงโทษเป็นค่าปรับตั้งแต่ 200 ถึง 75,000 เท่าของหน่วย UMA (Unidad de Medida y Actualización) ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงสุดกว่า 8 ล้านเปโซเม็กซิโก หรือประมาณ 16.8 ล้านบาท สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
Virginia Reyes สมาชิกรัฐสภา กล่าวว่า "ไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลใดควรถูกบีบบังคับให้เป็นเครื่องมือความบันเทิงอีกต่อไป"
ออสเตรเลียควรเดินตามรอย – จบวงจรธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน
Suzanne Milthorpe หัวหน้าการรณรงค์ขององค์กรพิทักษ์สัตว์โลก ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า "นี่คือความก้าวหน้าครั้งสำคัญเพื่อสัตว์ และออสเตรเลียควรเดินตามรอยเช่นกัน"
องค์กรพิทักษ์สัตว์โลก ได้บันทึกหลักฐานอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของโลมาที่ถูกกักขัง ไม่ว่าจะในเม็กซิโก ออสเตรเลีย หรือประเทศอื่นทั่วโลก
"วันนี้ เราเข้าใกล้ความจริงที่ว่า โลมารุ่นนี้อาจเป็นรุ่นสุดท้ายที่ต้องทนทุกข์เพื่อความบันเทิงของมนุษย์"ความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า การกักขังสัตว์ป่าไม่ใช่รูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน โลมาและวาฬเพชฌฆาตมีอายุยืนหลายสิบปี ขณะที่กระแสของสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เรียกร้องการกำกับดูแลที่เข้มงวด
"เมื่อกฎหมายฉบับใหม่ของเม็กซิโกมีผลบังคับใช้ เราขอเรียกร้องให้ทางการเม็กซิโกกำกับดูแลสวัสดิภาพของโลมาที่ยังคงอยู่ในที่กักขังอย่างจริงจัง เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมของพวกมันตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติได้อย่างแท้จริง" - Suzanne Milthorpe กล่าวเพิ่มเติม
องค์กรพิทักษ์สัตว์โลก เรียกร้องให้รัฐบาลรัฐควีนส์แลนด์และนิวเซาท์เวลส์ แสดงความเป็นผู้นำเช่นเดียวกับเม็กซิโก ด้วยการเร่งปฏิรูประบบกฎหมายและยุติการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่แสวงหาผลกำไรจากสัตว์ โดยเฉพาะสถานที่อย่าง Sea World ที่โกลด์โคสต์ และ Coffs Coast Wildlife Sanctuary ที่ยังคงใช้โลมาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเพื่อความบันเทิง
การมีส่วนร่วมจากประชาชนและรัฐบาลทั่วโลก
องค์กรพิทักษ์สัตว์โลกขอเรียกร้องให้ประชาชนในออสเตรเลียและทั่วโลกทบทวนบทบาทของตนเองในฐานะผู้บริโภคความบันเทิงจากสัตว์ ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องร่วมกันปฏิเสธรูปแบบความบันเทิงที่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของสัตว์ป่า ขณะเดียวกัน องค์กรฯ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เร่งปฏิรูปกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และยุติการใช้งานสัตว์ป่าในอุตสาหกรรมบันเทิงทุกรูปแบบ เพื่อสร้างสังคมที่เคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของสิ่งมีชีวิตร่วมโลกอย่างแท้จริง
แนวโน้มการท่องเที่ยวเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน – ไทยควรเป็นผู้นำในเอเชีย
ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ” ต่อทั้งสัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีหลายบริษัทท่องเที่ยวระดับนานาชาติที่เริ่มขยับ เช่น Klook และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ที่หันมาให้ความสำคัญกับนโยบายสวัสดิภาพสัตว์อย่างเป็นรูปธรรมด้วยการยุติการขายบัตรท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับการขายโปรแกรมสถานที่ท่องเที่ยวหรือประสบการณ์ที่แสวงประโยชน์จากสัตว์ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆทั่วโลก
นางสาวโรจนา สังข์ทอง ผู้อำนวยการ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า “การจัดการนโยบายด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่เอาจริงเอาจังของบริษัทท่องเที่ยวอย่าง Klook และแพลตฟอร์มออนไลน์ท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ช่วยตัดเม็ดเงินที่จะไปสนับสนุนธุรกิจที่ใช้สัตว์ป่าเพื่อสร้างความบันเทิง ซึ่งเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับการฝึกสัตว์อย่างโหดร้ายผิดธรรมชาติ และเพื่อเป็นการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ยั่งยืน รัฐบาลไทยควรถือโอกาสเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปกป้องและคุ้มครองสัตว์ป่า ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวที่เคารพต่อสวัสดิภาพของสัตว์ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยให้สอดคล้องกับกระแสโลก และเพื่อให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนต่อสัตว์ทั่วโลก
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วาฬนำร่องจำนวน 246 ตัว ถูกต้อนเข้าอ่าวเลย์นาร์ ณ หมู่เกาะแฟโร และถูกรุมฆ่าอย่างทารุณด้วยมีดปลายแหลมที่เรียกว่า “แลนซ์ไนฟ์” จากรายงานของผู้อยู่ในเหตุการณ์ พบว่าเหยื่อที่เป็นแม่วาฬที่กำลังตั้งท้องกว่า 30 ตัว และลูกวาฬเล็กๆ อีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้แน่ชัด องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก (World Animal Protection Denmark) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีของหมู่เกาะแฟโร ยุติการล่าอันโหดร้ายนี้โดยทันที
วาฬฝูงใหญ่แสดงอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรง ถูกเรือติดเครื่องยนต์ไล่ล่าเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะถูกต้อนเข้าสู่น้ำตื้นในอ่าวและถูกลากขึ้นฝั่ง บางตัวถูกเกี่ยวด้วยตะขอโลหะที่แทงเข้าไปในรูหายใจ ซึ่งเป็นบริเวณที่ไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่ง สัตว์ที่มีชีวิตและความรู้สึกมากกว่า 246 ตัว ถูกฆ่าทิ้งในน้ำทะเลซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มนองไปด้วยเลือดที่พุ่งทะลักจากบาดแผลทั่วลำตัววาฬ มีรายงานว่า วาฬหลายตัวตายลงอย่างช้า ๆ ทั้งจากเลือดที่ทะลักไม่หยุด หรือจากการจมน้ำทะเลที่ถูกละเลงไปด้วยเลือด จากภาพวิดีโอของ Sea Shepherd Global เผยให้เห็นว่า ระยะเวลาในการฆ่าแต่ละครั้งอาจใช้เวลานานถึง 30 นาที ท้ายที่สุด ซากวาฬไร้ชีวิตลอยเกลื่อนทั่วอ่าว บาดแผลฉกรรจ์เป็นทางยาวบริเวณลำคอ สร้างความน่าหดหู่ แม่วาฬที่กำลังตั้งท้องหลายตัว รวมถึงลูกวาฬที่ดูเหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ถูกโยนทิ้งลงในถังขยะ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จาก Sea Shepherd ได้ให้ข้อมูลกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งร่วมกับองค์กรอนุรักษ์สัตว์จากทั่วโลก จนนำไปสู่การร่วมประณามการล่านี้ว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม

กิตเต้ บุคฮาเว (Gitte Buchhave) ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่า “มันช่างเหลือเชื่อและน่าสลดใจที่เรายังคงเห็นการฆ่าสัตว์จำนวนมากด้วยวิธีสุดโหดแบบนี้ในยุคปัจจุบัน”
พร้อมกล่าวเสริมว่า “แม้จะอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ก็ไม่มีสิทธิ์ใดจะมาทำลายสัตว์ที่มีชีวิตและความรู้สึกเช่นนี้ วัฒนธรรมไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำอันโหดร้าย” ขณะนี้ องค์กรฯ กำลังยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลหมู่เกาะแฟโรโดยตรง เพื่อขอให้ออกกฎหมายห้ามการล่าโลมาและวาฬนำร่องอย่างเด็ดขาด

กิตเต้ บุคฮาเว กล่าวถึงเป้าหมายว่า “เราได้พยายามพูดคุยกับทางการมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้รัฐบาลแฟโรเลิกยุ่งเกี่ยวกับการล่าสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกับเรามาอย่างยาวนาน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ควรมีที่ยืนในสังคมสมัยใหม่ และแม้แต่ประชาชนชาวแฟโรเองก็เริ่มตั้งคำถามกับประเพณีนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่การฆ่าเหล่านี้ควรถูกเก็บไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ในโลกยุคปัจจุบัน”
ผู้ล่าวาฬมักอ้างว่า “มีดแลนซ์ไนฟ์” สามารถคร่าชีวิตสัตว์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่จากรายงานปี 2023 ชื่อ Unravelling the Truth – Whale Killing on the Faroe Islands กลับพบว่า “มีดเพียงทำให้สัตว์เป็นอัมพาต และตัดเส้นเลือดใหญ่เท่านั้นแต่สัตว์ยังไม่ตายทันที หากยังรู้สึกเจ็บปวด และยังมีสติอยู่ในขณะที่ค่อย ๆ ตายอย่างทุกข์ทรมาน”
โชคดี สมิทธิ์กิตติผล หัวหน้าฝ่ายงานรณรงค์ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาพวาฬจำนวนมากถูกไล่ล่าและฆ่าอย่างโหดร้ายสะท้อนให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อชีวิตและความรู้สึกของสัตว์อย่างสิ้นเชิง และสะท้อนถึงแนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมมนุษย์ ที่ยังมองสัตว์เป็นเพียงเครื่องมือให้ความบันเทิงหรือผลประโยชน์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจ และสามารถเจ็บปวดหรือทนทุกข์ได้”
“แนวคิดเช่นนี้ จึงทำให้เรายังเห็นโลมาและสัตว์ทะเลหลายชนิดถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในบ่อคอนกรีตแคบ ๆ และถูกฝึกให้แสดงต่อหน้าผู้ชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อความสนุกของมนุษย์ ทั้งที่สัตว์เหล่านี้ควรได้ว่ายอิสระในมหาสมุทร เราต้องทบทวนว่าเรากำลังให้คุณค่ากับชีวิตสัตว์แบบใด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด จากการใช้สัตว์เพื่อความบันเทิง มาเป็นการเคารพในสิทธิและเสรีภาพของพวกเขาในฐานะเพื่อนร่วมโลกอย่างแท้จริง”

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวาฬ
เครดิตภาพถ่าย : Sea Shepherd Global
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection Thailand) จับมือองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิท อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เปิดเวิร์กช็อป "ฟาร์มแชมเปี้ยน" ปีที่ 2 อย่างเป็นทางการ โดยมีเกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือก 12 ฟาร์มจากจังหวัดสุรินทร์เข้าร่วมต่อยอดความรู้ มุ่งปฏิวัติระบบการเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมสู่การให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์อย่างแท้จริง ภายใต้วิสัยทัศน์การสร้างระบบอาหารที่เท่าเทียม มีมนุษยธรรม และยั่งยืน (Equitable, Humane and Sustainable food systems – EHS) พร้อมผลักดันการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม (Just Transition) ในระบบอาหารของไทย

การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งสำคัญนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิทที่สนับสนุนทั้งสถานที่และบุคลากร พร้อมด้วย ผศ.ดร.วิทธวัช โมฬี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางสัตว์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานะหัวหน้างานวิจัยโครงการ ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงลึกและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้ง น.สพ.สมทัศน์ อย่างสุข นายสัตวแพทย์ชำนาญการ รักษาราชการแทนปศุสัตว์ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสุรินทร์ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์และให้คำแนะนำด้านเทคนิคอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ หน่วยงานภาครัฐท้องถิ่น และภาคประชาสังคมอย่างเข้มแข็ง นับเป็นรูปแบบความร่วมมือต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้ในอนาคต

สวัสดิภาพสัตว์คือหัวใจสำคัญของอาหารคุณภาพ
เกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือก 12 ฟาร์ม ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในเวิร์กช็อปอย่างเข้มข้นในการปรับปรุงฟาร์มตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ โดยมีเกษตรกรรุ่นแรกทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด หลายคนเริ่มตระหนักว่าการให้สัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่เพียงสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการลดต้นทุนการผลิต ทั้งค่ายาปฏิชีวนะและสารเคมีที่เคยเป็นภาระในระยะยาวและสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภค
นอกจากนี้การลงพื้นที่เยี่ยมชมฟาร์มไก่โคราชหลายแห่งในเขตอำเภอจอมพระ ทีมงานจากองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกพบว่า แนวคิดนี้กำลังได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มองเห็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากฟาร์ม ขณะเดียวกันก็รักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมที่กลมกลืนกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ได้อย่างลงตัว

แผ้ว ภิรมย์ ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย เปิดเผยว่า: "เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการในปีนี้แต่ละรายล้วนมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่แตกต่างกัน บางฟาร์มประสบความสำเร็จในการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับหลักการเลี้ยงไก่แบบอิสระ บางฟาร์มกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ขณะที่บางฟาร์มมุ่งพัฒนานิเวศเกษตรตามแนวทางที่วางรากฐานไว้ตั้งแต่ปีแรก
"การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เราส่งเสริม เช่น การขยายพื้นที่ให้ไก่ได้เดิน การเพิ่มอุปกรณ์กระตุ้นพฤติกรรมธรรมชาติ ล้วนส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์อย่างเห็นได้ชัด และสิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งช่วยแก้ปัญหาเชื้อดื้อยา หรือการหลีกเลี่ยงสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่อาหารที่ดีกว่า เราเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็ก ๆ เหล่านี้ จะค่อย ๆ ขยายวงกว้างสู่การปฏิรูประบบอาหารทั้งระบบได้ในที่สุด"

นายสมจิตร นามสว่าง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิท กล่าวว่า "องค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิทมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการฟาร์มแชมเปี้ยนอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรในพื้นที่และระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะยาว การส่งเสริมให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาชุมชน ทางเราพร้อมผลักดันให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างเกษตรกร หน่วยงานท้องถิ่น และภาคประชาสังคมต่อไป"

แผนงานระยะถัดไปของโครงการจะเน้นการขยายผลการวิจัยและการสนับสนุนด้านเทคนิคอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจบการอบรม เกษตรกรจะเริ่มเลี้ยงไก่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญในการติดตามและประเมินผลการเปลี่ยนแปลงฟาร์ม จากระบบปิดที่จำกัดอิสรภาพของสัตว์ สู่ระบบปล่อยอิสระที่ให้สัตว์ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ โครงการยังมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคท้องถิ่น และเป็นต้นแบบให้เกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ ในการเปลี่ยนผ่านสู่การทำฟาร์มที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์และความยั่งยืนอย่างแท้จริง