December 05, 2025
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP) ได้รับรางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน” (Human Rights Award) ประจำปี 2568 ระดับดีเด่น จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยมี นายพุฒิ เด่นสมพรพันธ์ ประธานสายบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นผู้แทนรับรางวัล ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568

รางวัลที่สะท้อนการขับเคลื่อนสิทธิมนุยชนอย่างเป็นรูปธรรม

โครงการนี้คัดเลือกองค์กรจากทุกภาคส่วนที่สามารถบูรณาการสิทธิมนุษยชนเข้ากับการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ โดย KKP เข้าร่วมโครงการเป็นปีแรก และผ่านการประเมินที่ครอบคลุมตั้งแต่การส่งข้อมูลตามแบบประเมิน ไปจนถึงการตรวจสอบการดำเนินงานเชิงประจักษ์หรือการปฏิบัติจริง (site visit) ก่อนจะได้รับรางวัลในระดับ “ดีเด่น” ซึ่งเป็นหนึ่งในระดับสูงสุดของโครงการ

KKP ดำเนินโครงการและกิจกรรมที่สร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การถ่ายทอดความรู้ด้านการเงินแก่เยาวชนและประชาชนกว่า 3,800 คนผ่านโครงการ KKP FinLit การระดมทุนกว่า 1.75 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการศึกษาเยาวชนกลุ่มเปราะบางในจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของพนักงานผ่านโครงการด้านสุขภาพกายใจ และโครงการ “KKP ปลดหนี้ มีออม” ที่ช่วยปลดหนี้กว่า 6.3 ล้านบาทและสร้างเงินออมใหม่กว่า 313,400 บาท

การเคารพสิทธิมนุษยชนเป็น “หลักองค์กร” ของ KKP

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยความเชื่อที่ว่า ทรัพยากรบุคคลคือหัวใจของธุรกิจการเงิน KKP จึงยึดมั่นในการเคารพสิทธิมนุษยชน และบูรณาการหลักการเข้ากับวิธีคิดและการดำเนินธุรกิจขององค์กร เพื่อร่วมสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนเคียงข้างสังคมไทย”

KKP กำหนดนโยบายสิทธิมนุษยชนที่สอดคล้องกับหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) และดำเนินการ Human Rights Due Diligence (HRDD) ครอบคลุมพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้า พร้อมกลไกรับเรื่องร้องเรียนและมาตรการเยียวยาที่โปร่งใสและเป็นธรรม นอกจากนี้ KKP ยังส่งเสริมความหลากหลาย ความเสมอภาค การผนวกรวม และการมีส่วนร่วม (DEIB) ภายใต้แนวคิด “อยู่อย่างคนเท่ากัน” เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทุกคนได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียม

การได้รับรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนระดับดีเด่นครั้งนี้ เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ KKP ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่ควบคู่ไปกับผู้คนและสังคม โดยใช้สิทธิมนุษยชนเป็นรากฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืน

ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นโลก บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา Finding the Right Gems in Global Stocks แนะนำ 5 หุ้นต่างประเทศคุณภาพสูงที่น่าจับตา ได้แก่ Netflix, MUFG, Rheinmetall, Mastercard และ Microsoft ซึ่งล้วนมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อเนื่องและได้เปรียบทางการแข่งขันในระดับโลก จากการคัดสรรโดยทีม Equity Solutions พร้อมเตรียมเปิดตัว DR06 ผลิตภัณฑ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศภายในการดูแลของ บล.เกียรตินาคินภัทร ณ โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568

นายฟิลิป ฟินช์ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุนตราสารทุน (Equity Solutions) เผยว่าเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายกำแพงภาษี (Tariff) ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงมาใกล้แตะ 5,000 จุด อย่างไรก็ตาม ทีม Equity Solutions อยากเน้นย้ำความสำคัญของการ ‘มองหาโอกาสเมื่อทุกคนตื่นตระหนก’ เพราะแม้ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาก็มีสิ่งที่ทำให้ต้องหวาดกลัวอยู่เสมอ ไม่ว่าวิกฤติสงครามหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่การลงทุนอย่างต่อเนื่องและจัดการกับอารมณ์มักจะให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่าการพยายามจับจังหวะตลาดในช่วงเวลาที่ผันผวน

“การเลือกหุ้นแบบจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up) ซึ่งเน้นการวิเคราะห์เจาะลึกข้อมูลของหุ้นแต่ละบริษัท ไม่ใช่เพียงวัฏจักรเศรษฐกิจมหภาคและตลาด มีความสำคัญมากในสถานการณ์เช่นนี้ โดยทีม Equity Solutions ได้คัดสรรหุ้นคุณภาพสูง 5 ตัว ได้แก่ 1) Netflix ซึ่งกำลังเดินหน้ากลายเป็นบริการที่แพร่หลายและพบเห็นได้ทั่วไปเทียบเท่าทีวี 2) MUFG ที่จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของญี่ปุ่น 3) Rheinmetall ได้ประโยชน์จากการเสริมสร้างกองทัพยุโรป ตลอดจน 4) Mastercard และ 5) Microsoft ซึ่งยังคงเป็นผู้นำโลกในอุตสาหกรรมของตน ยิ่งกว่านั้น ในวันนี้นักลงทุนยังสามารถลงทุนผ่าน Depositary Receipts (DR) ที่สามารถซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อีกด้วย การเข้าถึงหุ้นเหล่านี้จึงเป็นไปได้อย่างสะดวก”

ทีม Equity Solutions ของบล.เกียรตินาคินภัทร ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2566 เพื่อนำเสนอมุมมองการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ผ่านการผสานความเชี่ยวชาญของนักวิเคราะห์ระดับสากล นักกลยุทธ์จากบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำทั่วโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์การลงทุน ภายใต้การนำของนายฟิลิป ฟินช์ ผู้มีประสบการณ์ในตลาดทุนมากว่า 25 ปี โดยทีม Equity Solutions มีแนวทางการลงทุนที่เน้นบริษัทคุณภาพสูง ได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งกำไรเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอและสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น ภายใต้วินัยทางการลงทุนที่ดี โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งทีมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 ผลตอบแทนของพอร์ตอยู่ที่ 30% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนรวมของหุ้นโลกถึง 20%

นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ ประธานสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล กล่าวถึงบทบาทของทีม Equity Solutions ต่อการสนับสนุนนักลงทุนไทยว่า “การลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นประตูสู่โอกาสการเติบโตจากธุรกิจระดับโลก และช่วยกระจายความเสี่ยงจากทั้งวัฏจักรเศรษฐกิจและประเภทอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ทีม Equity Solutions ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงข้อมูลและโอกาสนี้ได้ง่ายขึ้น พร้อมยังสนับสนุนด้วยข้อมูลคุณภาพ และผลิตภัณฑ์ลงทุนที่เหมาะสม เช่น DR ที่ช่วยลดภาระภาษีจากการลงทุนต่างประเทศ”

ในการนี้ บล.เกียรตินาคินภัทร ได้เตรียมเปิดตัว DR ชุดแรกจำนวน 10 รุ่น ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ตอกย้ำจุดแข็งของบล.เกียรตินาคินภัทรในการเชื่อมต่อโอกาสจากตลาดทุนโลกสู่นักลงทุนไทย ภายใต้ความเชี่ยวชาญในด้านการสร้างสภาพคล่องให้กับ DR แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดต่างประเทศปิดทำการ การบริหารอัตราแลกเปลี่ยน และความเชี่ยวชาญในการคัดสรรหุ้นจากตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อนำเสนอบริการด้านการลงทุนต่างประเทศอย่างครบวงจร

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) มุ่งหน้าดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ปล่อยสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) มูลค่า 370 ล้านบาทแก่ บริษัท ซีเอ็นอีเอส ดีวัน จำกัด (D1) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT เพื่อนำไปพัฒนาโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) จำนวน 10 โครงการ รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 19.40 เมกะวัตต์ ติดตั้งในอาคารขนาดใหญ่ อาทิ โรงพยาบาลและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานสูง ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าและเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดให้กับภาคธุรกิจ

การสนับสนุนสินเชื่อดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของ KKP ผ่านแนวทาง ESG (Environment, Social and Governance) โดยมุ่งเน้นการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ด้าน CNT มีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้การสนับสนุนครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญระหว่างภาคการเงินและภาคธุรกิจที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคต

นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจและประธานสายสินเชื่อบรรษัท ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ธนาคารเกียรตินาคินภัทรดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านทั้งการสนับสนุนสินเชื่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ของ D1 ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในภาคธุรกิจ สะท้อนบทบาทสำคัญของสถาบันการเงินในการขับเคลื่อนแนวทาง ESG อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมสร้างธุรกิจและเศรษฐกิจไทยที่มีความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง"

ด้านนายคูชรู คาลี วาเดีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (CNT) กล่าวว่า “CNT ภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ KKP ในโครงการที่มีความสำคัญนี้ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ CNT สามารถเติบโตต่อไปและส่งมอบการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมไทยในการใช้พลังงานสะอาดได้มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศไทย”

ทั้งนี้ คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT เป็นบริษัทชั้นนำด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างที่มีประสบการณ์ยาวนานในประเทศไทย โดยมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดพลังงานสะอาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โดยนายสำมิตร สกุลวิระ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ ร่วมในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) กับธนาคารออมสิน ตลอดจนสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวม 20 แห่ง ผ่าน VDO Conference โดยการลงนามในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างสถาบันการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ โดยมีธนาคารออมสินเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งเงื่อนไขของสินเชื่อซอฟต์โลนนี้ กำหนดวงเงินกู้รายละไม่เกิน 20 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.63 ทั้งนี้ พิธีลงนามฯ จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

 

 อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร KKP เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2561 มียอดการเติบโตของสินเชื่อที่ 10.2% ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการออกมาดีเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 3,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากงวดเดียวกันของปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของกลุ่มธุรกิจฯ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดตั้งสายช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า และการยกระดับกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic) และการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ซึ่งทำให้ธนาคารวิเคราะห์จำแนกกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ได้โดยละเอียด และสามารถลดสินเชื่อกลุ่มที่ไม่มีคุณภาพ และขยายสินเชื่อกลุ่มที่ให้ผลกำไรเหมาะสมและมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อ KK SME นอกจากนั้น ยังได้รับแรงสนับสนุนในด้านต้นทุนการเงินจากผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อการลงทุน KKPSS (KK Phatra Smart Settlement) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงเหมือนเงินฝากประจำสำหรับลูกค้า Wealth Management ของ บล. ภัทรโดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นการระดมเงินฝากจำนวนมากให้กับธนาคารโดยไม่ต้องใช้ต้นทุนในด้านสาขาและบุคลากรเพิ่มเติม ทั้งนี้ หลังเปิดตัวเพียงเมื่อต้นปี 2561 ปัจจุบันมียอดกว่า 2 หมื่นล้านบาท

 ชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ให้รายละเอียดผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ของธนาคารเกียรตินาคิน และบริษัทย่อยว่า กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิ ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 3,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% จากงวดเดียวกันของปี 2560 เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) (ทุนภัทร) และบริษัทย่อย ได้แก่ บล.ภัทร และ บลจ.ภัทร จำนวน 824 ล้านบาท  มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ  5,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9%จากงวดเดียวกันของปีก่อน  ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ อยู่ที่ 2,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%  และรายได้อื่น 1,160 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 8,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.0 จากงวดเดียวกันของปี 2560 ครึ่งปีแรกสินเชื่อโดยรวมขยายตัวที่ 10.2% โดยสินเชื่อมีการขยายตัวในทุกประเภท รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องที่ 2.8 % จากสิ้นปี 2560 ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมยังคงปรับลดลง ณ สิ้นไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 4.5% ลดลงเมื่อเทียบกับ 5.0% ณ สิ้นปี 2560  ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 16.27% โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ12.72% แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/2561 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.35% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.80%

  อภินันท์กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า กลุ่มธุรกิจฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา Business Model ใน 3 ธุรกิจหลัก เพื่อกระจายโครงสร้างรายได้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1. ด้านธุรกิจสินเชื่อยังคงมุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าที่เลือกแล้วว่ามีอัตราผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง (risk-adjusted return) ที่เหมาะสม หรือสามารถนำไปสู่รายได้ด้านอื่นแก่กลุ่มธุรกิจฯ  อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อลอมบาร์ด สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าขนาดใหญ่หรือบริษัทจดทะเบียน 2. ด้านธุรกิจ Wealth Management จะมุ่งเติบโตทั้งในด้านสินทรัพย์ของลูกค้า และสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการให้บริการของกลุ่มธุรกิจฯ ในกระเป๋าของลูกค้า (share of wallet) โดยขยายผลผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนอย่าง บัญชี KKPSS, หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note), Shark-Fin Note, Daily Range Accrual Note (DRAN), Fund Linked Note ซึ่งจะเป็นทั้งฐานเงินฝากและค่าธรรมเนียมของธนาคารต่อไป ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากมีลูกค้า Wealth Management จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สนใจโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจฯ จึงจะเปิดตัวบริการการลงทุนในต่างประเทศ (Offshore Investment) โดยร่วมกับ Investment Bank และ Asset Management ของต่างประเทศ ประมาณ 10 แห่ง ที่ผ่านการกลั่นกรองโดยทีมวิจัยลูกค้าบุคคล (CIO Office) และนำเสนอต่อลูกค้าแต่ละรายโดยทีมที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Consultant) และทีมที่ปรึกษาวางแผนการลงทุน (Investment Advisor) พร้อมกันนั้น ยังยกระดับสาขาธนาคารให้เป็น Financial Hub หรือศูนย์บริการทางการเงินครบวงจรที่สามารถให้บริการในด้านการลงทุนให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันมี 3 สาขา  คือ เซ็นทรัลเวิลด์ ทองหล่อ และเยาวราช  3. ด้านธุรกิจสินเชื่อบรรษัท ธุรกิจตลาดการเงิน และธุรกิจวานิชธนกิจ ของกลุ่มธุรกิจฯ ยังเติบโตก้าวกระโดดจากการผสานความร่วมมือและบูรณาการอย่างเป็นผลระหว่างบริษัทในกลุ่มธุรกิจฯ ในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนจากสินเชื่อที่เติบโตกว่า 60% และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click