เอปสัน ประเทศไทย แสดงวิสัยทัศน์ผู้นำตลาด ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ครอบคลุมทั้งเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทในกลุ่ม EcoTank และ WorkForce รวม 7 รุ่น พร้อมด้วยโปรเจคเตอร์เพื่อธุรกิจในซีรีส์ EB และโปรเจคเตอร์เลเซอร์อีก 15 รุ่น ภายใต้กลยุทธ์มุ่งนำเสนอนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพ คุ้มค่าในการลงทุน ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการขยายสู่ตลาดที่มีมูลค่าสูงและศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ทั้งในภาคธุรกิจ การศึกษา และองค์กรยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่ในวันนี้ช่วยตอกย้ำความสำเร็จของเอปสันในฐานะแบรนด์อันดับ 1 ของโลก ทั้งในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ที่ครองแชมป์ยอดขายต่อเนื่อง 15 ปี มียอดขายรวมทั่วโลกทะลุ 100 ล้านเครื่อง และโปรเจคเตอร์ที่ขายดีที่สุดตั้งแต่ปี 2544 ถึง 2567 สำหรับประเทศไทย เอปสันยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ด้วยส่วนแบ่งสูงสุด 47% และโปรเจคเตอร์ที่ 51% สะท้อนความเชื่อมั่นจากทั้งผู้ใช้งานทั่วไปและภาคธุรกิจ และเพื่อรักษาความเป็นผู้นำเอปสันจึงเดินหน้าด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ขยายตลาดเครื่องพิมพ์ Epson EcoTank กลุ่ม Mid-High เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่มากยิ่งขึ้น กระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนจากการใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ มาใช้เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ Epson WorkForce และเสริมความแข็งแกร่งในตลาดโปรเจคเตอร์ธุรกิจ โดยเน้นกลุ่มความสว่างสูงที่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่หรือห้องที่มีแสงจ้า

สำหรับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่เอปสันเปิดตัววันนี้มีทั้งหมด 7 รุ่น ประกอบด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ Epson EcoTank Series จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ L4360, L6370 และ L6390 และอีก 3 รุ่นจาก Epson WorkForce Pro Series ได้แก่ EM-C800, EM-C8100 และ EM-C8101 รวมกับ AM-M5500 จากกลุ่ม Epson WorkForce Enterprise Series

นายยรรยง กล่าวว่า “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดเครื่องพิมพ์เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์เติบโตต่อเนื่องจนมีส่วนแบ่งถึง 57% ของตลาดรวม และสูงถึง 80% ในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาโซลูชันที่ประหยัด คุ้มค่า ใช้งานง่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น และจากผลวิจัยตลาดยังพบว่าเอสเอ็มอีมากกว่า 72% ให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน ทำให้ Epson EcoTank กลายเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัว ปีนี้ เอปสันมุ่งเจาะตลาดเครื่องพิมพ์ระดับ Mid-High ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยกลุ่มนี้กำลังเข้ามาแทนที่เครื่องพิมพ์เลเซอร์ ด้วยฟังก์ชันที่ครบ สีสวย และต้นทุนการใช้งานที่ต่ำ เครื่องพิมพ์กลุ่ม Mid-High ยังสร้างรายได้ให้เอปสันมากกว่ากลุ่ม Entry ถึง 2 เท่า เพราะกลุ่มลูกค้าหลักอย่างเอสเอ็มอีมีปริมาณการพิมพ์สูง และต้องเปลี่ยนชุดหมึกบ่อยกว่าผู้ใช้ทั่วไป เอปสันได้ตั้งเป้ายอดขายเครื่องพิมพ์กลุ่มนี้ในปีนี้ไว้ราว 35% ของตลาด พร้อมกับเปิดตัวรุ่นใหม่ ได้แก่ L4360, L6370 และ L6390 ที่โดดเด่นทั้งด้านความเร็ว ขนาดกะทัดรัด ความทนทาน และต้นทุนการใช้งานต่ำ ช่วยประหยัดทั้งค่าไฟและค่าบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

เอปสันเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุนด้วยการรับประกันความทนทานของเครื่องที่เหนือกว่า โดยรับประกันสูงสุดถึง 50,000 แผ่นสำหรับรุ่น L4360 และ 100,000 แผ่นสำหรับรุ่น L6370 และ L6390 ซึ่งนับเป็นการรับประกันตามจำนวนการพิมพ์ที่ยาวนานที่สุดในตลาดขณะนี้

นายยรรยง กล่าวว่า “68% ของสำนักงานทั่วภูมิภาคอาเซียนยังเลือกใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่มีความเร็ว 21-30 ipm เอปสันจึงได้พัฒนา EM-C800 ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนี้ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันกระแสด้านความยั่งยืนก็กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานเครื่องพิมพ์ในกลุ่มบริษัทธุรกิจทั่วภูมิภาคนี้เช่นกัน แต่ยังมีผู้บริหารองค์กร 34% ที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์สามารถนำเสนอคุณค่าด้านความยั่งยืนได้ดีกว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท เอปสันจึงเปิดตัว EM-C8100 และ EM-C8101 ที่เน้นจับกลุ่มสำนักงานที่มองหาเครื่องพิมพ์ที่สามารถตอบโจทย์ในหลายมิติ ทั้งรองรับงานปริมาณมากในทุกวัน ทนทาน ประสิทธิภาพสูง ให้งานพิมพ์คุณภาพดีเยี่ยม ทั้งยังต้องไม่สร้างมลพิษต่อสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมอีกด้วย”

EM-C800 เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันสี่สีขนาดกะทัดรัด ขนาด A4 ใช้ชุดหมึกความจุสูงที่สามารถพิมพ์ขาวดำได้ 50,000 หน้า และพิมพ์สีได้ 20,000 หน้า ใช้เทคโนโลยี Dual CIS สแกนเอกสารได้ทั้งสองด้านพร้อมกันในครั้งเดียว ทั้งยังมี Authentication Device Table อุปกรณ์เสริมสำหรับยืนยันตัวผู้ใช้ก่อนสั่งพิมพ์ที่ใช้งานง่ายและสะดวก ช่วยเพิ่มความปลอดภัย โดยไม่รบกวนความรื่นไหลในการทำงาน สำหรับ EM-C8100 และ EM-C8101 ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันสี่สี ขนาด A3 สามารถรองรับการทำงานปริมาณงานสูง ด้วยชุดหมึกความจุสูงที่พิมพ์ขาวดำ 86,000 หน้า และพิมพ์สีได้ 50,000 หน้า ช่วยลดความถี่ในการเปลี่ยนหมึกและเพิ่มความต่อเนื่องในการทำงาน

ทั้ง EM-C800, EM-C8100 และ EM-C8101 ได้รับการออกแบบให้รองรับการทำงานยุคใหม่ ทั้งแบบไฮบริดและการเชื่อมต่อผ่านระบบดิจิทัล ด้วย Epson Solutions Suite ที่รวมเครื่องมือและซอฟต์แวร์ช่วยจัดการงานพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็น Epson Connect, Epson Smart Panel หรือ Mopria Print Service ที่รองรับการพิมพ์ผ่านคลาวด์และเครือข่าย พร้อมด้วย Epson Print Admin ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยการยืนยันตัวตนและพิมพ์ด้วยรหัส PIN และ Epson Remote Services ที่ช่วยผู้ดูแลระบบตรวจสอบและจัดการเครื่องพิมพ์จากระยะไกลได้อย่างสะดวก รองรับการขยายการใช้งานในองค์กรได้อย่างยืดหยุ่นและไร้รอยต่อ

AM-M5500 คือเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันขาวดำ ขนาด A3 รองรับการพิมพ์เอกสารขาวดำปริมาณมากอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีฟังก์ชัน Optical Character Recognition (OCR) ซอฟต์แวร์ช่วยแปลงภาพเอกสารที่สแกนเป็นข้อความที่สามารถแก้ไขและค้นหาได้ เหมาะกับสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัด ด้วยดีไซน์ใหม่ที่โค้งมนดูทันสมัย และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย Finisher อุปกรณ์เสริมสำหรับทำรูปเล่ม

เครื่องพิมพ์ทั้ง 7 รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สำนักงานยุคใหม่ที่มุ่งสู่การเป็น Green Office หรือสำนักงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยี Heat-Free ที่ไม่ต้องใช้ความร้อนในกระบวนการพิมพ์ จึงลดการใช้พลังงานได้ถึง 85% เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ทำให้ประหยัดค่าไฟ ลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการใช้อะไหล่และวัสดุสิ้นเปลืองได้ถึง 59% จึงช่วยลดทั้งของเสียและค่าบำรุงรักษาในระยะยาว ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 30% และบรรจุภัณฑ์ใช้กระดาษรีไซเคิล 80% สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเฉพาะรุ่น AM-M5500 ยังมีฟีเจอร์เพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบตรวจสอบการใช้พลังงาน และไฟสัญลักษณ์ใบไม้สีเขียวที่แสดงเมื่อพิมพ์หรือถ่ายเอกสารสองหน้า เพื่อส่งเสริมการประหยัดกระดาษ นอกจากนี้ เครื่องพิมพ์ทุกรุ่นยังใช้ชุดหมึกความจุสูง ลดความถี่ในการเปลี่ยนหมึก ช่วยลด Digital Footprint ขององค์กรได้อย่างเห็นผลชัดเจน

ในวันนี้ เอปสันยังได้เปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่พร้อมกันถึง 15 รุ่น โดยแบ่งเป็นโปรเจคเตอร์รุ่น Smart หรือกลุ่มระดับเริ่มต้นถึงระดับกลางทั้งหมด 7 รุ่น ได้แก่ EB-E12, EB-E24, EB-X52, EB-W53, EB-W55, EB-FH54 และ EB-W56S และโปรเจคเตอร์เลเซอร์ 8 รุ่น ประกอบด้วย EB-L890E, EB-L690E, EB-L890U, EB-L790U, EB-L690U, EB-L790SE, EB-L690SE และ EB-L690SU

สำหรับโปรเจคเตอร์ Smart Series ทั้ง 7 รุ่นนี้สามารถฉายภาพได้ใหญ่ถึง 300 นิ้ว ด้วยความสว่างสูงสุด 4,100 ลูเมน ให้ภาพคมชัด สีสันสดใส มองเห็นชัดเจนแม้ในห้องที่มีแสงมาก ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ติดตั้งและเคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะกับห้องเรียน ห้องประชุม สำนักงาน ร้านค้า หรือพื้นที่จัดกิจกรรมที่ต้องการจอขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถใช้ทีวีจอแบนที่มีขนาดที่จำกัดและต้นทุนสูงเมื่อต้องการภาพที่เกิน 100 นิ้ว ที่สำคัญ โปรเจคเตอร์ทั้ง 7 รุ่นยังทนทาน ใช้งานได้นาน ด้วยหลอดภาพที่มีอายุการใช้งานสูงสุดถึง 12,000 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน (Eco Mode) ลดทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและเวลาหยุดใช้งานจากการเปลี่ยนหลอดใหม่

โปรเจคเตอร์ซีรีส์ใหม่นี้ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เพียงเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้ทันทีแบบ Plug-and-Play และบางรุ่นยังรองรับการนำเสนอแบบไร้สายผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ด้วยฟีเจอร์ iProjection ช่วยให้ใช้งานสะดวกโดยไม่ต้องต่อสายให้ยุ่งยาก เหมาะสำหรับองค์กรที่มีนโยบายให้พนักงานนำสมาร์ทดีไวซ์ส่วนบุคคลมาใช้ทำงานภายในองค์กรได้ หรือ BYOD (Bring Your Own Device) ลดความยุ่งยากจากการใช้สายเชื่อมต่อแบบเดิม ทุกรุ่นยังมีฟังก์ชันเปิดเครื่องอัตโนมัติ (Auto Power-On) ช่วยให้ติดตั้งและเริ่มใช้งานโปรเจคเตอร์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ฟังก์ชัน Keystone Correction ช่วยปรับภาพให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงกับจอฉายภาพได้โดยอัตโนมัติ และฟังก์ชัน Screen Fit ที่ช่วยจัดขนาดและตำแหน่งภาพได้อย่างแม่นยำโดยอัตโนมัติ

ในส่วนโปรเจคเตอร์เลเซอร์เพื่อธุรกิจรุ่นใหม่ทั้ง 8 รุ่นที่เปิดตัวใหม่วันนี้มาพร้อมระดับความละเอียดสูงสุดด้วย 4K Enhancement มีความสว่างตั้งแต่ 6,000 ถึง 8,000 ลูเมน รองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบใช้สายผ่านพอร์ตภาพต่างๆ และแบบไร้สายผ่าน Miracast และแอพพลิเคชัน Epson iProjection ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อ Chromebook หรือสมาร์ทดีไวซ์ได้อย่างอิสระ พร้อมฟังก์ชันแชร์ จัดการ และใส่คำอธิบายประกอบบนเนื้อหาได้ง่ายๆ

โปรเจคเตอร์ทั้งหมดได้รับการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย ด้วย Geometric Correction สำหรับปรับภาพให้ตรงแม้ติดตั้งในมุมที่ไม่สมบูรณ์ เหมาะกับการประชุม การเรียนการสอน หรือเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะรุ่น EB-L690SE ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Golf Simulator ด้วยค่า throw ratio เพียง 0.5 สามารถฉายภาพขนาดใหญ่ คมชัด สว่างได้จากระยะใกล้ เหมาะกับพื้นที่จำกัด และให้ประสบการณ์เสมือนอยู่ในสนามกอล์ฟจริง

“เอปสันเดินนำหน้าตลาดอยู่เสมอ เพราะเราไม่เคยหยุดเรียนรู้และติดตามเทรนด์ตลาดอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านพฤติกรรม ความนิยม และความคาดหวังของลูกค้าองค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรม เราจึงสามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างตรงจุดเพื่อธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ หรือสถาบันการศึกษา  จนทำให้เอปสันสามารถรักษาตำแหน่งแบรนด์เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทและโปรเจคเตอร์อันดับหนึ่งทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ เราไม่ได้มุ่งเพียงตอบโจทย์ในวันนี้เท่านั้น แต่ยังเดินหน้าอย่างมั่นคงเพื่อยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีขององค์กรในอนาคต โดยเฉพาะด้านโซลูชันเพื่อสำนักงานยุคใหม่ที่ยืดหยุ่น ประหยัดพลังงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม” นายยรรยง กล่าวสรุป

เอปสัน เปิดตัว WorkForce Pro EM-C800 เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันสีขนาด A4 รุ่นใหม่ล่าสุดในซีรีส์ WorkForce ความเร็วในการพิมพ์สูงถึง 25 หน้าต่อนาที และใช้เวลาเพียง 5.3 วินาทีในการพิมพ์สีหน้าแรก รองรับงานพิมพ์ปริมาณมากในสำนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลการวิจัยของ IDC ในปี 2023 พบว่า 68% ของสำนักงานใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์สีที่มีความเร็วอยู่ที่ 21-30 หน้าต่อนาที เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทรุ่นใหม่ของเอปสันนี้ จึงเป็นทางเลือกที่รวดเร็ว ประหยัด และยั่งยืนยิ่งกว่าสำหรับผู้ใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ ด้วยเทคโนโลยี Heat-Free ช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 85% เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ พร้อมลดการสร้างขยะด้วยการใช้อะไหล่ทดแทนน้อยลง และตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลสูงสุด 30% นอกจากนี้ EM-C800 ยังโดดเด่นด้วยฟีเจอร์สแกนสองหน้าอัตโนมัติ ระบบหมึกความจุสูงพิมพ์ขาวดำได้ถึง 50,000 หน้า และพิมพ์สีได้ 20,000 หน้า พร้อมหน้าจอสัมผัสสี TFT ขนาด 4.3 รองรับการเพิ่มถาดกระดาษเสริมเพื่อลดการหยุดชะงักระหว่างทำงาน EM-C800 จึงเป็นเครื่องพิมพ์ที่รวมเอาประสิทธิภาพ ความทนทาน และความยั่งยืนไว้ในหนึ่งเดียว เหมาะกับสำนักงานยุคใหม่ที่ต้องการโซลูชันการพิมพ์ประสิทธิภาพสูงที่ไม่ละเลยสิ่งแวดล้อม

เอปสัน ประเทศไทย เดินหน้าตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า คว้า 2 รางวัลใหญ่ระดับประเทศในปี 2025 ได้แก่ “Thailand Top Company Awards 2025” ประเภท “Best Customer Experience Award” และ “2025 Thailand’s Most Admired Brand” ในกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์

บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับรางวัล “Thailand Top Company Awards 2025” ประเภท “Best Customer Experience Award” จัดโดยนิตยสาร Business+ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อยกย่ององค์กรที่มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม และโดดเด่นด้านการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม โดยเอปสันได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายในทุกมิติ

โดยนางสาวสุวัฒนา เหลียงกอบกิจ หัวหน้าฝ่ายบริการองค์กร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล จากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี

 

ขณะเดียวกัน เอปสันยังคว้ารางวัล “2025 Thailand’s Most Admired Brand” จัดโดย นิตยสาร BrandAge ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจผู้บริโภคทั่วประเทศในหลากหลายภูมิภาค โดยร่วมกับคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำเพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่แม่นยำ สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อแบรนด์ที่โดดเด่นในแต่ละหมวดสินค้า ในปีนี้ เอปสันได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในหมวดผลิตภัณฑ์ไอทีและดิจิทัล กลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ โดยนางสาววิสาข์ ธนวิภาคย์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายแบรนด์และสื่อสารองค์กร เป็นผู้รับมอบรางวัล

 

การที่เอปสันสามารถคว้าสองรางวัลใหญ่นี้ สะท้อนให้เห็นว่าเอปสันยังคงตอกย้ำพันธกิจหลักในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และความพึงพอใจของลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับผู้คนและโลกใบนี้

คณะผู้บริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด นำโดยนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร ร่วมด้วยนางสาวปวีณา ศรีตระกูล หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด และนางสาววิสาข์ ธนวิภาคย์ ผู้จัดการ อาวุโสฝ่ายแบรนด์และสื่อสารองค์กร นำคณะสื่อมวลชนทำกิจกรรมซีเอสอาร์ด้านความยั่งยืน ด้วยการปลูกต้นราโพ ตามชายฝั่งทะเลสาบสงขลา ซึ่งต้นราโพเป็นพืชที่ช่วยเสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เพราะช่วยป้องกันการพังทลายของตลิ่ง บรรเทาน้ำท่วม เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย รวมถึงนำมาทำเป็นหลอดดูดน้ำเพื่อใช้แทนหลอดพลาสติก

 

อีกทั้งในทริป “ล่องเรินลุง” ตลอดระยะ 3 วัน 2 คืน เป็นทริปที่ปราศจากการใช้ขวดพลาสติกและลดการการสร้างขยะพลาสติกให้ได้มากที่สุด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนเป็นอย่างดี กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นที่ จังหวัดพัทลุง เมื่อเร็วๆ นี้

เอปสันเปิดยุทธศาสตร์รุกตลาดปี 68 เน้นทุกจุด บุกทุกตลาด ด้วยการสร้างตลาดใหม่และเพิ่มไลน์สินค้า เพิ่มประสิทธิภาพช่องทางจำหน่ายเพื่อรองรับ B2B และ B2C เสริมแกร่งงานบริการด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์และธุรกิจด้วยคุณค่าด้านความยั่งยืนและ ESG พร้อมตั้งเป้าเติบโตต่อในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 6%  

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย)​ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินงานในปี 2567 ว่า บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างระบบการขายของเอปสันในกลุ่ม B2B ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่มีการเติบโตมากที่สุด ได้แก่ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร กลุ่ม WorkForce Enterprise เครื่องพิมพ์ EcoTank เครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม กลุ่ม T-Series และโปรเจคเตอร์ นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา เอปสันยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ EcoTank ที่มีส่วนแบ่ง 43% ในตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์แท็งค์ ขณะที่ในตลาดโปรเจคเตอร์ เอปสันยังคงแข็งแกร่งด้วยส่วนแบ่งรวม 52% ส่วนเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ในกลุ่ม Photo Proof ครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งที่ 32% เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องพิมพ์ป้ายและเครื่องพิมพ์สิ่งทอที่ครองส่วนแบ่งตลาด 30% เท่ากัน”

“ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ซึ่งมีทั้งสนับสนุนและท้าทายการเติบโตทางธุรกิจของเอปสัน โดยหนึ่งในเทรนด์หลักคือ Digital Transformation ในองค์กรภาครัฐ ที่กระตุ้นความต้องการโซลูชันการพิมพ์และโปรเจคเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพที่กำลังขยายตัวจะเพิ่มความต้องการโซลูชันการพิมพ์ที่คุ้มค่าและประหยัดต้นทุนมากขึ้น นอกจากนี้ กรอบแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ ESG (Environment, Social, Governance) จะช่วยเร่งให้ธุรกิจในประเทศไทยปรับตัวสู่การพิมพ์อย่างยั่งยืนมากขึ้น ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน อีคอมเมิร์ซที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดย เฉพาะยอดขายสินค้าไอทีทางออนไลน์ที่เติบโตเร็วกว่าช่องทางออฟไลน์ ต้องเริ่มเผชิญกับต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากแพลทฟอร์มชอปปิ้งออนไลน์ต่างปรับขึ้นค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องจับตา โดยเฉพาะนโยบาย Trump 2.0 ที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย การลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติในประเทศไทย”

“เอปสันได้ตั้งเป้าเติบโตของปี 2568 อยู่ที่ 6% โดยมีกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กรที่คาดว่าจะโดดเด่นที่สุด บริษัทฯ ยังคงขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าด้วยแนวทางในการปรับตัว (Adaptability) และการก้าวนำตลาดอย่างต่อเนื่อง (Stay Ahead) ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) Innovation Offering หรือการนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า 2) Agility in Channel หรือการเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการช่องทางการจัดจำหน่าย 3) Enhanced Customer Service หรือการยกระดับประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้า และ 4) Value Creation หรือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้เอปสันสามารถขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องพิมพ์ โปรเจคเตอร์ และโซลูชันทางธุรกิจ” นายยรรยง กล่าว

กลยุทธ์ข้อแรก Innovation Offering บริษัทฯ จะทั้งปกป้องตลาดที่เอปสันเป็นผู้นำอยู่ พร้อมกับมุ่งสร้าง S-Curve ใหม่ของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน 4 ด้าน (SEED) ได้แก่ Secure คือการรักษาคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และคุณค่าของผลิตภัณฑ์ Ensure คือการรักษาระดับราคาทั้งของตัวผลิตภัณฑ์และหมึกพิมพ์ให้สามารถทำตลาดได้ในราคาที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อราคา Expand คือ การขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ โอกาสทางธุรกิจ และโซลูชันใหม่ๆ และ Defend คือการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด รับมือกับการแข่งขัน และใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดอย่างมั่นคง

กลยุทธ์ที่สอง Agility in Channel เอปสันจะมุ่งพัฒนาช่องทางการขาย เพื่อรองรับทั้งตลาด B2C และ B2B โดยในส่วนของ B2C จะเน้นที่การทำงานร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อเจาะตลาดเมืองรอง พร้อมขยายช่องทางอีคอมเมิร์ซ ผ่านแพลตฟอร์มหลัก และแพลทฟอร์มของพันธมิตร ส่วนตลาด B2B บริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการยกระดับความสัมพันธ์กับผู้ค้ารายใหญ่ พร้อมเพิ่มโซลูชันด้าน MPS หรือโซลูชั่นในการจัดการดูแลเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารอย่างครบวงจร และการขายโซลูชันแบบรวมเครื่องพิมพ์หลากรุ่น หรือ Mix Fleet Solution ไปจนถึงการพัฒนาการมีส่วนร่วมโดยตรงกับผู้ใช้งานในภาคการศึกษา การแพทย์ การผลิต และหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้ เอปสันยังให้ความสำคัญกับการนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้า (Value Proposition) ในด้านความคุ้มค่า คุณภาพ ความทนทาน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสริมสร้างภาพลักษณ์ผ่านการทำการตลาดคอนเทนท์และกับ KOL

สำหรับกลยุทธ์ที่สาม Enhanced Customer Service ประกอบด้วยกลไกสำคัญ 4 ด้าน โดยเริ่มจากการพัฒนาศักยภาพการให้บริการด้วยระบบสนับสนุนที่ทันสมัย ผ่าน 4 นวัตกรรม ได้แก่ New Integrated System ที่ช่วยติดตามและตรวจสอบการทำงานของทีมขายและฝ่ายบริการลูกค้าแบบเรียลไทม์ภายใต้ระบบเดียว ระบบ Live Video Support and Remote Diagnostics หรือการให้บริการสนับสนุนและตรวจสอบปัญหาจากระยะไกลผ่านวิดีโอแบบเรียลไทม์ ระบบ AI-driven Chatbots ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเพื่อการบริการอัตโนมัติแบบ 24 ชั่วโมง และหลักสูตรอบรม Customizable Training Course ที่ออกแบบให้เหมาะกับลูกค้ากลุ่มเล็กที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน และเน้นการฝึกปฏิบัติจริง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและความมั่นใจให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ เอปสันยังเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายศูนย์บริการด้วยการให้บริการแบบ On-site Service ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาตจากเอปสันทั้งสิ้น 174 แห่งในทุกภูมิภาค พร้อมยกระดับคุณภาพการให้บริการและการเข้าถึงบริการให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า อีกทั้งบริษัทฯ ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าในระยะยาว ผ่านโปรแกรม Coverplus Sales ที่นำเสนอประกันเพื่อขยายเวลาของตัวเครื่อง (Extended Main Unit Warranty) ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งที่มาพร้อมกับตัวผลิตภัณฑ์ หรือซื้อผ่านพาร์เนอร์ที่เป็นผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากเอปสัน หรือ ASP และผ่านเว็บไซต์ของเอปสัน รวมทั้งยังจะขยายระยะเวลาการจัดหาอะไหล่ให้กับลูกค้า B2B จากเดิม 5 ปี เป็น 7 ปี เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพ แม้สินค้าจะสิ้นสุดระยะเวลาการรับประกันแล้ว (O/W Repair)  

สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 กลยุทธ์สุดท้าย คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ หรือ Value Creation ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้าน ESG (Environment, Social, Governance) และความยั่งยืน เอปสันจะมุ่งสร้างมูลค่าที่ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแบรนด์และธุรกิจ แต่ยังช่วยเปิดโอกาสทางธุรกิจในการเข้าสู่ตลาดใหม่ที่ต้องการนวัตกรรมที่ได้มาตรฐานด้าน ESG ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มีส่วนทำให้ผู้บริโภคได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยโลก อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนและสังคมไทย โดยบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น หัวพิมพ์เทคโนโลยี Heat-Free เครื่องพิมพ์ EcoTank นวัตกรรมการรีไซเคิลกระดาษ และเลเซอร์ โปรเจคเตอร์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ใช้วัสดุสิ้นเปลืองน้อยกว่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทฯ จะมุ่งสร้างความเชื่อมั่นและสื่อสารคุณค่าของความยั่งยืน พร้อมส่งเสริมแนวทางการอนุรักษ์พลังงานและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านโครงการ EcoWaste การใช้วัสดุรีไซเคิล และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ขณะเดียวกันก็ยังเดินหน้าสร้างความร่วมมือผ่านการจับมือกับ WWF เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนางสาวปวีณา ศรีตระกูล หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ว่า ในปี 2568 เอปสันมีแผนที่จะทำการตลาดอย่างเข้มข้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เริ่มจากกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์ ที่บริษัทฯ ตั้งเป้าจะรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งไม่น้อยกว่า 45% ผ่านกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่ รักษาฐานตลาดกลุ่มเครื่องรุ่น Entry ควบคู่กับการเร่งขยายตลาด Mid-High ด้วยเครื่องพิมพ์ EcoTank รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสสอง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานระดับมืออาชีพได้ลงตัวยิ่งขึ้น และการสร้างแคมเปญ  “From Imagination to Reality” เพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพที่ได้รับจากแบรนด์เอปสัน โดยจะใช้กับการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์บนแพลตฟอร์ม Facebook TikTok และ YouTube

นอกจากนี้ เอปสัน ประเทศไทย ยังจะเดินหน้าผลักดันเครื่องพิมพ์ EcoTank ทั้งสีและขาวดำ เข้าสู่ตลาดที่เคยเป็นพื้นที่ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ผ่านการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องถึงความคุ้มค่าที่เหนือกว่า ความประหยัด และความยั่งยืน พร้อมกับเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และสินค้าผ่านจุดแสดงและทดสอบการพิมพ์ เพื่อให้ลูกค้าได้ประทับใจกับคุณภาพสีที่ดีเยี่ยม การนำเสนอสินค้าหลากหลายรุ่นผ่านร้านค้าและแพลตฟอร์มออนไลน์ และการเข้าร่วมงาน Tech Expo และ Trade Show เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นและการขายสินค้า บริษัทฯ ยังได้ริเริ่มแคมเปญ “Go Live Genuine Hologram” ส่งเสริมให้ผู้บริโภคใช้หมึกแท้ของเอปสันอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาประสิทธิภาพ และอายุการทำงานของเครื่องพิมพ์เอปสัน โดยจะมีการเปิดตัวโฮโลแกรมรุ่นใหม่ทั่วภูมิภาคในไตรมาสสอง สำหรับยืนยันความเป็นของแท้ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถแยกผลิตภัณฑ์แท้จากของปลอมได้ง่ายขึ้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับองค์กร บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าการเติบโตในกลุ่มธุรกิจ B2B ไว้ที่ 20%  ผ่านการผลักดันใน 3 ด้าน ประกอบด้วยการเร่งขยายพันธมิตรทางธุรกิจอย่างจริงจัง โปรแกรม E2E (End-to-End) ที่เน้นการดูแลลูกค้าเก่า ด้วยการตรวจเช็กฟรี เสนอโปรแกรมอัปเกรดหรือเทรดอิน และการสมัครสมาชิก เพื่อเพิ่มประสบ การณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และการนำเสนอโซลูชั่นที่ผสมผสานเครื่องพิมพ์เอปสันที่แตกต่างกัน (Mixed Fleet) เพื่อช่วยลดต้นทุนโดยรวม เสริมประสิทธิภาพด้วยซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน และส่งเสริมความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ

ในส่วนเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เอปสันวางพันธกิจในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digitalization) ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ด้วยเทคโนโลยีอิงค์เจ็ท ที่เน้นคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการใช้งานที่ง่ายขึ้น พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยขับเคลื่อนกลยุทธ์ผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การเร่งขยายการเติบโตในกลุ่มเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา การพัฒนาและขยายโซลูชันสินค้าให้ครอบคลุมทุกความต้องการ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ในธุรกิจการพิมพ์ผ้า พร้อมด้วยกลยุทธ์ SEED

สำหรับกลุ่มโปรเจคเตอร์ เอปสันตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดการศึกษา ด้วยการเสริมสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นในแบรนด์ผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดอบรม สัมมนา และเวิร์กช็อป พร้อมเปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ในกลุ่มสมาร์ทซีรีส์และเครื่องระดับกลาง ทั้งยังจะไฮไลท์จุดเด่นของโปรเจคเตอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานด้านการศึกษามากกว่าจอแสดงผลทั้งแบบธรรมดาและอินเตอร์แอคทีฟ (Flat/Interactive Flat Panel Display) พร้อมจัดแสดงโซลูชันการประชุมแบบไฮบริด และสุดท้ายคือการโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการพิเศษ โดยจะร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาโซลูชันที่ครบวงจรเพื่อนำเสนอ พร้อมเจาะตลาดองค์กรและโรงเรียนเอกชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขยายโอกาสทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น

เอปสัน ประเทศไทย ยังตั้งเป้าที่จะขยายตลาดโปรเจคเตอร์ความสว่างสูงในกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจาก 43% เป็น 50% ภายในปีนี้ โดยจะมีการเปิดตัวแพ็คเกจเช่าโปรเจคเตอร์ความสว่างสูง เพื่อรองรับความต้องการของตลาด การนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบจุดเด่นของโปรเจคเตอร์กับจอแอลอีดีผ่านการอบรม เวิร์กช็อป และโซเชียลมีเดีย รวมถึงการสื่อสารผ่านแคมเปญ “See Ultra” เพื่อให้ลูกค้าได้เข้าใจและเห็นภาพความแตกต่างระหว่างสองเทคโนโลยีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งยังจะดำเนินการต่อเนื่องในการเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ต่อสาธารณะ ผ่านกิจกรรม Mapping ในอีเวนท์ที่สาธารณะ เพื่อเพิ่มการรับรู้และตอกย้ำความเชื่อมั่นในแบรนด์

ในส่วนโฮมโปรเจคเตอร์ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดภายใน 2 ปี ผ่านแคมเปญสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ “See Ultra – Go beyond the TV” ร่วมกับ KOL และการนำเสนอจุดแข็งของโปรเจคเตอร์ เช่น ความสว่างและความคมชัดระดับ Real 4K ผ่านทั้งแคมเปญการตลาดดิจิทัลและทัชพอยต์ออฟไลน์ ทั้งยังร่วมมือกับคู่ค้าในการจัดตั้งบูธแสดงประสิทธิภาพการฉายภาพของเลเซอร์โฮมโปรเจคเตอร์ และปรับปรุงสื่อส่งเสริมการขาย ณ จุดขายภายในร้านค้าปลีก เพื่อยกระดับประสบการณ์การเลือกซื้อที่น่าประทับใจสำหรับผู้บริโภค

นอกจากนี้ เอปสันยังเตรียมเปิดตัวโปรเจคเตอร์สำหรับใช้ร่วมกับเครื่อง Golf Simulation โดยร่วมมือกับ 3 ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์กอล์ฟซิมูเลชันชั้นนำ พร้อมจับมือกับพันธมิตรกอล์ฟในการส่งเสริมการขาย และขยายความร่วมมือกับซอฟต์แวร์กอล์ฟ สนามกอล์ฟ โรงเรียนกอล์ฟ และสถาบันกอล์ฟ ผ่านกิจกรรมร่วมต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบถ้วน ทั้งยังวางแผนเพิ่มการรับรู้ ด้วยการจัดแสดงสินค้าในงานนิทรรศการและอีเวนท์กอล์ฟ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และการรับรู้ของโปรเจคเตอร์เอปสันในกลุ่มตลาดนี้

“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดปัจจุบันทำให้เอปสัน ประเทศไทยต้องปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ โดยที่ยังคงเป้าหมายทั้งในการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดที่เป็นอยู่ และสร้างตลาดใหม่ๆ เพื่อโอกาสทางธุรกิจ เอปสันเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน และพยายามสื่อสารถึงคุณค่าในด้านนี้ผ่านผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจไปสู่คู่ค้าและสังคมไทยมาโดยตลอด ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมรอบด้าน และคุณค่าด้านความยั่งยืนที่เอปสันยึดมั่นนี้จะไม่เพียงช่วยสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์เอปสันในระยะยาว พร้อมกับสร้างการเปลี่ยนแปลงในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน คุณภาพชีวิตในที่ทำงานและที่บ้านที่ดีขึ้นของคนไทย” นายยรรยง กล่าวสรุป

Page 1 of 20
X

Right Click

No right click