December 05, 2025

บลจ.กสิกรไทย ปักหมุดต้นเดือนพฤษภาคมนี้ เตรียมเปิดเสนอขาย ThaiESGX 2 กองทุน 2 ทางเลือก ทั้งรูปแบบลงทุนในหุ้น 100% และแบบผสม 70/30 ในหุ้นและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เน้นหุ้นไทยที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง สนับสนุนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมพร้อมเสนอขาย 2 กองทุนน้องใหม่ Thai ESGX ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 โดยมีทั้งรูปแบบที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย 100% และแบบผสม 70/30 ในหุ้นไทยและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นไทยที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานมั่นคง มีรายได้และกำไรที่ไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน

นายวินกล่าวต่อไปว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาต่อเนื่อง ส่งผลให้หุ้นหลายตัวมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงขึ้น โดยปัจจุบัน Dividend Yield ของ SET อยู่ที่ 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีที่ผ่านมาที่ 3.2% ยิ่งกว่านั้น SET High Dividend ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนหุ้นกลุ่มที่มีอัตราจ่ายปันผลสูงต่อเนื่อง ปัจจุบันมีอัตราจ่ายปันผลเฉลี่ยสูงถึง 5.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 15 ปีย้อนหลังที่ 4.2% โดยบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยในอนาคตนั้น จะมาจากอัตราปันผลที่สูงขึ้นเป็นหลัก โดยสนับสนุนจากการที่ 3 อุตสาหกรรมใหญ่สุดของ SET ได้แก่ พลังงาน ธนาคาร และสื่อสาร คิดเป็น 44% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเติบโตเต็มที่ (Mature Stage) ที่ความต้องการใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกิจการชะลอลงจากช่วง 15 ปีก่อน ทำให้มีความสามารถจ่ายปันผลได้สูงขึ้น

“บลจ.กสิกรไทย ประเมินผู้ที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุน Thai ESGX ออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ผู้ที่มีฐานภาษีในระดับสูงเกิน 20% และมองเห็นโอกาสในการเข้าลงทุนเมื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาในระดับที่น่าสนใจ และ 2) ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมในกองทุน LTF ซึ่งกองทุน LTF จากกสิกรไทย มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 58,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าผู้ที่มีเงินลงทุนใน LTF น้อยกว่า 500,000 บาท จะพิจารณาสับเปลี่ยนมาลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากหุ้นปันผลสูง” นายวินกล่าว

นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย มีความพร้อมและศักยภาพในการบริหารจัดการกองทุน Thai ESGX การันตีได้จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนาน เพื่อมุ่งหวังที่จะเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวอย่างยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถซื้อ และ/หรือ สับเปลี่ยนจาก LTF มายังกองทุน Thai ESGX ได้สะดวกและปลอดภัยผ่าน App K PLUS และ K-My Funds สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย (ที่ 4 จากขวา) ให้การต้อนรับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิติพงษ์ ยอดมงคล รองอธิการบดี (ที่ 4 จากซ้าย) คุณนารีรัตน์ จันทรมังกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน (ที่ 3 จากซ้าย) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ทศพร พิชัยยา รองอธิการบดี (ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมด้วยคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในโอกาสเข้าเยี่ยมกิจการเพื่อศึกษาระบบการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย พร้อมรับฟังการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แนวทางการจัดสรรเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Asset Allocation) เพื่อโอกาสสร้างความมั่งคั่ง แม้ในภาวะตลาดผันผวนด้วย K-WealthPLUS” ณ ชั้น 12 ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่พหลโยธิน เมื่อเร็วๆ นี้

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ร่วมกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด มหาชน ผู้นำด้านพลังงานและโซลูชันพลังงานหมุนเวียน เดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดผ่านการซื้อ Renewable Energy Certificates (RECs) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

บลจ.กสิกรไทย ในฐานะผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน ได้ให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ลงทุน การจับมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 2) และส่งเสริมพลังงานสะอาดให้เติบโตในภาคธุรกิจไทย

คุณวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า "การใช้ Renewable Energy Certificates (RECs) เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเราในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจไทยให้ก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง"

คุณนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน และภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของ บลจ.กสิกรไทย ความร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในประเทศไทย"

ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กรในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย

นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) พร้อมคณะผู้บริหาร ได้ให้การต้อนรับคณาจารย์และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิชาเอกการเงินและการลงทุน สาขาวิชาบริหารธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เนื่องในโอกาสเข้าศึกษาดูงานธุรกิจจัดการกองทุน โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานจริงผ่านกระบวนการวิเคราะห์การลงทุน พร้อมทั้งการแนะนำเส้นทางสู่อาชีพสายการเงินและการลงทุนจากผู้จัดการกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย

บลจ.กสิกรไทย ขานรับนโยบายลดหย่อนภาษีจากภาครัฐ “Easy E-Receipt 2.0” พร้อมนำส่งค่าธรรมเนียมจากการซื้อและขายกองทุนที่เข้าเงื่อนไขการลดหย่อนให้กรมสรรพากรด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ชูกองทุนแนะนำผ่านการจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite Portfolio ย้ำต้องเป็นคำสั่งซื้อที่มีผล และ/หรือ คำสั่งขายที่ผู้ลงทุนได้รับเงินค่าขายคืนเข้าบัญชีเงินฝาก ในระหว่างวันที่ 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 2568 เท่านั้น

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ขานรับนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลผ่านโครงการ Easy E-Receipt 2.0 โดยนำส่งค่าธรรมเนียมจากการซื้อและขายกองทุน (Front-end Fee และ Back-end Fee) ที่เข้าเงื่อนไขการลดหย่อนให้แก่กรมสรรพากรด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดหย่อนภาษีปี 2568 ได้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้ ธุรกรรมการซื้อและขายกองทุน ต้องเป็นคำสั่งซื้อที่มีผล และ/หรือ คำสั่งขายที่ผู้ลงทุนได้รับเงินค่าขายคืนเข้าบัญชีเงินฝาก ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2568 – 28 กุมภาพันธ์ 2568

นายวินกล่าวต่อไปว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite Portfolio ผ่านกองทุนแนะนำจากกสิกรไทย ได้แก่ Core Portfolio ซึ่งเน้นลงทุนระยะยาวแบบจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ในสัดส่วนการลงทุนประมาณ 80% ของพอร์ต โดยแนะนำเป็นกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ซึ่งเป็นกลุ่มกองทุนผสมที่จัดพอร์ตการลงทุนให้สำเร็จรูป ประกอบด้วย 3 กองทุนตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ กองทุน K-WPBALANCED ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ 55-85%, K-WPSPEEDUP ที่เน้นสัดส่วนในหุ้นมากขึ้น 50-80% และ K-WPULTIMATE ที่เพิ่มสัดส่วนหุ้นได้มากถึง 100% ทั้งนี้ กลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series มีกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นกระจายการลงทุน (Asset Allocation) ในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกทั่วโลก ซึ่งสามารถรับมือกับความผันผวนได้ดีในทุกสภาวะตลาด อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์จากพาร์ทเนอร์ระดับโลก J.P. Morgan Asset Management เข้ามาช่วยดูแลพอร์ตแบบ Look Through (มองเห็นสินทรัพย์ทุกตัวในพอร์ต) และปรับพอร์ตได้อย่างรวดเร็วด้วยข้อมูลเชิงลึกจากทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนทั่วโลก

สำหรับ Satellite Portfolio ซึ่งเน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ในสัดส่วนการลงทุนประมาณ 20% ของพอร์ต โดยแนะนำเป็นกองทุน K-FIXEDPLUS มีนโยบายการลงทุนที่เน้นตราสารหนี้คุณภาพดีระยะกลาง-ยาว ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเงินฝาก ทั้งในและต่างประเทศ, K-GSELECT มีนโยบายการลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Global Select Equity ETF เน้นกระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก และ K-PROPI มีนโยบายการลงทุนในหุ้น / REIT ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในและต่างประเทศ โดยกองทุนได้รับ Morningstar 4 ดาว จากผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องและสม่ำเสมอ (ข้อมูลจาก Morningstar ณ 31 ธ.ค. 2567)

นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนกับกองทุนกสิกรไทยได้ง่ายๆ ด้วยเงินลงทุนเพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS, K-My Funds, ธนาคารกสิกรไทย และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย จะจัดส่งใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านอีเมลที่ผู้ลงทุนได้สมัครไว้ (สำหรับผู้ลงทุนที่สมัครใช้บริการ K-Mutual Fund Reports) และสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่มีบริการ K-Mutual Fund Report หากต้องการใบกำกับภาษีเก็บไว้เป็นหลักฐานในการลดหย่อน สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน ส่งกลับมาที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. เพื่อดำเนินการออกเอกสารและจัดส่งให้ผู้ลงทุนต่อไป ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมการขายและค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888


ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน • กองทุนมีนโยบายที่แตกต่างกันทั้งด้านสินทรัพย์/ภูมิภาค/ประเทศ/กลุ่มธุรกิจที่กองทุนลงทุน ราคาของหลักทรัพย์จึงมีความผันผวนตามปัจจัยที่กระทบ • กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือ ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

Page 1 of 3
X

Right Click

No right click