November 08, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 805

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด  (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้คะแนนสูงสุดจากดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices(DJSI) ปี 2023 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร  (Food Products) จากการประเมินของ S&P Global และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ประเภทตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) สะท้อนการรักษามาตรฐานความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร และให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน บนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ผลการประเมินดังกล่าว สะท้อนการรักษามาตรฐานของความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่เกษตรกร คู่ค้าธุรกิจ ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน พนักงาน  ชุมชน   เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม (Innovation Management) ที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการที่ดี (Health & Nutrition)สำหรับผู้บริโภค โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้  ตลอดจนใช้ทรัพยากรธรรมชาติเกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Resource Efficiency and Circularity) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ CPF คือ Climate People และ Food Security ที่มีพันธกิจสร้างความมั่นคงทางอาหาร ทั้งในภาวะปกติและวิกฤติ

"ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์เป็นครัวของโลกที่ยั่งยืน ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและยึดมั่นในปรัชญาสามประโยชน์สู่ความยั่งยืน ตามดำริของประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ คือ มองประโยชน์ของประเทศ ประชาชน และบริษัท เป็นแนวทางขับเคลื่อนองค์กร   มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร   ส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีโภชนาการ และรสชาติอร่อย  ให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก "นายประสิทธิ์ กล่าว          

บริษัท ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตั้งแต่กระบวนการ ผลิตอาหารสัตว์ (Feed) การเลี้ยงสัตว์ (Farm) และการแปรรูปอาหาร (Food)อาทิ นำนวัตกรรมโปรไบโอติกมาใช้ในอาหารสัตว์ ทั้งสุกร ไก่ กุ้ง ช่วยสร้างสมดุลลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกันให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง  ไม่ป่วย  จึงไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และมุ่งมั่นยกระดับเนื้อไก่ไทยสู่มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard)ในโครงการ"ไก่ไทยจะไปอวกาศ" เป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศสามารถรับประทานได้  ตามหลักเกณฑ์ของ Space Food Lab อีกถึงมากกว่า 40 การตรวจสอบ  

นอกจากนี้ ในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ปัจจัยเสี่ยงและความท้าทาย บริษัทฯ เตรียมความพร้อมรับมือสู่การเปลี่ยนผ่านในทุกมิติ อาทิ การบริหารความเสี่ยงองค์กรรอบด้าน กำกับดูแลด้านการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ สร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านข้อมูลเทคโนโลยีดิจิทัล  จัดหาอย่างมีความรับผิดชอบ  ตลอดจนการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศที่ดีให้แก่โลก การบริหารทรัพยากรบุคคลให้มีความผูกพันที่ดีกับองค์กร ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบ เสริมสร้างทักษะที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งเสริมวัฒนธรรมการเป็นคนดีของสังคม  ปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ยอมรับความหลากหลายและแตกต่างโดยไม่เลือกปฏิบัติ       

ซีพีเอฟกิจการในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ  ได้ประกาศเจตนารมณ์เป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net-Zero) ภายในปี 2050 และเป็นผู้ผลิตอาหารรายแรกของโลกที่ได้รับการอนุมัติเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักการทางวิทยาศาสตร์  สอดคล้องตามมาตรฐาน Forest, Land and Agriculture Guidance (FLAG) ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะสำหรับภาคเกษตรและอาหารจากองค์กร The Science Based Targets initiative (SBTi) องค์กรไม่แสวงหากำไรระดับโลกที่สนับสนุนและให้การรับรองอย่างอิสระในการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแก่ภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศ

ปัจจุบัน ซีพีเอฟมีการลงทุนและร่วมลงทุนใน 17 ประเทศ  ส่งออกไปมากกว่า 40 ประเทศ ครอบคลุมประชากรมากกว่า 4,000 ล้านคน  บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน จากการประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก ทั้งในด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ตอกย้ำการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว และเติบโตอย่างมั่นคงพร้อมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ภายใต้วิสัยทัศน์ "ครัวของโลกที่ยั่งยืน"

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สร้างผลงานความยั่งยืนโดดเด่น 6 สาขา

จากข้อมูลการสำรวจ 2016 Global Sustainable Investment Review ของ Global Sustainable Investment Alliance (GSIA) ระบุว่า ปริมาณเม็ดเงินที่ถูกจัดสรรในหมวดการลงทุนที่ยั่งยืน (Sustainable Investment) ทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 18.3 ล้านล้านเหรียญ ในปี พ.ศ.2557 มาอยู่ที่ 22.9 ล้านล้านเหรียญ ในปี พ.ศ.2559 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.2 ในช่วงเวลา 2 ปี โดยการลงทุนในหมวดนี้ คิดเป็นร้อยละ 26.3 ของขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ทั้งหมด หรือเทียบอย่างง่าย คือ ในจำนวนเงินลงทุน 4 เหรียญ จะมีอยู่ราว 1 เหรียญกว่าๆ ที่เป็นการลงทุนที่ยั่งยืน

 

การลงทุนที่ยั่งยืน เป็นการลงทุนที่พิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ร่วมกับการพิจารณาข้อมูลด้านการเงิน สำหรับใช้เป็นแนวทางในการคัดเลือกและบริหารการลงทุน

 

เพื่อเป็นการตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน พร้อมกับการสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป สถาบันไทยพัฒน์ โดยหน่วยงาน ESG Rating ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ได้จัดทำและประกาศรายชื่อ 100 หลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ด้วยการคัดเลือกจากบริษัทจดทะเบียนจำนวนกว่า 600 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) ในปี พ.ศ.2558 เป็นปีแรก และได้ดำเนินการจัดทำและประกาศรายชื่อ กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ต่อเนื่องมาเป็นปีที่สาม ในปี พ.ศ.2560 นี้

 

ผลการคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนที่เข้าอยู่ใน Universe ของ ESG100 ประจำปี 2560 ปรากฏว่าบริษัทที่ติดอันดับ กระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 8 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) 11 บริษัท กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CONSUMP) 6 บริษัท กลุ่มธุรกิจการเงิน (FINCIAL) 12 บริษัท กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) 16 บริษัท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON) 14 บริษัท กลุ่มทรัพยากร (RESOURC) 10 บริษัท กลุ่มบริการ (SERVICE) 18 บริษัท และกลุ่มเทคโนโลยี (TECH) 13 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของหลักทรัพย์ ESG100 ในตลาด SET ราว 6.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 40.6 เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคปของ SET ที่ 15.3 ล้านล้านบาท และเป็นหลักทรัพย์ ESG100 ในตลาด mai จำนวน 10 บริษัท มีมาร์เก็ตแคปราว 4.1 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคปของ mai ที่ 3.1 แสนล้านบาท

 

ตัวอย่างของหลักทรัพย์ ESG100 ในกลุ่ม AGRO ได้แก่ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บมจ.น้ำมันพืชไทย บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ในกลุ่ม CONSUMP ได้แก่ บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป บมจ.กันยงอีเลคทริก บมจ.โอเชียนกลาส ในกลุ่ม FINCIAL ได้แก่ บมจ.นำสินประกันภัย บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ธนาคารกสิกรไทย ไนกลุ่ม INDUS ได้แก่ บมจ.
กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี บมจ.ศูนย์บริการเหล็กสยาม ในกลุ่ม PROPCON ได้แก่ บมจ.ศุภาลัย บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ในกลุ่ม RESOURC ได้แก่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น บมจ.ไทยออยล์ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ ในกลุ่ม SERVICE ได้แก่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ บมจ.ดุสิตธานี บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ และในกลุ่ม TECH ได้แก่ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) เป็นต้น

 

ผลการทดสอบการให้ผลตอบแทนรวม (Total Return) โดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า หุ้น ESG100 ปี 2560 จะให้ผลตอบแทนรวมที่ 236% ส่วนหุ้นในดัชนี SET จะให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 63% ขณะที่ผลการทดสอบการให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (Year-to-date Return) หุ้น ESG100 จะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.8% ส่วนหุ้นในดัชนี SET จะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.9%

 

ในต่างประเทศ ได้มีผู้จัดทำข้อมูลและให้บริการดัชนีด้านความยั่งยืนเผยแพร่ให้แก่ผู้ลงทุน โดยใช้ข้อมูล ESG เป็นฐานในการพิจารณา เป็นจำนวนหลายราย อาทิ เอสแอนด์พี ดาวโจนส์ ฟุตซี่ เอ็มเอสซีไอ และนับวันจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปริมาณเม็ดเงินที่ถูกจัดสรรในหมวดการลงทุนที่ยั่งยืนทั่วโลก มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

 

การเปิดเผยกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ถือเป็นพัฒนาการของการเผยแพร่ข้อมูลด้าน ESG ของหลักทรัพย์จดทะเบียนให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ควบคู่กับข้อมูลผลประกอบการทางการเงิน อันจะนำไปสู่การสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน การส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัท และการดูแลรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน 

 

ผู้ลงทุนหรือผู้ที่สนใจข้อมูลหลักทรัพย์จดทะเบียนในกลุ่ม ESG100 สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.esgrating.com

 

เรื่อง : ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ  

ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์

X

Right Click

No right click