September 19, 2024

ภายใต้แนวคิด Highway to Net Zero มุ่งสู่การเป็นองค์กรไร้คาร์บอน

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “BJC” ผู้ดำเนินธุรกิจพาณิชยกรรมนำเข้า-ส่งออก ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจร ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ด้วยมูลค่าเสนอขายหุ้นกู้รวม 13,000 ล้านบาท อายุหุ้นกู้ 3 ปี ถึงอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.93% ถึง 3.77% ต่อปี และมีอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด

นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2567 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 5 รุ่น ต่อผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.93% ต่อปี จำนวน 3,000 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี จำนวน 6,000 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.33% ต่อปี จำนวน 2,000 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี จำนวน 1,000 ล้านบาท และ หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.77% ต่อปี จำนวน 1,000 ล้านบาท ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนอย่างล้นหลาม ด้วยยอดจองซื้อเกินเป้าหมายกว่า 4 เท่า จากมูลค่าเสนอขายเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทพิจารณาเพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้ ซึ่งเป็นหุ้นกู้ส่วนที่สำรองไว้มาเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe Option) อีกจำนวน 6,000 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าเสนอขายรวม 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการในการลงทุนของนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจในการเข้าลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัท ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีให้กับบริษัท ซึ่งมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจหลัก ตลอดจนมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์

“ในนามของ BJC ต้องขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 140 ปี โดยการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและผู้ลงทุนให้การตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดไว้ โดย BJC จะยังคงเดินหน้าเพื่อพัฒนาธุรกิจให้มั่งคงและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนคู่สังคมไทยต่อไป เพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ทุกท่านมอบให้กับเรา” นางฐาปณี กล่าวทิ้งท้าย

เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ณ บิ๊กซี เพลส สาขารัชดาภิเษก ในวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน นี้

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ตัวแทนโดย ผู้จัดการสาขา และพนักงาน บิ๊กซี สาขาน่าน บิ๊กซี สาขาเชียงราย 1 บิ๊กซี สาขาแพร่ และ บิ๊กซี สาขาสุโขทัย ร่วมใจอาสาเร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง ส่งมอบถุงยังชีพ สิ่งของจำเป็น และน้ำดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์วิกฤต  และขอส่งพลังและกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือและทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ขอให้ทุกคนปลอดภัยและผ่านพันวิกฤตนี้ไปโดยเร็ว

 

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยรายได้รวมในไตรมาส 2/67 เท่ากับ 43,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 257 ล้านบาทจากปีก่อน จากการบริหารจัดการวัตถุดิบที่ดีขึ้น การผลิตที่เพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การมุ่งเน้นเพิ่มการขายสินค้าที่มีกำไรดีมากขึ้น รวมไปถึงโครงการลดต้นทุนต่าง ๆ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,352 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 15% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 1,228 ล้านบาท

กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ รายงานยอดขายในไตรมาสนี้ 2/67 อยู่ที่ 6,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 255 ล้านบาท สาเหตุหลักจากยอดขายที่เติบโตขึ้นของกลุ่มบรรจุภัณฑ์กระป๋องจากยอดขายเครื่องดื่มน้ำอัดลมและกาแฟที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่บรรจุภัณฑ์แก้วลดลงจากยอดขายที่ลดลงของหมวดหมู่เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แต่ในขณะเดียวกันยอดส่งออกและยอดขายกลุ่มลูกค้า 3rd party ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 22.3 เพิ่มขึ้น 411 bps จากปีก่อน เป็นผลมาจากทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์กระป๋อง จากการบริหารจัดการราคาต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคที่ดีขึ้น ทั้งแก๊สธรรมชาติ โซดาแอช อะลูมิเนียมและค่าไฟฟ้า รวมไปถึงอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization rate) และประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 216 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.4 จากปีก่อน

กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค รายงานยอดขายอยู่ที่ 5,279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85 ล้านบาท จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ส่วนตัว เติบโตจากสบู่แพรอทและสบู่เด็กดีเอ็มพีจากแคมเปญการตลาดที่ได้รับการตอบรับที่ดี ส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มสินค้ากระดาษ ที่เป็นแบรนด์ของบริษัท ยังคงเติบโตได้ดีเช่นกัน

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 19.4 เพิ่มขึ้น 147 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการขายสินค้าที่มีกำไรดีมากขึ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภคในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 35.4 จากปีก่อน

กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค รายงานยอดขายอยู่ที่ 2,401 ล้านบาท ลดลง 28 ล้านบาท จากยอดขายสินค้าเครื่องมือแพทย์ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม สินค้าเครื่องมือแพทย์จะได้รับประโยชน์จากงบประมาณภาครัฐในครึ่งหลังของปี 2567

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 28.5 ลดลง 111 bps จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากสัดส่วนการขายวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมีอัตรากำไรขั้นต้นตํ่ากว่าสินค้าปกติ อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง

กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ รายงานรายได้รวมอยู่ที่ 29,404 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 26,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 ล้านบาท จากปีก่อน เป็นผลมาจากการขยายสาขา ขณะที่ยอดขายต่อสาขาเดิมในไตรมาสปรับตัวลดลงอยู่ที่ -1.9% (ไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี) และรายได้อื่นอยู่ที่ 3,198 ล้านบาท ลดลง 113 ล้านบาท จากการลดลงของรายได้ค่าเช่าและการให้บริการ โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าสาธารณูปโภคเรียกเก็บจากผู้เช่าที่ลดลง

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 18.6 เพิ่มขึ้น 91 bps จากปีก่อน จากการจัดการการส่งเสริมการขายที่ดี และการลดลงของต้นทุนค่าขนส่ง และมีกำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 1,034 ล้านบาท ลดลง 77 ล้านบาท จากปีก่อน จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาในประเทศไทยและต่างประเทศ

กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/67 โดยได้เปิดบิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศลาว จำนวน 1 สาขา บิ๊กซี มินิ ในประเทศไทยจำนวน 7 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเซอร์วิสจำนวน 1 สาขา ร้านขายยาเพรียวจำนวน 1 สาขา และร้านค้าโดนใจ 1,544 สาขา ในระหว่างไตรมาส นอกจากนี้ บริษัทเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของการสั่งซื้อสินค้าแบบ On-Demand บนแฟลตฟอร์ม Omnichannel เป็นผลมาจากการขยายการให้บริการที่ครอบคลุมร้านค้าไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตในช่วงปลายไตรมาสที่ 1/67 ซึ่งได้รับการตอบรับการลูกค้าที่ดี มีการสั่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้น

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศขององค์กรที่ตั้งเป้าหมาย เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เพื่อร่วมสร้างให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์เพื่อเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

Page 1 of 5
X

Right Click

No right click