

“พฤกษา” ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ “ปูนซีเมนต์นครหลวง หรือ ปูนอินทรี” ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ของไทย ผนึกกำลังเดินหน้ายกระดับวงการก่อสร้างไทย ด้วยการพัฒนานวัตกรรมกรีนโซลูชัน ล่าสุดฉลองความสำเร็จจากการคิดค้นปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกรักษ์โลกสูตรใหม่ “อินทรีดำ กำลังอัดช่วงต้นสูง” หรือ INSEE DUM High Early Strength” ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปคาร์บอนต่ำ ที่มีความทนทานและสามารถรับกำลังได้สูง โดยนำมาใช้ก่อสร้างที่อยู่อาศัยในเครือพฤกษาเป็นแห่งแรก เพื่อให้ได้บ้านคุณภาพที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตลงได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคการก่อสร้างปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 27% ของการปล่อยก๊าซทั่วโลกในแต่ละปี และหากรวมกระบวนการผลิตวัสดุก่อสร้างเข้าไปด้วย ตัวเลขนี้จะมีสัดส่วนสูงถึง 40% ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างต้องหาแนวทางร่วมกันเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน
พฤกษาให้ความใส่ใจ และมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับความร่วมมือกับปูนอินทรีครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยสู่ความยั่งยืน โดยเราได้ร่วมกันคิดค้นและทดสอบปูนซีเมนต์สูตรใหม่ เพื่อใช้ผลิตแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ เพื่อนำมาก่อสร้างบ้าน ที่ยังคงคุณสมบัติด้านความแข็งแรงและความทนทานเทียบเท่าปูนซีเมนต์สูตรมาตรฐาน ที่นอกจากจะช่วยให้ได้บ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรงและทนทานแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม

นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด ในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายและความยั่งยืน ด้วยการผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปคาร์บอนต่ำ เพื่อนำมาใช้ก่อสร้างในโครงการต่าง ๆ โดยเชื่อมั่นว่านวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าได้อยู่อาศัยในบ้านที่มีคุณภาพ แข็งแรง ทนทาน พร้อมทั้งมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับโลกของเราด้วย
อินโน พรีคาสท์ ได้เริ่มใช้ปูนซีเมนต์อินทรีดำ กำลังอัดช่วงต้นสูง สูตรใหม่ เพื่อนำมาผลิตแผ่นพรีคาสท์คุณภาพสูง ตั้งแต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และมีแผนการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า ในปี 2568 จะสามารถส่งมอบแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำให้กับทั้งโครงการในเครือพฤกษาได้ราว 4,000 ยูนิต ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งหมดได้ถึง 2,556,784 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 263,198 ต้น
นายมนตรี นิธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจปูนซีเมนต์ของประเทศไทย บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การใช้พลังงานสูงในกระบวนการผลิตวัสดุ ปัญหาขยะจากการก่อสร้าง ไปจนถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน การก่อสร้างแบบเดิม ๆ มักใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณสูงจากกระบวนการเผาหินปูน ทำให้เราต้องมองหาแนวทางใหม่เพื่อแก้ปัญหานี้ ปูนซีเมนต์ “อินทรีดำ กำลังอัดช่วงต้นสูง” สูตรใหม่นี้ จึงเป็นอีกหนึ่งโซลูชันที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายสู่ Net Zero ของบริษัท
สำหรับ อินทรีดำ กำลังอัดช่วงต้นสูงนี้เหมาะสำหรับงานขึ้นชิ้นส่วนคอนกรีตหล่อสำเร็จและงานคอนกรีตอัดแรงขนาดใหญ่ ถูกออกแบบมาให้มีกำลังสูงช่วงต้นสูง มีความสามารถในการไหลลื่นเทเข้าแบบได้ง่าย ได้ผิวผลิตภัณฑ์ที่เรียบเนียนสวยและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และยังเป็นปูนซีเมนต์ชนิดไฮดรอลิกที่มีค่าการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ดังนั้นจึงเป็นปูนซีเมนต์คุณภาพดีทั้งคุณสมบัติทางด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม
ความร่วมมือครั้งนี้ระหว่างพฤกษาและปูนอินทรี นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย พร้อมทั้งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และขับเคลื่อนวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment Social Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 920 บริษัท และเป็น 1 ใน 4 จาก 21 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับรางวัลในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) โดยได้รับประกาศนียบัตร ESG100 Company จากสถาบันไทยพัฒน์ เป็นปีที่ 4
นายรานจัน ซาซเดอวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง หรือ ปูนอินทรี กล่าวว่า กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง ให้ความสำคัญในการดำเนินงานเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม ด้วยการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมองค์กร บริษัทฯ ให้การสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชน และสังคมในทุกพื้นที่ที่กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวงมีการประกอบกิจการ พร้อมกับการอนุรักษ์ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีคุณค่า
โดย สถาบันไทยพัฒน์ เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ มุ่งเน้นงานด้านการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของกิจการและความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชน โดยหน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดทำรายการหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จำนวน 100 บริษัท จากการประเมินข้อมูลหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีการบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี
ทั้งนี้การพิจารณาคัดเลือกและรับรองบริษัท ESG100 ของสถาบันไทยพัฒน์ ใช้ข้อมูล ESG ที่บริษัทเผยแพร่ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในหัวข้อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)
เป็นสำคัญ รวมถึงข้อมูล ESG ที่มีการเปิดเผยหรือปรากฏต่อสาธารณะ ในรายงานประจำปี (แบบ 56-2) หรือในรายงานแห่งความยั่งยืน (Sustainability Report) โดยการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 จะประกอบด้วยเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการคัดกรอง (Screening Criteria) และเกณฑ์หลักสำหรับการประเมิน (Rating Criteria) ซึ่งได้นำหลักการ 12 ประการของ CORE Framework ตามแนวทางการประเมินความยั่งยืนของ Global Initiative for Sustainability Ratings (GISR) มาใช้พัฒนาระเบียบวิธีการประเมิน (Rating Methodology) ทั้งในด้านกระบวนการ (Process) และด้านเนื้อหา (Content)
“กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง ยังคงรักษามาตรฐานในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจตามนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี รับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของกลุ่มบริษัทภายในปี 2573 (INSEE Sustainability Ambition 2030)” นายรานจัน กล่าวปิดท้าย